Focus
- จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญ เปิดเผยว่า ไทยรอดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่เพราะ "ปาฏิหาริย์" แต่เพราะยุทธศาสตร์ทางการทูตและขบวนการเสรีไทย ทั้งนายปรีดี พนมยงค์ ได้ปฏิเสธลงนามในประกาศสงครามฯ ซึ่งช่วยให้ไทยไม่ตกเป็นประเทศผู้แพ้สงครามและต่อมาได้มีการประกาศสันติภาพ ในปี 2488 บทความนี้ได้ยืนยันว่าไทยรอดมาได้ด้วยยุทธศาสตร์ไม่ใช่ปาฏิหาริย์
เหตุการณ์ที่ประเทศไทยสามารถหลุดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 และการประกาศสันติภาพในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 ซึ่งจะครบรอบ 80 ปี ในปี 2568 ได้ก่อให้เกิดการตีความที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือแนวคิดที่ว่า 'ไทยรอดเพราะปาฏิหาริย์' ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ควรถูกทบทวนบนพื้นฐานของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
หากข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง ย่อมหมายความว่าความพยายามของเสรีไทย ไม่มีความหมาย และชะตากรรมของประเทศถูกกำหนดโดยอำนาจภายนอกอย่างสิ้นเชิง
แนวคิดเรื่อง "ปาฏิหาริย์" เป็นการอธิบายที่ขัดแย้งกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเอกสารจำนวนมากที่ยืนยันว่า ขบวนการเสรีไทยและยุทธศาสตร์ของผู้นำไทย มีบทบาทสำคัญในการกำหนดสถานะของประเทศหลังสงคราม หากแนวคิดปาฏิหาริย์มีน้ำหนักจริง คำถามที่ต้องตอบคือ
- เหตุใดไทยจึงสามารถหลีกเลี่ยงการลงนามในเอกสารยอมจำนนแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Surrender) ได้ ขณะที่ประเทศอื่นที่ร่วมกับฝ่ายอักษะต้องลงนาม?
- ทำไมสัมพันธมิตรยอมรับว่าการประกาศสงครามของรัฐบาลไทยในขณะนั้นเป็นโมฆะ?
- หากปาฏิหาริย์เป็นคำอธิบายที่เพียงพอ เหตุใดจึงไม่มีเอกสารทางการทูตของสัมพันธมิตรสนับสนุนแนวคิดนี้?
หากเสรีไทยไม่มีความสำคัญ เหตุใดสัมพันธมิตรจึงให้การยอมรับ?
ข้อเสนอที่ว่าขบวนการเสรีไทยไม่มีบทบาทสำคัญในช่วงสงคราม ขัดแย้งกับหลักฐานจากทั้งอังกฤษและสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นว่า ขบวนการเสรีไทยเป็นปัจจัยสำคัญ ในการทำให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม
- โทรเลขจากรัฐบาลสหรัฐฯ ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2488 ระบุว่า อังกฤษยอมให้ไทยประกาศสันติภาพ และเลี่ยงให้ไทยต้องลงนามใน “เอกสารยอมจำนน” เพราะไทยมีขบวนการต่อต้านที่ทำงานร่วมกับสัมพันธมิตร[1]

โทรเลขจากรัฐบาลสหรัฐฯ 15 สิงหาคม 2488
ที่มา: https://pridi.or.th/th/content/2022/08/1222
- คำเปิดเผยของลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบ็ตเทน ใน The Times ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม 2489 ยกย่องบทบาทของขบวนการเสรีไทย ในการช่วยเหลือสัมพันธมิตร และยืนยันว่า ไทยยังคงมีเอกราชหลังสงคราม[2]



คำเปิดเผยของลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบ็ตเทน ใน The Times 18 ธันวาคม 2489
ที่มา: https://pridi.or.th/th/content/2021/08/799
- จดหมายจาก Special Forces Club (Force 136) ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2513 เชิญ ปรีดี พนมยงค์ เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ โดยระบุว่ากองกำลังพิเศษ Force 136 ทำงานร่วมกับเสรีไทย และยอมรับบทบาทของปรีดี ในการช่วยเหลือสัมพันธมิตรและขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น[3]

จดหมายจาก Special Forces Club 17 ธันวาคม 2513
ที่มา: https://pridi.or.th/th/content/2022/08/1197
หลักฐานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ไทยรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงครามเพราะเสรีไทยมีบทบาทเชิงรุกทั้งทางการทหารและทางการทูต และความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับอังกฤษ ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความพ่ายแพ้ แต่เป็นความร่วมมือหลังสงคราม
แม้จะมีผู้อ้างว่า “อังกฤษไม่ได้ให้ความสำคัญกับเสรีไทย” แต่ในทางปฏิบัติ ขบวนการเสรีไทยมีบทบาทสำคัญในการทำให้สัมพันธมิตรรับรู้ว่าไทยมิได้สนับสนุนญี่ปุ่นโดยเต็มใจ จากคำเปิดเผยของ “เมาท์แบ็ตเทน” ยืนยันว่าขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในไทย ได้มีการวางแผนร่วมกับกองกำลังสัมพันธมิตรอย่างใกล้ชิด
ข้อเรียกร้องค่าเสียหายของอังกฤษเป็นผลจากการเมืองภายในอังกฤษเอง
ข้อกล่าวอ้างที่ว่า “อังกฤษต้องการลงโทษไทยโดยเรียกร้องค่าชดเชยจำนวนมาก” นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริง เพราะแท้จริงแล้ว ข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของอังกฤษเอง:
- หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พรรคแรงงานของอังกฤษขึ้นสู่อำนาจ และต้องการใช้ทรัพยากรจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนเอง
- อังกฤษต้องการข้าวจากไทยเพื่อนำไปเลี้ยงประชากรในอาณานิคมที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม เช่น อินเดียและศรีลังกา
- ข้อเรียกร้องของอังกฤษเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตน มากกว่าที่จะเป็นการลงโทษไทย
มีหลักฐานว่าเสนีย์โต้แย้งเงื่อนไขของอังกฤษหรือไม่?
ประเด็นเรื่องบทบาทของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ในการต่อรองเงื่อนไขของอังกฤษยังเป็นที่ถกเถียง และจำเป็นต้องพิจารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ แม้ว่าจะมีข้อเสนอว่าเสนีย์มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ไทยรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม แต่ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าเสนีย์ได้คัดค้านเงื่อนไขที่เสียเปรียบจากอังกฤษอย่างชัดเจน
ในทางกลับกัน หลักฐานที่ปรากฏ เช่น โทรเลขที่ส่งถึงปรีดี พนมยงค์ ก่อนการลงนามสัญญาสมบูรณ์แบบ แสดงให้เห็นว่า เสนีย์เสนอให้ไทยส่งข้าวให้สัมพันธมิตรโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งข้อเสนอนี้ต่อมากลายเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของสัญญาสมบูรณ์แบบระหว่างไทยและอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาบทบาทของเสนีย์ในช่วงเวลาดังกล่าวควรอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพียงการตีความที่อาจโน้มเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง หากมีหลักฐานเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่าเสนีย์มีบทบาทในการโต้แย้งเงื่อนไขของอังกฤษจริง ก็ควรได้รับการเปิดเผยและพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อบทบาทของบุคคลสำคัญในช่วงเวลานั้น
ท่าทีของสัมพันธมิตร (สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และจีน) ที่มีต่อไทย
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ที่แตกต่างกันของอังกฤษ สหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้แต่ละประเทศมีท่าทีต่อไทยหลังสงครามที่แตกต่างกัน
เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ลงวันที่ 13 มกราคม 2488 ยืนยันว่า สหรัฐฯ และอังกฤษมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสถานะของประเทศไทยในอนาคตหลังสงคราม โดย สหรัฐฯ ถือว่าไทยเป็นรัฐเอกราชที่ถูกญี่ปุ่นยึดครอง และต้องกลับคืนสู่สถานะปกติหลังสงคราม สหรัฐฯ ยังยืนยันว่าไทยควรมีรัฐบาลที่ได้รับเลือกโดยประชาชนของตนเอง และคัดค้านแนวคิดจักรวรรดินิยมแฝงของอังกฤษที่ต้องการใช้ข้ออ้างด้านความมั่นคงเข้าแทรกแซงไทยหลังสงคราม ในขณะที่ อังกฤษถือว่าไทยเป็นศัตรู และต้องอยู่ภายใต้ข้อตกลงพิเศษด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ[4]
- สหรัฐอเมริกา: มีนโยบายสนับสนุนไทยอย่างชัดเจน โดยมองว่าไทยเป็นรัฐเอกราชที่ถูกญี่ปุ่นยึดครอง รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คอร์เดล ฮัลล์ (Cordell Hull) ระบุในจดหมายลงวันที่ 26 สิงหาคม 2486 ว่า สหรัฐฯ ไม่รับรองรัฐบาลจอมพล ป. แต่ยังคงความสัมพันธ์ทางการทูตกับเสรีไทย และเห็นอกเห็นใจขบวนการนี้ นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงปรีดี พนมยงค์ ว่า ‘เป็นผู้สืบต่อตามกฎหมายของรัฐบาลไทย’ ก่อนการรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งตอกย้ำว่า สหรัฐฯ รับรองความชอบธรรมของขบวนการเสรีไทยและรัฐบาลพลเรือนของปรีดี[5]

จดหมายของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คอร์เดล ฮัลล์ (Cordell Hull)
ที่มา: https://pridi.or.th/th/content/2024/08/2107
- อังกฤษและจีน: มีท่าทีระมัดระวังและแข็งกร้าวกว่าสหรัฐฯ แม้ว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร ลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบ็ตเทน จะยอมรับบทบาทของเสรีไทย แต่ฝ่ายการเมืองและเศรษฐกิจของอังกฤษยังต้องการรักษาสถานะ “ไทยเป็นฝ่ายศัตรู” เพื่อให้ไทยต้องรับผิดชอบต่อการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น เสรีไทยต้องเจรจากับอังกฤษหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ข้อยืนยันที่แน่ชัดจากอังกฤษในช่วงสงครามว่าการประกาศสงครามของไทยเป็นโมฆะ
ส่วนทางจีน มีจุดยืนที่แข็งกร้าวที่สุด จากการที่ไทยร่วมมือกับญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการรบในรัฐฉาน การทิ้งระเบิดชายแดนจีน หรือการรับรองรัฐบาลหุ่นของวังจิงเว่ย ทำให้สื่อจีนบางแห่งเสนอให้บังคับไทยยอมจำนน เช่นเดียวกับฝ่ายอักษะ และนำตัวจอมพล ป. กับพวกขึ้นศาลอาชญากรสงคราม[6]
ถึงแม้ว่า สหรัฐฯ และอังกฤษ ต่างไม่พอใจที่ไทยประกาศสงครามและมีปฏิบัติการทางทหารต่อสัมพันธมิตร อย่างไรก็ตาม ระดับความไม่พอใจของทั้งสองประเทศแตกต่างกัน เนื่องจากผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายในไทยได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน
อังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมของมลายูและพม่าต้องเผชิญกับการรุกรานของญี่ปุ่นที่ใช้ไทยเป็นฐานทัพ รัฐบาลไทยในช่วงสงครามยังมีบทบาทสนับสนุน เช่น การส่งกองทัพเข้ายึดครองรัฐเชียงตุงและดินแดนมลายู นอกจากนี้ อังกฤษยังมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในไทย ทั้งธนาคาร สัมปทานป่าไม้ และเหมืองแร่ ทำให้ได้รับความเสียหายอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ อังกฤษจึงพยายามรักษาสถานะสงครามกับไทย เพื่อให้ไทยตกเป็นฝ่ายแพ้ แม้ลอร์ดเมาท์แบ็ตเทนจะยอมรับบทบาทเสรีไทยในการต่อต้านญี่ปุ่น แต่ฝ่ายการเมืองและเศรษฐกิจของอังกฤษยังคงลังเลที่จะรับรองว่าไทยไม่ใช่ศัตรู
ในทางกลับกัน สหรัฐฯ มีผลประโยชน์ในไทยน้อยกว่าอังกฤษและจีน ไม่มีธนาคารสาขา และมีเพียงบริษัทการค้าเล็กๆ แห่งเดียว สถานทูตสหรัฐฯ ในไทยมีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คน ขณะที่สหรัฐฯ มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในจีนมากกว่า และต้องพึ่งพาจีนในการต่อต้านญี่ปุ่น ทำให้รัฐบาลจีนมีอิทธิพลต่อจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อไทย
อย่างไรก็ตาม นโยบายของสหรัฐฯ ที่ต้องการจำกัดอิทธิพลของอังกฤษและฝรั่งเศสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้สหรัฐฯ มีท่าทีผ่อนปรนต่อไทยมากขึ้น และสนับสนุนให้ไทยประกาศสงครามเป็นโมฆะ เพื่อลดแรงกดดันจากอังกฤษและสัมพันธมิตร
แม้จีนจะไม่พอใจไทยจากความร่วมมือกับญี่ปุ่น แต่รัฐบาลจีนต้องการความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในการทำสงคราม ทำให้จีนยอมรับแนวทางของสหรัฐฯ เกี่ยวกับไทย เช่น การกำหนดเขตยุทธภูมิ ซึ่งหากไม่มีคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจทำให้กองทัพจีนรุกเข้าทางภาคเหนือของไทย
บทบาทของเสรีไทย: ปฏิบัติการจริง มิใช่เพียงวาทศิลป์
สถานการณ์ของไทยหลังสงครามไม่ได้เอื้ออำนวยโดยธรรมชาติ แต่ต้องอาศัยการดำเนินยุทธศาสตร์ทั้งสองด้านของขบวนการเสรีไทย การร่วมรบและการเจรจาทางการทูต เพื่อให้สัมพันธมิตรยอมรับว่าไทยไม่ควรถูกถือเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม ผลงานที่เป็นรูปธรรม เช่น การช่วยเหลือสัมพันธมิตร การให้ข้อมูลข่าวกรอง และการปฏิบัติการร่วมกับ OSS และ Force 136 มีส่วนสำคัญในการทำให้สัมพันธมิตรเชื่อถือ
หากการรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงครามสามารถทำได้ด้วยเพียงวาทศิลป์ ทุกชาติคงใช้แนวทางนี้และไม่มีใครแพ้สงครามเลย แต่ในความเป็นจริง สัมพันธมิตรให้ความสำคัญกับการกระทำของขบวนการต่อต้านมากกว่าคำกล่าวอ้างลอยๆ ซึ่งกรณีของเสรีไทยเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าไทยรอดพ้นจากสถานะผู้แพ้สงครามเพราะ "การลงมือปฏิบัติจริง" ร่วมกับสัมพันธมิตร เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ ไม่ใช่โชคช่วย
หลักฐานเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า นโยบายของสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนไทย แต่ในขณะเดียวกัน อังกฤษและจีนมีแนวทางที่เข้มงวดกว่า และต้องอาศัยการเจรจาและการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมของเสรีไทยเพื่อ "ผ่อนหนักเป็นเบา" และรักษาสถานะเอกราชของชาติ
ปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ว่า
“…ผมในฐานะที่สัมพันธมิตรรับรองเป็นหัวหน้าเสรีไทย ได้แจ้งไปยังฝ่ายสัมพันธมิตรว่า ขบวนการเสรีไทยพร้อมที่จะเริ่มใช้อาวุธต่อสู้ทหารญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย ทั้งนี้มีความมุ่งหมายในทางการเมือง เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าราษฎรไทยมิใช่เป็นคู่สงครามกับสัมพันธมิตร เมื่อผมได้ส่งโทรเลขไปยังฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นนั้นแล้ว ก็ได้รับตอบจากรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ให้ขบวนเสรีไทยรอการปฏิบัติตามแผนร่วมกัน โดยอย่าเพิ่งลงมือกระทำการใดๆ และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเข้าใจเจตนารมย์ของขบวนเสรีไทยเป็นอย่างดีแล้ว ฉะนั้น รัฐบาลสหรัฐอเมริกา จึงยอมรับว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นคู่สงครามกับสหรัฐอเมริกา…
ส่วนประเทศอังกฤษนั้น แจ้งว่า โดยคำนึงถึงการช่วยเหลือร่วมมือของขบวนเสรีไทยจึงยอมที่จะยกเลิกภาวะสงครามกับประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขว่าประเทศไทยจะต้องตกลงทำสัญญาสมบูรณ์แบบ (การอ้างถึงการช่วยเหลือร่วมมือของขบวนเสรีไทยนั้นปรากฏในคำปรารภสัญญาสมบูรณ์แบบ)…”[7]
การดำเนินการของปรีดีและการตอบรับจากสหรัฐฯ และอังกฤษในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถหลีกเลี่ยงสถานะประเทศผู้แพ้สงครามได้สำเร็จ โดยสหรัฐฯ ยืนยันสถานะที่ไม่เป็นศัตรูกับไทย และอังกฤษยอมยุติภาวะสงคราม (แม้จะมีเงื่อนไข)
อย่างไรก็ตาม อังกฤษยังคงเรียกร้องให้ไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขหลายประการ รวมถึงข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสที่ต้องการให้ไทยคืนดินแดนและพระแก้วมรกต แต่ปรีดีและรัฐบาลไทยในขณะนั้น ได้พยายามเจรจาต่อรอง จนอังกฤษยอมระงับข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส และมุ่งเจรจาเฉพาะประเด็น "ความตกลงสมบูรณ์แบบ" กับไทยเท่านั้น ส่วนปัญหาดินแดน 4 จังหวัด ถูกปล่อยให้เป็นเรื่องระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่จะต้องแก้ไขกันต่อไป[8]
[อ่านเพิ่มเติม: ความสนใจของสหรัฐอเมริกาในปัญหาการรับรองขบวนการเสรีไทย จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คอร์เดล ฮัลล์ | สถาบันปรีดี พนมยงค์]
https://pridi.or.th/th/content/2022/08/1225
บทบาทของปรีดี พนมยงค์: การทำงานบนดินและใต้ดิน
มีผู้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับบทบาทของปรีดี พนมยงค์ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่า ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ปรีดีสามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้มากเพียงใด และมีบทบาทจริงแค่ไหนในการทำให้ไทยรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยดังกล่าวมองข้ามบริบทสำคัญว่า ปรีดีต้องทำงานทั้ง “บนดินและใต้ดิน” ซึ่งต้องทำหน้าที่สองบทบาทไปพร้อมกัน ทั้งในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ที่ต้องรักษาสถานะของประเทศไทย และหัวหน้าขบวนการเสรีไทยในประเทศ ใช้รหัสนามว่า “รูธ” (Ruth) ที่ทำงานใต้ดินเพื่อประสานงานกับฝ่ายสัมพันธมิตร
ด้วยลักษณะของการเคลื่อนไหวใต้ดิน การดำเนินงานของปรีดีจึงไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ในขณะนั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของขบวนการต่อต้านที่ต้องทำงานอย่างรอบคอบและปิดเป็นความลับสูงสุด ลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบ็ตเทน ได้กล่าวถึงบทบาทของปรีดีในช่วงสงครามว่า:
“…เพราะประดิษฐ์ (ปรีดี) เป็นหนึ่งในบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในช่วงสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แน่นอนว่าในช่วงสงคราม ชื่อของเขาอาจถูกพูดถึงได้เพียงกระซิบกระซาบ และเรื่องราวทั้งหมดเป็น “ความลับสุดยอด” แม้แต่ตอนนี้สาธารณชนชาวอังกฤษจำนวนมากก็อาจไม่ทราบถึงการกระทำของเขา…”[9]
และคำกล่าวของคอร์เดลล์ ฮัลล์ รมต.ว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ที่ว่า
“เป็นที่ทราบกันดีว่าในบรรดาข้าราชการดังกล่าวนี้ มีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (หรือที่รู้จักกันในนามปรีดี พนมยงค์) ผู้สำเร็จฯ ในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รวมอยู่ด้วยผู้หนึ่ง และยังได้ทราบต่อไปอีกว่าผู้นี้ได้มีส่วนอย่างสำคัญร่วมมือในขบวนการลับที่มีจุดประสงค์เพื่อฟื้นขึ้นซึ่งรัฐบาลไทยที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้าการรุกรานของญี่ปุ่น ด้วยความกระจ่างแจ้งเช่นนี้ รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาจึงถือว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นตัวแทนแห่งการสืบต่อของรัฐบาลแห่งประเทศไทยตามที่เป็นอยู่ก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น (จอมพล ป.) จะไปเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่นในตอนที่ญี่ปุ่นบุก และยอมรับว่า (หลวงประดิษฐ์) เป็นผู้นำคนสำคัญในขบวนการเพื่อเอกราชของชาติไทย…”[10]
คำกล่าวนี้สะท้อนว่า ปรีดีมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านญี่ปุ่น แต่ลักษณะของปฏิบัติการทำให้หลายคน รวมถึงนักวิชาการภายหลังอาจเข้าใจผิดว่าเขาไม่มีบทบาทที่ชัดเจน
บันทึกการสื่อสารระหว่างปรีดี พนมยงค์ และรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2488 ยืนยันว่า ไทยรอดพ้นจากสงคราม เป็นผลจากการวางแผนยุทธศาสตร์ของปรีดี ในการสร้างเครือข่ายกับสัมพันธมิตรอย่างเป็นระบบ สหรัฐฯ ไม่เพียงรับรองขบวนการเสรีไทย แต่ยังส่งสาส์นถึงอังกฤษ ให้พิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อให้ไทยได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
การรักษาเอกราชของชาติเป็นภารกิจของคนไทยทุกคน–สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ก็มีส่วนร่วมในขบวนการเสรีไทย นอกจากนี้ หลักการพื้นฐานเรื่อง “หน้าที่ของคนไทยในเวลารบ” ยังได้รับการรับรองในทางกฎหมาย โดย พระราชบัญญัติกำหนดหน้าที่ของคนไทยในเวลารบ พ.ศ. 2484 ซึ่งกำหนดให้ประชาชนต้องร่วมกันต่อต้านข้าศึกทุกรูปแบบ
ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ปรีดี พนมยงค์ มีบทบาทสำคัญในการรักษาสถานะของประเทศไทยทั้งในทางการเมืองและการทูต หลังสงคราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้โปรดเกล้าฯ ยกย่องปรีดีให้เป็น “รัฐบุรุษอาวุโส” เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของเขาในการนำพาไทยผ่านช่วงวิกฤติ และรักษาเอกราชของชาติได้สำเร็จ
ปัจจัยที่ทำให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่า การที่ไทยรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่เรื่องของ "โชคช่วย" หรือ "ปาฏิหาริย์" แต่เป็นผลจากยุทธศาสตร์ทางการทูตและบทบาทของขบวนการเสรีไทยที่ดำเนินการทั้งในและนอกประเทศ
- ขบวนการเสรีไทยสร้างความชอบธรรมให้ประเทศไทย ในมุมมองของสัมพันธมิตร ไทยมีสองภาพลักษณ์—รัฐบาลที่ร่วมมือกับญี่ปุ่น และขบวนการเสรีไทยที่ต่อต้านญี่ปุ่นอย่างแข็งขัน บทบาทของเสรีไทย ทั้งเครือข่ายในไทยและกลุ่มนักเรียนไทยในสหรัฐฯ และอังกฤษ มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสัมพันธมิตรต่อไทย ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับข้อมูลข่าวกรอง การช่วยเหลือเชลยศึก และการปฏิบัติการทางทหารของเสรีไทย ซึ่งช่วยพิสูจน์ว่า การประกาศสงครามของรัฐบาลไทยในขณะนั้นขัดต่อเจตจำนงของประชาชน หลักฐานสำคัญ เช่น คำกล่าวของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คอร์เดล ฮัลล์ และบันทึกของดิเรก ชัยนาม ยืนยันว่า สหรัฐฯ รับรองแนวคิดนี้อย่างเป็นทางการ และในที่สุด อังกฤษก็ยอมรับด้วยเหตุผลด้านยุทธศาสตร์
- นโยบายสหรัฐฯ ที่เอื้อประโยชน์ (แต่เกิดจากการวิ่งเต้นของไทยเองด้วย): การที่สหรัฐฯ เลือกไม่ถือไทยเป็นศัตรู โดยไม่ประกาศสงครามและยังคงสถานะทางการทูตบางส่วนไว้นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ หากขาดความพยายามของเสรีไทยในวอชิงตัน และความร่วมมือระหว่างปรีดี กับ เสนีย์ จดหมายของคอร์เดล ฮัลล์ ถือเป็นผลลัพธ์ของการล็อบบี้และความร่วมมือระหว่างนักการทูตไทยกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อย่างนายพลวิลเลียม โดโนแวน (ผู้อำนวยการ OSS) และพันเอกกูดเฟลโลว์ ซึ่งเล็งเห็นว่าไทยมีขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร นโยบายนี้ของสหรัฐฯ มีเหตุผลด้านอุดมการณ์ (สนับสนุนเอกราชของชาติที่ตกเป็นเหยื่อจักรวรรดิญี่ปุ่น) และเหตุผลด้านการเมืองโลก (ต้องการสกัดกั้นอิทธิพลอังกฤษและฝรั่งเศสในเอเชียอาคเนย์หลังสงคราม)
- การต่อรองกับอังกฤษและมหาอำนาจอื่นหลังสงคราม แม้ว่าสหรัฐฯ จะให้การสนับสนุนไทย แต่ไทยก็ยังต้องเผชิญกับเงื่อนไขที่เข้มงวดจากอังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน เสรีไทยต้องส่งผู้แทนไปเจรจากับอังกฤษหลายครั้งระหว่างปี 2486-2488 เพื่อให้ไทยได้รับการพิจารณาในฐานะมิตร ซึ่งแม้อังกฤษจะยังไม่ยอมรับสถานะนี้โดยสมบูรณ์ แต่ก็รับรู้ถึงบทบาทของเสรีไทย
การประกาศสันติภาพ: โมฆสงคราม
เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ ในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 ไทยภายใต้การนำของปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ ได้ออกประกาศในทันทีว่า การประกาศสงครามของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็น "โมฆะ" เป็นการย้ำให้สัมพันธมิตรเห็นว่าไทยถือว่าตนเองเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรมาโดยตลอด ส่งผลให้ไทยสามารถเจรจาสันติภาพกับอังกฤษได้โดยไม่ต้องลงนามในเอกสารยอมจำนนแบบไม่มีเงื่อนไขเหมือนญี่ปุ่นและเยอรมนี
ปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวถึงเหตุผลเบื้องหลังการประกาศ “โมฆสงคราม” ต่ออังกฤษและสหรัฐฯ ว่า
“ฉะนั้นประกาศโมฆะกรรมแห่งประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่ และส.ร.อ. ฯลฯ นั้น จึงมิใช่ ‘การตีหัวเขาแล้วเห็นท่าว่าสู้เขาไม่ได้ก็วิ่งหลบเข้าบ้าน’ หากเป็นผลแห่งการที่เสรีไทยทั้งหลายได้เสียสละชีวิตและความเหนื่อยยากในการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของขบวนเสรีไทยดังกล่าว จนกระทั่งสัมพันธมิตรเห็นใจแล้วจึงแนะนำมายังผมให้มีประกาศตามความในประกาศสันติภาพ”[11]
ถ้อยคำของปรีดีสะท้อนให้เห็นว่า การประกาศสันติภาพไม่ได้เกิดขึ้นจากความพ่ายแพ้หรือความต้องการหลีกเลี่ยงบทลงโทษ แต่เป็นผลจากการต่อสู้อย่างเสียสละของขบวนการเสรีไทย ซึ่งได้รับการยอมรับจากฝ่ายสัมพันธมิตร การประกาศ “โมฆะสงคราม” จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสัมพันธมิตร และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถรักษาสถานะทางการทูตในฐานะพันธมิตรที่ได้รับการปลดเปลื้องจากการเป็นประเทศผู้รุกราน
คำกล่าวนี้ช่วยหักล้างข้อกล่าวหาที่ว่า ไทย “กลับลำ” เพราะเห็นว่าญี่ปุ่นกำลังแพ้สงคราม ในทางตรงกันข้าม ไทยได้วางยุทธศาสตร์ล่วงหน้าโดยมีเสรีไทยทำงานร่วมกับสัมพันธมิตรมาโดยตลอด และเมื่อเวลาสุกงอม สัมพันธมิตรเองก็เป็นผู้แนะนำให้ไทยประกาศสันติภาพเพื่อแสดงเจตจำนงที่แท้จริงของชาติไทย
นอกจากนี้ เอกสารของรัฐบาลอังกฤษ ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2488 เป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า อังกฤษรับรู้ถึงบทบาทของขบวนการเสรีไทยและนำมาพิจารณาในการเจรจาสันติภาพกับไทย เอกสารดังกล่าวระบุว่า
“เงื่อนไขที่เสนอโดยรัฐบาลอังกฤษที่เมืองแกนดีนั้น ได้คำนึงถึงความอุปการะช่วยเหลือจากขบวนต่อต้านสยาม (เสรีไทย) ก่อนที่ญี่ปุ่นแตกสลาย และเป็นเงื่อนไขขั้นต่ำสุดที่อังกฤษต้องเรียกร้องเพื่อให้เรื่องสงครามสิ้นสุดลง”
ถ้อยแถลงนี้แสดงให้เห็นว่า หากไม่มีขบวนการเสรีไทย อังกฤษอาจเรียกร้องเงื่อนไขที่หนักกว่านี้กับไทย โดยเอกสารยังระบุอีกว่า หากไทยยังอยู่ภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เงื่อนไขของอังกฤษจะเข้มงวดกว่าที่เป็นอยู่ และไทยอาจถูกปฏิบัติเยี่ยงประเทศผู้แพ้สงคราม เช่นเดียวกับเยอรมนีและญี่ปุ่น[12]
ในเดือนมกราคม 2489 ไทยได้ลงนาม “ความตกลงสมบูรณ์แบบ” กับอังกฤษ ซึ่งแม้จะมีเงื่อนไขหลายข้อ เช่น การคืนดินแดนที่ยึดจากฝรั่งเศส และการส่งข้าวให้สัมพันธมิตร แต่ไทยยังคงสถานะรัฐเอกราช ไม่มีกองกำลังสัมพันธมิตรเข้ามาปกครอง และสามารถดำเนินคดีจอมพล ป. พิบูลสงครามในศาลไทยเอง
การที่ไทยสามารถเข้าสู่การเจรจาข้อตกลงสันติภาพกับอังกฤษในปี 2489 ได้ภายใต้เงื่อนไขที่ดีกว่า เป็นผลจากความชอบธรรมที่ขบวนการเสรีไทยสร้างขึ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยสามารถกลับเข้าสู่ประชาคมโลกอย่างรวดเร็ว โดยเข้าร่วมสหประชาชาติในปี 2489 แม้จะเผชิญแรงต้านจากโซเวียตบ้าง แต่สามารถคลี่คลายได้จากการปฏิบัติตามข้อตกลงกับอังกฤษ
การรัฐประหาร 2490 และผลกระทบต่อเสรีไทย
หลังจากไทยสามารถกลับสู่เวทีโลกได้ในฐานะสมาชิกสหประชาชาติเมื่อปี 2489 เพียง 11 เดือนต่อมา ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ได้เกิดการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตย ที่สถาปนาขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญ 10 พฤษภาคม 2489 ปรีดี พนมยงค์ ได้บันทึกไว้ว่า:
“เสรีไทยหลายคนต้องถูกจับกุมคุมขัง หลายคนต้องลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ และหลายคนถูกทำลายชีวิตโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสมัยจอมพลพิบูลฯ”
นโยบายของรัฐบาลใหม่ทำให้เสรีไทยถูกมองเป็นศัตรูทางการเมือง แทนที่จะได้รับการยกย่องในฐานะผู้ปกป้องเอกราชของชาติ การเปลี่ยนแปลงทางอำนาจนี้ยังส่งผลให้ กระบวนการแก้ไขข้อตกลงสมบูรณ์แบบต้องหยุดชะงัก และไทยต้องใช้เวลาถึง 7 ปี (จนถึงปี 2497) กว่าที่จะสามารถเจรจายกเลิกข้อตกลงสมบูรณ์แบบได้
สรุป: ไทยรอดจากสงครามด้วยยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่า ไทยรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ โชคช่วย หรือ "ปาฏิหาริย์" แต่เป็นผลจากยุทธศาสตร์ทางการทูตที่แยบยลและบทบาทสำคัญของขบวนการเสรีไทย ได้แก่ ความกล้าหาญและเสียสละของขบวนการเสรีไทยในการร่วมต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตร การตัดสินใจทางการทูตที่เฉียบแหลมของผู้นำเสรีไทย และการจับจังหวะทางการเมืองโลกที่เอื้ออำนวย (การแข่งขันอำนาจระหว่างสหรัฐฯ กับจักรวรรดิยุโรป) อย่างได้ผล
บทความที่เกี่ยวข้อง:
วันสันติภาพไทย: ไทยรอดมาด้วยความบังเอิญจริงหรือ? (ตอนที่ 1)
อ่านเพิ่มเติม:
จดหมายของปรีดี พนมยงค์ ถึง พระพิศาลสุขุมวิท
หมายเหตุ: เอกสารหลักฐานอ้างอิงทั้งหมด สามารถดูได้จากหนังสือ “โมฆสงคราม ฉบับสมบูรณ์” เร็ว ๆ นี้

พิธีสวนสนามเสรีไทยของทหารสัมพันธมิตร 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงตรวจรับการสวนสนามของเหล่าทหารสัมพันธมิตร พร้อมด้วยลอร์ดหลุยส์ เมาต์แบ็ตเทน ผู้บัญชาการสูงสุดสัมพันธมิตร ในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ (ยืนซ้ายสุด) ปรีดี พนมยงค์ (ยืนขวาสุด)


ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ ได้รับเชิญจากลอร์ดหลุยส์ เมาต์แบ็ตเทน เยือน Chateau de Broadlands, England ตุลาคม 2513 (1970)

จดหมายจากลอร์ดหลุยส์ เมาต์แบ็ตเทน หลังปรีดี-พูนศุข เยือน Broadlands ตุลาคม 2513 (1970)

จดหมายจากลอร์ดหลุยส์ เมาต์แบ็ตเทน ตอบขอบคุณสำหรับบัตรอวยพรคริสต์มาสและอวยพรปีใหม่ 2514 (1971)

ปรีดีส่งโทรเลขถึงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร แสดงความเสียใจต่อการจากไปของลอร์ดหลุยส์ เมาต์แบ็ตเทน และควีนได้ตอบโทรเลขกลับ 28 สิงหาคม 2522 (1979)


ภายหลังสงครามสิ้นสุด ปรีดี พนมยงค์ ได้รับมอบอิสริยาภรณ์ “Medal of Freedom” ใบปาล์มทองคำ จากประธานาธิบดีแฮร์รี่ เอส.ทรูแมน ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ปี 2489 ในฐานะที่มีบทบาทสำคัญต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2


ภายหลังสงครามสิ้นสุด ปรีดี พนมยงค์ ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ “รัฐบุรุษอาวุโส” วันที่ 8 ธันวาคม 2488 เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ภาคผนวก:
1. บทความจากหนังสือพิมพ์ The Times ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2489
แปลเป็นภาษาไทย:
ผู้มาเยือนจากสยาม การรณรงค์ของหลวงประดิษฐ์: การเปิดเผยของลอร์ดเมาท์แบ็ตเทน
ลอร์ดเมาท์แบ็ตเทนแห่งพม่า อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับการต้อนรับเลี้ยงอาหารกลางวันที่ City Livery Club ที่ Sion College เมื่อวานนี้ ได้กล่าวสุนทรพจน์ถึงบทบาทสำคัญที่หลวงประดิษฐ์ฯ รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม มีต่อการโค่นล้มกองทัพญี่ปุ่นที่เข้ายึดครองสยาม เขาได้ขยายความในรายละเอียดจากหนังสือพิมพ์ The Times ฉบับประจำวันที่ 22 ธันวาคม เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา และประกาศว่าประดิษฐ์ฯ “หนึ่งในบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" กำลังจะเดินทางมาถึงอังกฤษโดยเรือควีนอลิซาเบธในเช้าวันพรุ่งนี้
ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม [ลอร์ดเมาท์แบ็ตเทนกล่าว] เป็นที่รู้จักกันดีในโลกในชื่อ “หลวงประดิษฐ์” และสำหรับพวกเราหลายคนแห่งกองบัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียร์อาคเนย์ (S.E.A.C.) ในชื่อรหัส "รู้ธ" (Ruth) เขากำลังเดินทางมาเยือนประเทศนี้ในระยะสั้นในฐานะแขกของรัฐบาล (อังกฤษ) และหวังว่าเราจะใช้โอกาสนี้ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น เพราะประดิษฐ์เป็นหนึ่งในบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในช่วงสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แน่นอนว่าในช่วงสงคราม ชื่อของเขาอาจถูกพูดถึงได้เพียงกระซิบกระซาบ และเรื่องราวทั้งหมดเป็น "ความลับสุดยอด" แม้แต่ตอนนี้สาธารณชนชาวอังกฤษจำนวนมากก็อาจไม่ทราบถึงการกระทำของเขา
เมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดครองสยาม ประดิษฐ์เป็นสมาชิกของรัฐบาล แต่ปฏิเสธที่จะลงนามในคำประกาศสงครามกับเรา ป. พิบูลย์ รู้ว่าเขา (ประดิษฐ์) เป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอำนาจและได้รับความนิยมอย่างยิ่งในประเทศ และหวังที่จะทำให้เขาเป็นตัวหุ่น โดยการเลื่อนตำแหน่งเขาขึ้นไปสู่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เขายอมรับ พิบูลหรือญี่ปุ่นมิได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่า ตั้งแต่ประดิษฐ์เข้ารับตำแหน่ง เขาก็เริ่มดำเนินการจัดตั้งขบวนการต่อต้าน (ญี่ปุ่น) ของชาวสยามขึ้น
ภารกิจที่หายไป
เรารู้จากแหล่งข่าวต่างๆ ว่า พิบูลไม่ได้เป็นผู้ควบคุมทุกอย่างในสยาม แต่การติดต่อ (กับขบวนการต่อต้านภายในสยาม) เป็นเรื่องยากมาก และเป็นเรื่องยากที่จะหาว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ คณะผู้แทนของประดิษฐ์สองคณะได้สูญหายไปในระหว่างการเดินทางที่อันตรายไปยังประเทศจีน และไม่เคยมีใครพบเห็นอีกเลย ในที่สุดก็มีการนัดพบ มันเกิดขึ้นเกือบจะตรงกับวันที่ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตร จากเวลานั้นเป็นต้นมา เรามีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนใคร เพราะผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรได้แลกเปลี่ยนแผนการทางทหารที่สำคัญกับประมุขแห่งรัฐที่ทางเทคนิคแล้วอยู่ในสถานะสงครามกับเรา
กองกำลังเสรีไทยที่ได้รับการฝึกฝนในประเทศนี้ และปฏิบัติการร่วมกับกองกำลัง V Force และ Force 136 ของอังกฤษ ตลอดจนหน่วย O.S.S. ของอเมริกัน ได้ถูกส่งตัวเข้าไปเพื่อช่วยเขา บางคนถูกจับโดยคนของพิบูลและถูกจำคุก เพื่อลดความสงสัยของญี่ปุ่น พวกเขาถูกจับคุมขังแต่เพียงชื่อ เพราะพวกเขาก็พบปะกับประดิษฐ์ได้อย่างลับๆ และสร้างการติดต่อทางวิทยุกับกองบัญชาการของข้าพเจ้า
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2488 เขาได้ส่งคณะผู้นำขบวนการต่อต้านคนสำคัญของเขาภายใต้การบัญชาการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสยาม (ดิเรก ชัยนาม) เพื่อปรึกษาหารือกับข้าพเจ้าในแคนดี้ เรานำพวกเขาออกไปและกลับมาโดยเครื่องบินทะเล หรือเรือเหาะ ในระหว่างการเจรจาของเรา เราได้วางแผนที่เป็นรูปธรรมสำหรับการดำเนินการในอนาคตร่วมกับกองกำลังหลักในยุทธภูมิของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองได้เคยใคร่ครวญอย่างไม่ละวางตลอดมา ถึงความจำเป็นที่ต้องส่งประดิษฐ์ บินออกมาในกรณีที่เกิดฉุกเฉิน
ตราบจนถึงตอนปลายสงคราม เขาได้จัดตั้งกองกำลังเพื่อการบ่อนทำลาย และจัดตั้งกำลังพลพรรคประมาณ 60,000 คน และผู้สนับสนุนเชิงตั้งรับอีกมากมาย ซึ่งอยู่จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั้งหมดในสยาม และพร้อมที่จะโจมตี
'ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง'
ข้าพเจ้าตระหนักถึงความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญในการควบคุมกองกำลังเหล่านี้ แต่ข้าพเจ้าก็ต้องคำนึงถึงอันตรายอย่างมากของการเคลื่อนไหวที่รีบร้อนซึ่งจะนำมาซึ่งการตอบโต้ของญี่ปุ่นอย่างรุนแรงและรบกวนแผนยุทธศาสตร์ของข้าพเจ้าสำหรับยุทธศาสตร์โดยรวม ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกับประดิษฐ์ และความเสี่ยงที่เขาต้องเผชิญมานานกว่าสามปีนั้น เป็นสิ่งซึ่งน่าเกรงขามอย่างยิ่ง แต่ความมีวินัยของเขาเองและสิ่งที่เขาสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ติดตามของเขาก็เอาชนะได้ เขาไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย
ข้าพเจ้ารู้ว่ามีเชลยสงครามจำนวนมากในสยามที่มีเหตุผลอันดีที่จะรู้สึกขอบคุณต่อความปรารถนาดีของประดิษฐ์ที่มีต่อพวกเรา ดังนั้น เรามาให้เกียรติแก่บุคคลผู้ซึ่งได้ให้การบริการอย่างสูงต่อฝ่ายสัมพันธมิตรและประเทศของเขาเอง และผู้ซึ่งจากความรู้ส่วนตัวของข้าพเจ้าเกี่ยวกับเขา เป็นผู้ส่งเสริมมิตรภาพระหว่างอังกฤษกับสยามอย่างแน่วแน่
สายระยางแห่งการต่อต้านในท้องถิ่นต่อการกดขี่ของญี่ปุ่นในดินแดนที่ถูกยึดครองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีช่องว่างน้อยมาก และหนึ่งในข้อต่อที่แข็งแกร่งที่สุดถูกสร้างขึ้นโดยประดิษฐ์ในสยามนี่เอง
[เสียงแห่งความชื่นชมยินดี ได้โห่ร้องก้องขึ้นเป็นเวลายาวนาน]
บทความนี้สรุปด้วยคำยกย่องชมเชยปรีดี พนมยงค์ สำหรับบทบาทของเขาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเน้นย้ำถึงความสำคัญของเขาในฐานะผู้นำขบวนการต่อต้านและผู้สนับสนุนความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างอังกฤษกับสยาม
โทรเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของฝ่ายสัมพันธมิตรในการกำหนดท่าทีต่อประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยให้ความสำคัญกับบทบาทของปรีดี พนมยงค์ และขบวนการต่อต้านของเขา



2.ข้อความโทรเลขหมายเลข 740.0011 PW/S-1545 แปลเป็นภาษาไทย: โทรเลขรัฐมนตรีต่างประเทศถึงเอกอัครราชทูตในสหราชอาณาจักร (ไวแนนท์)
วอชิงตัน, 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 - 15.00 น. (ตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เวลา 8.00 น. กรุงเทพฯ)
6922: สถานทูตอังกฤษแจ้งให้เราทราบ:
ก) กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ได้ให้อำนาจลอร์ดเมาท์แบ็ตเทน แนะนำเป็นการส่วนตัวมายัง “รูธ” (รหัสลับของปรีดี พนมยงค์) ให้ประกาศโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ภายหลังญี่ปุ่นยอมจำนนในที่สุดแล้วนั้น ยกเลิกการประกาศสงครามของไทยต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา อีกทั้งมาตรการทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากการนั้น ที่ดำเนินไปเป็นที่เสียหายแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ยกเลิกการเป็นพันธมิตรและข้อตกลงอย่างอื่นทั้งสิ้นกับญี่ปุ่น ให้ประเทศไทยและกองกำลังทหารไทยบริการฝ่ายสัมพันธมิตร และประกาศความพร้อมที่จะส่งผู้แทนไปยังแคนดี้ทันทีเพื่อติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร อังกฤษเสนอว่าการประกาศดังกล่าวอาจระบุด้วยว่า “รูธ” ได้แจ้งรัฐบาลอังกฤษและอเมริกาตั้งแต่ระยะเนิ่นๆ แล้วว่าขบวนการต่อต้านต้องการริเริ่มปฏิบัติการต่อสู้ศัตรูอย่างเปิดเผย และยับยั้งไว้ก็เพราะคำขอโดยเฉพาะเจาะจงของฝ่ายสัมพันธมิตรด้วยเหตุผลด้านการปฏิบัติทางการทหาร
ข) ให้เมาท์แบ็ตเทนแจ้งด้วยว่า หาก “รูธ” ดำเนินการริเริ่มที่จำเป็นตามคำแนะนำ อังกฤษก็พร้อมที่จะละเว้นจากการกดดันให้มีการดำเนินการต่อไปซึ่งการบังคับให้ไทยทำ “เอกสารยอมจำนน” โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งตามสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ ก็เป็นวิธีธรรมดา (ที่ต้องทำเช่นนั้น) เนื่องจากการสนับสนุนโดยขบวนการต่อต้านของไทยและคำขอของฝ่ายสัมพันธมิตรที่จะไม่ดำเนินการในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และอังกฤษจะปรับนโยบายของตนตามความพร้อมของไทยที่จะชดใช้สิ่งที่ผ่านมาและที่จะร่วมมือในภายหน้า
ค) หาก “รูธ” ปฏิบัติตามคำแนะนำและส่งผู้แทนไปยังแคนดี้ อังกฤษเสนอที่จะสื่อสารกับกระทรวงการต่างประเทศอเมริก้นก่อนที่จะเริ่มการเจรจาเกี่ยวกับเงื่อนไขที่พวกเขา (ไทย) พร้อมที่จะยุติสถานะสงคราม
(ลงนาม) เบิร์นส์
ร.ม.ต. กระทรวงต่างประเทศ
โทรเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของฝ่ายสัมพันธมิตรในการกำหนดท่าทีต่อประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยให้ความสำคัญกับบทบาทของปรีดี พนมยงค์ และขบวนการต่อต้านของเขา

[1] ปรีดี พนมยงค์, “ประกาศสันติภาพ” ใน “ชีวประวัติย่อ นายปรีดี พนมยงค์ (จนถึง 24 กรกฎาคม 2525)” (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2526), หน้า 50-60.
[2] สันติสุข โสภณศิริ (บรรณาธิการ). คำเปิดเผยของลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบทเตน เกี่ยวกับนายปรีดี พนมยงค์, ใน, เอกราชได้มาด้วยการต่อสู้, (กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, พิมพ์ครั้งที่ 2, 2543), น. 105-111
[3] ปรีดี พนมยงค์. “บทความบางเรื่องของนายปรีดี พนมยงค์ ส่วนที่ 4 การก่อตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นและเสรีไทย”, ใน, “อนุสรณ์ นายปราโมทย์ พึ่งสุนทร นักอภิวัฒน์, เสรีไทย นายสนามมวยเวทีราชดำเนินคนแรก” (กรุงเทพฯ: วัฒนาพานิช. 2525), หน้า 55-61.
[4] บันทึกของกรมกิจการปาซิฟิคตะวันตกเฉียงใต้, 13 มกราคม 2488.
[5] ปรีดี พนมยงค์, “การปฏิบัติด้าน 2 ปฏิบัติการเพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองว่าประเทศไทยไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามและการผ่อนหนักเป็นเบา” ใน จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิท เรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และ สหรัฐอเมริกา (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์. 2522), น. 20-29.
[6] The Chinese in Southeast Asia, Victor Purcell หน้า 190.
[7] จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม 16 สิงหาคม 2507, จดหมายเหตุจากหัวหน้าเสรีไทย, หน้า 171-173.
[8] อ่านเพิ่มเติม: ความสนใจของสหรัฐอเมริกาในปัญหาการรับรองขบวนการเสรีไทย จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คอร์เดล ฮัลล์ | สถาบันปรีดี พนมยงค์ https://pridi.or.th/th/content/2022/08/1225
[9] คำเปิดเผยของเมาท์แบ็ตเทน 18 ธันวาคม 2489, The Times.
[10] จดหมายจากคอร์เดล ฮัลล์ 26 สิงหาคม 2486.
[11] จดหมายของปรีดีถึงพระพิศาลสุขุมวิท, หน้า 54.
[12] จดหมายอุปทูตอังกฤษถึงนายปรีดี, จดหมายของปรีดีถึงพระพิศาลสุขุมวิท, หน้า 76.