Focus
- รวมเอกสารทางการทูต ตั้งแต่ปี 2486 (1943) ถึง 2488 (1945) ตอนที่ 3 ในช่วงระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 2 ได้เน้นบันทึกและโทรเลขของอังกฤษและไทยใน พ.ศ. 2488 ทั้งเรื่องปฏิบัติการเสรีไทยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงความขัดแย้ง การต่อรองทางการทูตระหว่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และไทยซึ่งดำเนินไปอย่างเข้มข้น ณ ขณะนั้น
วิเคราะห์และสรุปเอกสารทางการทูต (เมษายน - สิงหาคม 2488)
ช่วงระหว่างเดือน เมษายน ถึง สิงหาคม พ.ศ. 2488 เป็นระยะเวลาสำคัญที่ประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางการทูตอย่างรวดเร็ว จากการเคยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง มาสู่การสร้างสัมพันธไมตรีกับฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อสงครามสิ้นสุดลง เนื้อหาต่อไปนี้จะวิเคราะห์บริบททางประวัติศาสตร์ เอกสารทางการทูตสำคัญ ยุทธศาสตร์ของชาติมหาอำนาจ ตลอดจนสรุปผลลัพธ์และบทเรียนจากสถานการณ์ทางการทูตของไทยในช่วงเวลาดังกล่าว
บริบททางประวัติศาสตร์และสถานการณ์ทางการทูต
ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง (เมษายน–สิงหาคม 2488) ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่ซับซ้อนทางการทูต ภายในประเทศ กระแสต่อต้านญี่ปุ่นก่อตัวขึ้นเมื่อสงครามยืดเยื้อ และไทยตกเป็นเป้าการทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตรอย่างหนักในปี 2487-2488 ความไม่พอใจในตัวจอมพล ป. พิบูลสงครามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บรรดาผู้นำและประชาชนไทยจำนวนมากหันไปสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ (ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น) ซึ่งมีท่าทีต่อต้านญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ผลคือรัฐบาลทหารของพิบูลสงครามล่มสลายในเดือนกรกฎาคม 2487 เปิดทางให้รัฐบาลพลเรือนภายใต้ นายควง อภัยวงศ์ ขึ้นบริหารประเทศ โดยมีผู้สำเร็จราชการฯ ปรีดี พนมยงค์ สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
รัฐบาลใหม่ได้ลดความร่วมมือกับญี่ปุ่นลงและเริ่มดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อฝ่ายสัมพันธมิตรมากขึ้น เช่น ขบวนการเสรีไทย ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายใต้ดินในประเทศที่ปรีดีเป็นผู้นำ และกลุ่มอาสาสมัครไทยในต่างประเทศที่นำโดย เสนีย์ ปราโมช ได้ทำงานร่วมกับหน่วยข่าวกรองสัมพันธมิตรอย่างใกล้ชิด ขบวนการเสรีไทยให้ความช่วยเหลือด้านข่าวกรองและการก่อวินาศกรรมแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร และถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับคืนมาได้เร็วขึ้น ภายในปีสุดท้ายของสงคราม รัฐบาลไทยโดยพฤตินัย ได้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ของสัมพันธมิตรเข้ามาปฏิบัติการในไทยอย่างลับๆ แทบจะเสรี สะท้อนถึงท่าทีที่ไทยเริ่มเทน้ำหนักไปทางฝ่ายสัมพันธมิตรก่อนที่สงครามจะยุติลง
นโยบายของปรีดี พนมยงค์ และขบวนการเสรีไทย: นายปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ และผู้นำเสรีไทยในประเทศ ได้วางนโยบายสองแนวทางควบคู่กัน ได้แก่ แนวทางเปิดเผย คือรักษาความเป็นมิตรกับญี่ปุ่นตามจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้ไทยตกเป็นสมรภูมิ และ แนวทางลับ คือสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรเต็มที่ผ่านขบวนการเสรีไทย เมื่อสงครามใกล้สิ้นสุด ปรีดีเตรียมการประกาศ “สันติภาพ” เพื่อเปลี่ยนสถานะของประเทศไทยทันทีที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ นโยบายนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อให้ไทย “เปลี่ยนข้าง” ได้ทันท่วงที ลดโอกาสที่ไทยจะถูกยึดครองหรือปกครองโดยกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรหลังสงคราม ความพยายามดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ อย่างเงียบๆ โดยสหรัฐฯ เห็นว่าหากไทยสามารถลุกขึ้นต่อต้านญี่ปุ่นได้เองและเข้าข้างสัมพันธมิตร ไทยก็ควรได้รับสถานะ “ชาติที่ได้รับการปลดปล่อย” มากกว่าจะถูกถือว่าเป็นชาติผู้แพ้สงคราม นอกจากนี้ ขบวนการเสรีไทยยังดำเนินงานด้านการข่าวและการกู้ภัยนักบินฝ่ายสัมพันธมิตรที่ตกในไทย ทั้งยังเตรียมกำลังพลเพื่อช่วยรักษาความสงบเมื่อญี่ปุ่นยอมจำนน บทบาทของเสรีไทยและปรีดีในช่วงนี้จึงเป็นหัวใจในการพลิกสถานการณ์ทางการทูตของไทยให้กลับมาอยู่ฝ่ายโลกเสรีในที่สุด
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง สถานการณ์ของไทยได้รับการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีเกินกว่าที่อังกฤษเคยคาดคิดไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลของการดำเนินนโยบายของมหาอำนาจที่แตกต่างกันดังกล่าว สหรัฐอเมริกาในฐานะพันธมิตรผู้ทรงอิทธิพลยืนกรานให้ปฏิบัติต่อไทยอย่างผ่อนปรน ทำให้ไทยไม่ถูกปฏิบัติเสมือนประเทศฝ่ายอักษะอื่นๆ ที่แพ้สงคราม (เช่น เยอรมนีหรือญี่ปุ่น) ไทยไม่ต้องถูกยึดครองโดยกองกำลังต่างชาติหรือถูกปกครองโดยคณะกรรมการควบคุมใด ๆ ดังที่อังกฤษเคยเสนอไว้ ไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลของตนเองภายใต้การนำของบุคคลที่ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับ (เช่น เสนีย์ ปราโมช ซึ่งกลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังสงคราม) และเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกัน อังกฤษแม้จะยังยืนยันให้ไทยลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการ แต่เงื่อนไขที่อังกฤษสามารถกำหนดได้ก็ถูกทำให้ซอฟต์ลงอย่างมากด้วยแรงกดดันจากสหรัฐฯ อังกฤษเรียกร้องเพียงให้ไทยยอมคืนดินแดนที่ได้มาในช่วงสงคราม (เช่น พื้นที่รัฐฉานในพม่าและมลายาตอนเหนือ) และให้ไทยช่วยส่งข้าวจำนวนหนึ่งให้แก่รัฐมลายาที่ขาดแคลนอาหารภายหลังสงคราม เงื่อนไขต่างๆ เช่น การจำกัดกำลังทหารไทยหรือการเข้าควบคุมเศรษฐกิจไทยอย่างเข้มงวดตามที่บางฝ่ายในอังกฤษเคยหวัง กลับไม่เกิดขึ้นจริง นับเป็นความสำเร็จทางการทูตของไทยที่สามารถหลีกเลี่ยงการลงโทษที่รุนแรงเกินไป
สาระสำคัญของเอกสารทางการทูต
ช่วงใกล้สิ้นสุดสงคราม ความร่วมมือทางการทูตระหว่างขบวนการเสรีไทยกับสัมพันธมิตรยิ่งเข้มข้นขึ้น เอกสารของสหรัฐฯ ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2488 (หนึ่งวันหลังญี่ปุ่นประกาศยอมจำนน) บันทึกการเข้าพบเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ของ เสนีย์ ปราโมช (รัฐมนตรีไทยประจำกรุงวอชิงตันในขณะนั้น) เพื่อหารือท่าทีร่วมหลังสงคราม ในการพบปะดังกล่าว เสนีย์ได้แจ้งข่าวด่วนว่านายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ได้ส่งโทรเลขลับจากกรุงเทพฯ มาแจ้งว่า รัฐบาลไทยได้ประกาศ “ลบล้าง” คำประกาศสงครามต่อสหรัฐฯ และอังกฤษ และ ขอ “บอกเลิก” สนธิสัญญาและความตกลงทั้งปวงที่ทำไว้กับญี่ปุ่นโดยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งล้วนเป็นข้อตกลงที่ส่งผลเสียต่อฝ่ายสัมพันธมิตร การประกาศดังกล่าวถือเป็นการพลิกกลับท่าทีของไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเตรียมเปลี่ยนฝ่ายทันทีที่สงครามยุติลง เสนีย์ได้แจ้งต่อทางสหรัฐฯ ด้วยว่า รัฐบาลไทยจะส่งบันทึกอย่างเป็นทางการไปยังตัวแทนของทุกประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรที่เคยอยู่ในภาวะสงครามกับไทย เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงจุดยืนนี้ นอกจากนี้ ฝ่ายไทย (ผ่านทางขบวนการเสรีไทย) ยังเสนอความร่วมมือหลังสงคราม เช่น พร้อมจะระดมกำลังตำรวจและทหารไทยเข้าช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรในการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่ในไทยภายหลังการยอมจำนน ข้อเสนอนี้เป็นไปตามข้อตกลงล่วงหน้าระหว่างเสรีไทยกับฝ่ายสหรัฐฯ (โดยนายปรีดีได้รับสัญญาณสนับสนุนผ่านนายเสนีย์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2488 ว่าสหรัฐฯ จะออกแถลงการณ์รับรองสถานะไทยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม) การดำเนินงานทางการทูตดังกล่าวแสดงถึงความพยายามของไทยที่จะวางตนให้อยู่ฝ่ายผู้ชนะสงครามในนาทีสุดท้าย เพื่อรักษาเอกราชและหลีกเลี่ยงการถูกยึดครองดังเช่นประเทศที่แพ้สงครามอื่นๆ
ข้อตกลงทางการเมืองและการทหารที่ไทยต้องเผชิญ: หลังสงคราม สัมพันธมิตรได้ยื่นเงื่อนไขหลายประการที่ไทยจำต้องยอมรับเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต เงื่อนไขสำคัญ ได้แก่ การเพิกถอนสิ่งที่ไทยได้มาระหว่างสงคราม ไม่ว่าจะเป็น ดินแดน หรือ สถานะทางการเมือง บรรดาพื้นที่ที่ไทยได้มาช่วงสงคราม (เช่น บางส่วนของมลายู พม่า และอินโดจีนฝรั่งเศสที่ญี่ปุ่นเคยยกให้ไทย) ต้องคืนให้แก่เจ้าของเดิมทั้งหมด นอกจากนี้อังกฤษยังเรียกร้องให้ไทย ชดใช้ค่าเสียหาย ที่เกิดกับผลประโยชน์ของชาติตนในไทยระหว่างสงคราม และดำเนินมาตรการลงโทษผู้ร่วมมือกับญี่ปุ่นบางรายด้วย ในการเจรจาลับระหว่างผู้แทนไทยกับฝ่ายอังกฤษ (เช่น การที่นายดิเรก ชัยนาม เดินทางไปพบเจ้าหน้าที่อังกฤษที่เกาะศรีลังกาเมื่อต้นปี 2488) ฝ่ายไทยได้แสดงความเต็มใจจะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าวทุกประการ รวมถึงการคืนดินแดนที่ได้มาระหว่างสงครามและการชดใช้ค่าเสียหายแก่ทรัพย์สินของชาวอังกฤษ เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของไทยในการแก้ไขสถานการณ์ให้ถูกต้อง การยอมรับเงื่อนไขหนักหน่วงเหล่านี้สะท้อนว่าฝ่ายผู้นำไทย (เช่น ปรีดี พนมยงค์และคณะเสรีไทย) ตระหนักดีว่าเป็นหนทางเดียวที่จะได้รับการยอมรับจากอังกฤษและมหาอำนาจอื่นๆ หลังสงคราม
นโยบายของสัมพันธมิตรต่อไทยหลังสงคราม: นโยบายร่วมของสัมพันธมิตรต่อไทยค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้นเมื่อสงครามใกล้สิ้นสุดและภายหลังญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ ในการประชุมผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตร (เช่น ยัลตาและพ็อทส์ดัม) ประเด็นประเทศไทยเป็นหัวข้อหนึ่งที่สหรัฐฯ และอังกฤษต้องตกลงกัน ที่ประชุมพ็อทส์ดัมเดือนกรกฎาคม 2488 อังกฤษและสหรัฐฯ ได้หารือจนได้ฉันทามติขั้นต้น โดยยอมให้ อังกฤษเป็นผู้ดำเนินการทางการทหารในเอเชียอาคเนย์ รวมถึงรับการยอมจำนนของกองทัพญี่ปุ่นในไทย แต่ในทางการเมืองนั้นจะไม่ทำให้ไทยสูญเสียเอกราชโดยสิ้นเชิง สหรัฐฯ เองก็สนับสนุนให้ไทยจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของอังกฤษที่ได้ตระเตรียมไว้ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2488 ว่า อังกฤษจะยอมเจรจากับรัฐบาลไทยที่ “ปลดปล่อยตัวเองจากญี่ปุ่น” แล้วเท่านั้น นโยบายนี้นำไปสู่การประสานงานระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับกลุ่มเสรีไทยอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของสงคราม และปูทางไปสู่ข้อตกลงในระยะเปลี่ยนผ่านหลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม
การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์
สถานการณ์ทางการทูตของไทยในช่วงเวลาดังกล่าวต้องพิจารณาทั้งมุมมองของมหาอำนาจที่มีต่อไทยและยุทธศาสตร์ของไทยเองในการปรับตัวเข้าสู่ระเบียบโลกหลังสงคราม:
-
อังกฤษ: อังกฤษยังคงถือว่าไทยเป็นประเทศศัตรูที่ร่วมกับญี่ปุ่นโจมตีอาณานิคมของตน ดังนั้นแนวโน้มจุดยืนของอังกฤษในปี 2488 จึงแข็งกร้าวกว่าสหรัฐฯ โดยต้องการให้ไทยชดใช้กรรมที่เคยร่วมมือกับฝ่ายอักษะ อังกฤษบางส่วน (เช่น นายโจไซอะ ครอสบี รัฐมนตรีอังกฤษประจำกรุงเทพฯ) เคยเสนอไว้ตั้งแต่ปี 2486-2487 ว่าไทยควรได้รับการปกครองภายใต้ผู้ชนะสงครามในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อลงโทษและป้องกันภัยในอนาคต แม้ข้อเสนอรุนแรงเช่นการให้ไทยตกอยู่ใต้ “ความดูแล” ของนานาชาติจะไม่ใช่มติอย่างเป็นทางการของรัฐบาลอังกฤษทั้งหมด แต่โดยรวมแล้วอังกฤษต้องการให้ไทย “ชดใช้” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งหลังสงคราม ทั้งในรูปดินแดน (เช่น คืนรัฐมลายูและดินแดนในพม่าให้แก่เจ้าของเดิม) และค่าปฏิกรรมสงคราม
-
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐฯ มีท่าทีตรงข้ามกับอังกฤษในหลายด้าน เนื่องจากสหรัฐฯ มองบทบาทของขบวนการเสรีไทยและกระแสประชาชนไทยที่ต่อต้านญี่ปุ่นว่าเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร จึงเลือกที่จะวางตัวแบบ “ให้อภัยและเดินหน้า” มากกว่าจะลงโทษไทยอย่างรุนแรง และเมื่อสงครามจบลง สหรัฐฯ ก็หลีกเลี่ยงการปฏิบัติต่อไทยในฐานะประเทศผู้แพ้สงคราม จุดยืนของสหรัฐฯ คือสนับสนุนให้ไทยกลับมาเป็นเอกราชเต็มที่โดยเร็ว ปราศจากการยึดครองของต่างชาติ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อขัดขวางไม่ให้อังกฤษใช้อิทธิพลแบบจักรวรรดินิยมในภูมิภาคต่อไป และเพื่อดึงไทยให้อยู่ในระบบโลกเสรีประชาธิปไตยที่สหรัฐฯ กำลังวางรากฐานหลังสงครามอยู่ สหรัฐฯ เล็งเห็นว่าไทยสามารถเป็นพันธมิตรที่มั่นคงในเอเชียอาคเนย์ และท่าทีแข็งกร้าวของอังกฤษต่อไทยอาจผลักไทยไปสู่อ้อมอกของขั้วอำนาจอื่นได้ ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯ จึงใช้อิทธิพลของตนหลังสงครามช่วยไทยให้ได้รับเงื่อนไขสันติภาพที่เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
-
จีนและชาติพันธมิตรอื่นๆ : จีน (รัฐบาลเจียงไคเช็ก) ในฐานะฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งเคยมีกรณีพิพาทกับไทยเรื่องอินโดจีนมาก่อนสงคราม มีความสนใจให้ไทยปลดระวางอิทธิพลญี่ปุ่นและร่วมสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค จีนสนับสนุนการที่ไทยกลับมาเป็นเอกราช แต่ก็ต้องการให้ไทยยกเลิกนโยบายที่กระทบต่อจีน เช่น การยกเลิกมาตรการต่อต้านชาวจีนโพ้นทะเลในไทย (ซึ่งรัฐบาลจอมพล ป. เคยใช้) นอกจากนี้ ฝ่ายพันธมิตรยุโรปอื่นๆ อย่าง ฝรั่งเศส ซึ่งต้องการกอบกู้เอกราชในอินโดจีน ก็มีเงื่อนไขชัดเจนต่อไทยหลังสงคราม โดยฝรั่งเศสยืนกรานว่าไทยต้องคืนดินแดนในลาวและกัมพูชาที่ไทยได้ผนวกในช่วงสงครามกลับสู่สถานะก่อนสงคราม ฝรั่งเศสถึงกับขู่ว่าจะขัดขวางไทยในการเข้าร่วมสหประชาชาติหากเงื่อนไขนี้ไม่ถูกตอบสนอง ขณะที่ สหภาพโซเวียต แม้จะไม่มีบทบาทโดยตรงในเอเชียอาคเนย์ในช่วงสงคราม แต่หลังสงครามก็ใช้เวทีเจรจาสันติภาพเรียกร้องให้ไทย ยกเลิกกฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์ เพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติทางการเมืองหลังยุคที่ไทยเคยร่วมมือกับฝ่ายอักษะ โดยโซเวียตถือว่าเงื่อนไขนี้เป็นสัญลักษณ์การปรับตัวสู่ระเบียบโลกใหม่ที่มุ่งเน้นความร่วมมือระหว่างอุดมการณ์ต่างๆ
-
ยุทธศาสตร์ของไทย: ฝ่ายไทยภายใต้การนำของปรีดี พนมยงค์ และเครือข่ายเสรีไทยได้ดำเนินยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดในการพลิกสถานการณ์ประเทศ “จากผู้แพ้ให้กลายเป็นผู้รอด” กล่าวคือ ไทยพยายามฉวยโอกาสจากความเห็นต่างระหว่างมหาอำนาจ (โดยเฉพาะสหรัฐฯ กับอังกฤษ) มาเล่นเกมถ่วงดุลให้ตนเองได้รับประโยชน์สูงสุด รัฐบาลไทยเลือกที่จะประกาศยอมรับข้อเรียกร้องบางประการของฝ่ายสัมพันธมิตร (เช่น การคืนดินแดนที่ได้มาในสงคราม และการชดใช้ค่าเสียหายบางส่วน) ล่วงหน้า เพื่อสร้างเครดิตและความเห็นใจจากฝ่ายสัมพันธมิตร นอกจากนี้ไทยยังจัดฉากเปลี่ยนขั้วทางการเมืองภายในประเทศทันทีที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม เช่น การให้นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปลายเดือนสิงหาคม 2488 ด้วยเหตุผลว่าภาพลักษณ์ของเขาใกล้ชิดญี่ปุ่นเกินไป และให้นายทวี บุญยเกตุ เป็นนายกฯ ชั่วคราว ก่อนเชิญ เสนีย์ ปราโมช กลับจากอเมริกามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อเจรจาโดยตรงกับฝ่ายสัมพันธมิตร ยุทธศาสตร์นี้ทำให้ภาพลักษณ์ของไทยในสายตาผู้ชนะสงครามดีขึ้นว่าไทยมี “รัฐบาลประชาชน” ที่ไม่ได้ฝักใฝ่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว
ไทยยังชูบทบาทของขบวนการเสรีไทยว่าเป็นการร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรภายในประเทศ ซึ่งช่วยลดแรงกดดันจากนานาชาติในการปฏิบัติต่อไทยเสมือนประเทศผู้แพ้สงคราม ในเชิงกฎหมาย ไทยอ้างว่าคำประกาศสงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในอดีตนั้น “ขัดรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะ” ทำให้ไทยไม่จำเป็นต้องลงนามในตราสารยอมแพ้อย่างเป็นทางการเช่นประเทศฝ่ายอักษะอื่นๆ และสามารถอ้างสถานะประเทศเอกราชต่อเนื่องได้ทันทีเมื่อสงครามสิ้นสุด
ความขัดแย้งเชิงอำนาจระหว่างอังกฤษและสหรัฐฯ: ดังที่กล่าวมา อังกฤษกับสหรัฐฯ มีเป้าหมายต่างกันในกรณีไทย อังกฤษซึ่งต้องการฟื้นฟูอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังสงคราม มีท่าทีแข็งกร้าวต่อไทยในช่วงแรก โดยหวังใช้ไทยเป็นตัวอย่างไม่ให้ชาติอื่นเอาเยี่ยงอย่างในการร่วมมือกับญี่ปุ่น อังกฤษเน้นหลักการว่าประเทศไทยในฐานะผู้ร่วมฝ่ายอักษะแพ้สงคราม ต้องยอมลงนามในความตกลงทางทหารเพื่อยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร และอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมาธิการฝ่ายสัมพันธมิตรระยะหนึ่ง แต่สหรัฐฯ ซึ่งมีแนวคิดต้านลัทธิล่าอาณานิคม กลับไม่ต้องการให้มาตรการต่อไทยรุนแรงจนเกินไป ความขัดแย้งนี้เห็นได้ชัดในการเจรจาระดับผู้นำ – ประธานาธิบดี แฟรงกลิน รูสเวลต์ (ก่อนเสียชีวิตเมษายน 2488) เคยพยายามเกลี้ยกล่อมนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล ของอังกฤษให้ผ่อนปรนต่อไทย ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ คนถัดมา (แฮร์รี ทรูแมน) ก็สนับสนุนแนวทางยอมรับประเทศไทยเข้าสู่ระบบระหว่างประเทศโดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อต้านอิทธิพลของอังกฤษในภูมิภาคและเพื่อป้องปรามไม่ให้แนวคิด เช่น ของ “ครอสบี” (การลดทอนอำนาจไทยอย่างรุนแรง) ถูกนำมาใช้จริง สุดท้ายทั้งสองมหาอำนาจได้ประนีประนอมกันในระดับหนึ่ง: อังกฤษเป็นผู้นำในการรับมอบการยอมแพ้ของกองทัพญี่ปุ่นในไทยและจัดทำข้อตกลงสมบูรณ์แบบกับไทยในปีถัดมา ขณะที่สหรัฐฯ สนับสนุนการที่ไทยหลีกเลี่ยงสถานะ “ผู้แพ้สงคราม” อย่างเต็มที่ (เช่น การไม่ต้องลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพหลายฝ่ายแบบที่ญี่ปุ่นหรือเยอรมนีต้องเผชิญ) ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงสามารถรักษาเอกราชและสถานะอธิปไตยของตนไว้ได้ แม้จะต้องยอมทำตามเงื่อนไขบางอย่างของอังกฤษก็ตาม
บทบาทของจีนและขบวนการเสรีไทยในการกำหนดนโยบายทางการทูต: นอกจากอังกฤษและสหรัฐฯ แล้ว จีนก็เป็นอีกฝ่ายที่มีบทบาท ในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลจีนภายใต้การนำของจอมพลเจียง ไคเช็ก (จีนคณะชาติ) เป็นหนึ่งในฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งตามสถานะแล้วจีนอยู่ในฐานะที่จะร่วมตัดสินอนาคตประเทศที่เคยร่วมมือกับญี่ปุ่น ในกรณีไทย รัฐบาลจีนมีท่าทีสนับสนุนการกลับคืนสู่เอกราชของไทยแต่ก็ระมัดระวังไม่ให้ไทยเป็นภัยต่อเสถียรภาพภูมิภาค ตัวอย่างเช่น เมื่อต้นปี 2488 กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเคยแจ้งเตือนไปยังรัฐบาลจีนให้ระวังการติดต่อกับผู้แทนไทยที่ลอบออกนอกประเทศ (จำกัด พลางกูร และสงวน ตุลารักษ์) เพราะอังกฤษเกรงว่าจะเกิดความสับสนในหมู่ฝ่ายสัมพันธมิตรต่อท่าทีที่ยังไม่แน่ชัดของไทย อย่างไรก็ตาม จีนเองก็ยินดีที่เห็นไทยมีขบวนการเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่น และหลังสงครามจีนก็รีบสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลไทยชุดใหม่ทันที (รัฐบาลปรีดี พนมยงค์ และควง อภัยวงศ์) เพื่อยืนยันว่าไทยจะไม่หันไปสนับสนุนจีนฝ่ายคอมมิวนิสต์
ผลลัพธ์ของการทูตไทย: การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองบรรลุเป้าหมายสำคัญ นั่นคือ การรักษาเอกราชและอธิปไตยของประเทศ ท่ามกลางสภาวะที่ประเทศมหาอำนาจกำลังจัดระเบียบโลกใหม่ ไทยสามารถพลิกสถานการณ์จากการถูกมองว่าเป็นชาติผู้แพ้ มาเป็นหุ้นส่วนของฝ่ายชนะได้อย่างแยบยล นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะหัวหน้าเสรีไทยและผู้สำเร็จราชการฯ ได้ประกาศ “สันติภาพ” เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488 โดยให้ถือว่าการประกาศสงครามต่อสัมพันธมิตรของรัฐบาลเดิมเป็นโมฆะและไม่ผูกพันประชาชนชาวไทยอีกต่อไป การประกาศนี้เป็นการเคลื่อนไหวทางกฎหมายและการทูตที่ชาญฉลาด ซึ่งแม้จะมีเสียงวิจารณ์ภายในประเทศบ้าง แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรในภูมิภาค (ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตเตน) ที่แนะนำให้ไทยดำเนินการดังกล่าว ผลคือประเทศไทยกลายเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกยึดครองหลังสงคราม ต่างจากเพื่อนบ้านหลายประเทศ (เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม หรือพม่า) ที่ต้องเผชิญภาวะสงครามหรือตกอยู่ใต้การปกครองของเจ้าอาณานิคมเดิมในช่วงเปลี่ยนผ่าน
การเปลี่ยนผ่านจากพันธมิตรญี่ปุ่นสู่มิตรสัมพันธมิตร: สถานะของไทยในสายตานานาชาติระหว่างปี 2488 พลิกผันอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ไทยมีภาพลักษณ์เป็นประเทศที่ร่วมมือกับญี่ปุ่นในการรุกรานเพื่อนบ้านและประกาศสงครามต่อมหาอำนาจตะวันตก จนกลายเป็น ไทยสามารถฟื้นฟูชื่อเสียงตนเอง ผ่านบทบาทของขบวนการเสรีไทยที่ช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งในด้านข่าวกรอง การช่วยเชลยศึก และการเตรียมการกู้ชาติ การที่ไทยประกาศตนอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรทันทีที่สงครามยุติ ทำให้อังกฤษ สหรัฐฯ และจีน พร้อมใจกันเปิดรับไทยกลับเข้าสู่ประชาคมระหว่างประเทศโดยเร็ว
ปลายปี 2488 รัฐบาลอังกฤษและสหรัฐฯ ต่างสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยขึ้นใหม่ ขณะที่ไทยยอมลงนามใน ข้อตกลงยอมสงบศึกกับอังกฤษ อย่างเป็นทางการ (ต้นปี 2489) เพื่อยุติสถานะสงครามโดยสมบูรณ์ ภายในสองปีหลังสงคราม ไทยก็ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ (ปี 2489) ซึ่งเท่ากับนานาชาติยอมรับไทยอย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง ความสามารถของไทยในการปรับตัวทางการทูตนี้ ทำให้ไทยรอดพ้นจากการสูญเสียเอกราชหรือดินแดนถาวร (แม้จะต้องคืนดินแดนที่ได้มาช่วงสงครามก็ตาม) และยังสามารถรักษาความต่อเนื่องของสถาบันชาติไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงเสด็จนิวัติพระนครในปี 2488 และ 2489 หรือระบบราชการต่างๆ ที่ยังดำเนินไปโดยไม่ถูกยุบเปลี่ยนโดยผู้ยึดครอง
บทเรียนสำคัญและข้อสังเกต
กรณีของไทยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความยืดหยุ่นทางการทูตและเอกภาพภายในชาติ ในยามวิกฤต ประเทศไทยอาจสูญเสียเอกราชหรือถูกปฏิบัติเยี่ยงประเทศผู้แพ้สงคราม หากไม่มีขบวนการเสรีไทยที่วางเครือข่ายไว้กับฝ่ายสัมพันธมิตร และหากผู้นำไทยขณะนั้นไม่กล้าตัดสินใจเดินเกมการทูตที่เสี่ยงแต่ได้ผล เช่น การประกาศสันติภาพย้อนหลัง ขณะเดียวกัน บทบาทของมหาอำนาจต่าง ๆ ที่มีต่อไทยก็ชี้ให้เห็นว่า ประเทศเล็กสามารถอาศัยความขัดแย้งหรือดุลอำนาจระหว่างมหาอำนาจให้เป็นประโยชน์ได้ สุดท้ายนี้ สถานการณ์ดังกล่าวให้ข้อคิดว่า การรักษาประโยชน์แห่งชาติในเวทีระหว่างประเทศต้องอาศัยทั้งพลังภายในและสายสัมพันธ์ภายนอก ไทยในปี 2488 มีทั้งความกล้าของคนในชาติที่จะยืนหยัดเพื่ออิสรภาพ และมีมิตรต่างชาติที่พร้อมสนับสนุนในเวลาสำคัญ จึงสามารถก้าวผ่านจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์นั้นไปได้อย่างงดงาม และวางรากฐานสู่การฟื้นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สองอย่างรวดเร็วต่อไป
อย่างไรก็ดี การทูตของไทยช่วงปลายสงครามก็ยังต้องเผชิญอุปสรรค: เงื่อนไขและข้อเรียกร้องจากฝ่ายสัมพันธมิตร กลายเป็นภาระที่ไทยต้องแบกรับในช่วงหลังสงคราม โดยเฉพาะจากอังกฤษและฝรั่งเศส อังกฤษเรียกร้องให้ไทยส่งมอบข้าวสารจํานวนมาก (เริ่มต้นเสนอ 1.5 ล้านตัน) เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ขาดแคลนอาหารหลังสงคราม แต่ในสายตาของประชาชนไทย การส่งข้าวจํานวนมหาศาลออกนอกประเทศท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองหลังสงคราม ได้สร้างความไม่พอใจไม่น้อย (อ่านต่อในบทความ “การวิเทโศบายของไทยฯ”)
ฝรั่งเศสเองบังคับให้ไทยสละดินแดนที่ได้มาจากอินโดจีนฝรั่งเศสในสงครามคืนทั้งหมด ซึ่งคนไทยบางส่วนมองว่าเป็น “ดินแดนไทยเดิม” ที่ได้กลับคืนมาอย่างชอบธรรมในช่วงนั้น การต้องคืนดินแดนเหล่านี้ตามสัญญาสันติภาพก็ก่อความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและกองทัพไทยเช่นกัน
นอกจากนี้ ความไม่ลงรอยภายในกลุ่มผู้นำพลเรือนหลังสงครามก็กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ ดังที่เห็นได้จากความขัดแย้งระหว่างปรีดีกับควงจนต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี รัฐบาลเสนีย์ ซึ่งนำประเทศช่วงเจรจาสันติภาพ สามารถอยู่ในอำนาจได้เพียงไม่นานหลังลงนามสัญญาสันติภาพกับอังกฤษในเดือนมกราคม 2489 ก็เผชิญกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องปัญหาเงินเฟ้อ การขาดแคลน และความไม่พอใจที่ต้องสูญเสียดินแดนและทรัพยากร ส่งผลให้ปรีดีต้องเชิญควงกลับมาเป็นนายกฯ ชั่วคราว และสุดท้ายปรีดีเองขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนมีนาคม 2489 เพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่ความแตกแยกของฝ่ายพลเรือนทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลอ่อนแอลง และเปิดช่องให้กองทัพที่สูญเสียอำนาจไปหลังสงครามเริ่มฟื้นอิทธิพลขึ้นมาอีกครั้งในเวลาต่อมา
แหล่งอ้างอิง: กนต์ธีร์ ศุภมงคล. การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช 2483 ถึง 2495 (กรุงเทพฯ: ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ, 2566), หน้า 199–316. เป็นต้น. (รวมทั้งเอกสารทางการทูตของสหรัฐฯ และอังกฤษที่เกี่ยวข้อง)
รวมเอกสารทางการทูต (เมษายน - สิงหาคม 2488)

๘๙๒.๐๑/๔-๒๔๕
สถานทูตอังกฤษถึงกระทรวงการต่างประเทศ[1]
(วอชิงตัน) ๕ เมษายน ๑๙๔๕
โน้ตสำหรับการติดต่อด้วยวาจากับ มร. บัลแลนไทน์ : ก่อนที่จะสามารถตอบโน้ตของกระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๑๙๔๕ เป็นทางการได้ จะต้องปรึกษารัฐบาลประเทศในเครือจักรภพเสียก่อน และจะต้องได้รับการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเป็นประการสุดท้าย สิ่งนี้อาจกินเวลาระยะหนึ่ง ในขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ (อังกฤษ) มีปฏิกิริยาขั้นต้นดังต่อไปนี้
๑.เป็นที่กระจ่างชัดว่า วัตถุประสงค์ที่แน่แท้ของรัฐบาลสหรัฐและของรัฐบาลอังกฤษจะเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามหวังว่ากระทรวงการต่างประเทศจะเข้าใจฐานะของเราในระหว่างช่วงเวลาที่ผ่านมา และตระหนักว่า ปัญหาของประเทศสยามเป็นปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับเราโดยตรงมากกว่าและใกล้ชิดกว่าสหรัฐประเทศไทยอยู่ติดกับพม่าและมลายู และได้ทำสงครามกับเราทั้ง ๆ ที่มีสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน และได้ยอมรับดินแดนของอังกฤษโดยอาศัยมือของญี่ปุ่น ทั้งนี้นอกเหนือไปจากการทำให้เราเสียหาย ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาการเข้าไปติดต่อของเราอย่างระมัดระวัง ขณะนี้เรายังกล่าวไม่ได้ว่าการตกลงกับญี่ปุ่น (สยาม) จะออกมาในรูปใด แต่แน่นอนว่าสภาวะต่าง ๆ ที่สยามก่อขึ้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง (radically altered) เสียก่อน ก่อนที่จะมีการฟื้นฟูสัมพันธ์ฉันมิตรเก่าแก่ของเราดังเดิมอีก เราหวังว่ารัฐบาลสหรัฐจะไม่เข้าใจผิดในการสงวนที่ท่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องไม่เข้าใจว่า เราไม่รับฟังข้อเสนอเมื่อเร็ว ๆ นี้ ของผู้สำเร็จฯ อย่างจริงจัง ในทางตรงกันข้ามเรากำลังดำเนินการตามข้อสันนิษฐานที่ว่า ความปรารถนาของรู้ธที่จะร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นการจริงใจอย่างไม่ต้องสงสัย
๒. อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังคงรู้สึกว่ามีสาระแตกต่างกันบางประการในการทาบทามของคนไทยในวอชิงตันและที่โอมาร์ (Omar) ได้กล่าวไว้ ณ แคนดี ที่เห็นได้ก็คือข้อเสนอของคณะทูตซึ่งเดินทางไปวอชิงตันเพื่อ การจัดตั้ง “รัฐบาลไทยอิสระชั่วคราว” หรืออย่างน้อยที่สุด “คณะกรรมการไทย อิสระ” เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่ยอมรับของขบวนการต่อต้าน (ญี่ปุ่น) นั้น รู้ธมิได้เสนอหรือแนะไว้ในข้อเสนอของเขา
ข้อเสนอเหล่านี้ยังเป็นที่สงสัยว่าจะมีความเหมาะสมและถูกต้องทางปฏิบัติหรือไม่ในขณะนี้
โดยทั่ว ๆ ไปประสบการณ์ของเราในด้าน “ขบวนการอิสระ” ไม่ได้สนับสนุน เราให้คาดหวังว่าจะได้ผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีเช่นของสยาม ซึ่งมีบุคคลที่มีอิทธิพลเพียงสองสามคนอยู่นอกประเทศ เพื่อจัดตั้งนิวเคลียสของขบวนการอิสระ บางทีอาจมีความยากลำบากเพิ่มขึ้น โดยที่การจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวหรือคณะกรรมการปลดปล่อย (Liberation committee) นอกประเทศสยามอาจจะไปเพิ่มความยากลำบากของขบวนการต่อต้านในประเทศ และก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงของญี่ปุ่น
นอกจากนี้ โดยที่ได้มีการติดต่อโดยตรงกับ “รู้ธ” แล้ว จึงเป็นการดีและถูกต้องกว่าในทางปฏิบัติ ที่จะยังคงติดต่อกับเขา (รู้ธ) ผ่านทางลับ (secret channels) ที่มีอยู่ ดีกว่าที่จะไปติดต่อผ่านตัวกลางเหล่านี้
๓. ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากเราได้ให้ข้อสรุปแก่รู้ธแล้วถึงการดำเนินงานขั้นต่าง ๆ ที่เราคาดหวังจะให้ประเทศสยามปฏิบัติเพื่อจะได้ฟื้นฟูสัมพันธภาพเก่าแก่กันใหม่อีก รัฐมนตรีต่างประเทศจึงขอแนะนำว่า วิธีการที่ให้ความหวังที่สุดที่จะกระตุ้นการร่วมมือของสยามกับฝ่ายสัมพันธมิตรก็คือพัฒนาการติดต่อโดยตรงนี้จนกระทั่งถึงวาระสุกงอมพอสำหรับการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวในส่วนหนึ่งของดินแดนสยามที่ได้รับการปลดปล่อยซึ่งรู้ธจะพิจารณาตัดสินเอง

บันทึกการสนทนา โดย The Director of the Office of Far Eastern Affairs
๘๙๒.๐๑/๔-๙๔๕
บันทึกการสนทนา โดย
The Director of the Office of Far Eastern Affairs
(มร. บัลแลนไทน์)
(วอชิงตัน) ๙ เมษายน ๑๙๔๕
ผู้ร่วมสนทนา ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทย
มร. สุนีย์ เทพรักษา
มร. บัลแลนไทน์ FE
มร. แลนดัน
ทูตไทยและ มร. สุนีย์ เทพรักษาได้รับคําเชิญให้มาพบเนื่องจาก มร. เทพรักษา จะออกเดินทางจากวอชิงตันไปกรุงเทพฯ และเขาอาจปรารถนาที่จะได้คำแนะนำของเราในเรื่องซึ่งเขาอาจพูดให้ได้ประโยชน์และเหมาะสมกับผู้สำเร็จฯ ไทย เกี่ยว กับการสนทนาของเรากับอังกฤษในเรื่องของประเทศไทย หรือเกี่ยวกับสถานการณ์แง่อื่น ๆ
เราได้ให้มร. เทพรักษาและทูตไทยอ่านสำเนาฉบับหนึ่งของต้นฉบับของโน้ต ของเราข้างล่างนี้ วิจารณ์โน้ตที่ เซอร์ ยอร์ช แซนซอมได้วิจารณ์โน้ต ลงวันที่ ๑๖ (๑๕) มีนาคม ของเรา ซึ่งเราได้แนะถึงความปรารถนาที่จะสนับสนุนความคิดของการจัดตั้งคณะกรรมการปลดแอกชาติไทยในต่างประเทศ (Free Thai Liberation) โน้ตนั้นมีข้อความดังต่อไปนี้
๑.อังกฤษถือว่าวัตถุประสงค์ขั้นสุดท้ายของรัฐบาลสหรัฐและรัฐบาลอังกฤษส่วนใหญ่เหมือนกัน
๒. อังกฤษกำลังดำเนินการตามข้อสันนิษฐานที่ว่า ความปรารถนาของรู้ธที่จะร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นการจริงใจอย่างปราศจากข้อสงสัย
๓.อังกฤษรู้สึกว่าเป็นการดีกว่าที่จะพัฒนาการติดต่อโดยตรงกับผู้สำเร็จฯ จนกระทั่งถึงเวลาถูกต้องสำหรับการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวในส่วนหนึ่งของดินแดนไทยที่ได้รับการปลดปล่อยตามที่ผู้สำเร็จฯ ไตร่ตรองไว้
มร. เทพรักษาได้จดโน้ตไว้และคืนต้นฉบับ เราได้บอกเขาว่าที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นความหมายอย่างแท้จริง แต่ไม่จำต้องแทนคำพูดที่แท้จริงที่ เซอร์ ยอร์ช ได้กล่าวไว้ และได้กล่าวว่าเราได้รับอนุญาตจากเซอร์ ยอร์ช ให้ถ่ายทอดสิ่งที่เขาได้กล่าวไว้แก่คนไทย เราได้กล่าวว่า ในการถ่ายทอดสิ่งนี้เราไม่สามารถจะรับผิดชอบใด ๆ เกี่ยวกับความผูกพัน (Commitments) ของอังกฤษได้
หลังจากได้ตั้งปัญหาจํานวนหนึ่งใน ๓ ประเด็นข้างต้นแล้ว ทูตไทยได้กล่าวว่า เขาถือว่า ๒ ประเด็นแรกจะเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจแก่ผู้สำเร็จฯ และมร. เทพรักษาควรจะรู้สึกว่าการเดินทางของเขาสมควรอย่างยิ่ง (ไม่เสียเที่ยว) ทูตไทยยังได้แสดงความซาบซึ้งในความช่วยเหลือของกระทรวง
เราได้กล่าวว่า แม้ว่า มร. เทพรักษาจะได้จากไปแล้ว เราก็ยังหวังจะทำการสนทนาต่อไปอีกกับอังกฤษและกับฝ่ายไทย

บันทึกจัดเตรียมขึ้น ณ กระทรวงการต่างประเทศ
๗๔๐.๐๐๑๑
บันทึกจัดเตรียมขึ้น ณ กระทรวงการต่างประเทศ
(วอชิงตัน) ๒๘ พฤษภาคม ๑๙๔๕
รายงานข่าวสำหรับรัฐมนตรีการต่างประเทศข้างล่างนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้รับจากรู้ธในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๑๙๔๕
“ขบวนการต่อต้านฝ่ายไทยได้ยึดมั่นอยู่กับคำแนะนำของผู้แทนอเมริกันอยู่ตลอดเวลาในการที่จะไม่กระทำการก่อนเวลาในปฏิบัติการทุก ๆ ประการเพื่อต่อต้านข้าศึก แต่ในระยะเวลานี้ข้าพเจ้าเชื่อว่า ความอยากสู้รบของญี่ปุ่นจะถูกทำให้ลดน้อยลงหากขบวนการต่อต้านจะไม่อยู่ในลักษณะปกปิดอีกต่อไป ญี่ปุ่นจะถูกบังคับให้ยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตรอย่างปราศจากเงื่อนไขเร็วเข้าเพราะความกลัวของการสิ้นสุดของวงศ์ไพบูลย์
อย่างไรก็ดี เราได้รับคำแนะนำมาว่า ขบวนการต่อต้านควรพยายามยับยั้งความพยายามทุกทางของญี่ปุ่นในการที่จะได้รับความช่วยเหลือจากประเทศไทยเราได้ดำเนินการตามแนวนี้อย่างใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ท่านก็ตระหนักดีว่าญี่ปุ่นกำลังสงสัยมากขึ้นทุกขณะ เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลไทยไม่ยอมต่อการเรียกร้องของญี่ปุ่นสำหรับเครดิตเพิ่มเติมจำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท รัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่าจะไม่อยู่ในตำแหน่ง ถ้าญี่ปุ่นยังคงยืนกรานในเรื่องนี้ ในกรณีดังกล่าวนี้ก็จะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และรัฐบาลใหม่นี้ก็จะต้องมีปฏิกิริยาต่อญี่ปุ่นโดยออกคำสั่งว่าหนี้สินและข้อตกลงทั้งหมดที่รัฐบาล พิบูลทำสัญญาไว้กับญี่ปุ่นเป็นโมฆะ ทั้งนี้ รวมทั้งสนธิสัญญาในการรวมรัฐ ๔ รัฐในมลายูและชานสเตทไว้ในดินแดนของไทย และการประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐและพื้นฐานสัมพันธภาพระหว่างประเทศทั้งสองกับประเทศไทย จะต้อง (จำต้อง) มีขึ้นดังเช่นที่ได้เป็นมาแล้วก่อนเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ก่อนที่จะดำเนินการต่อไปกับแผนการนี้ ข้าพเจ้าต้องการที่จะให้ท่านได้รับทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะแน่ใจว่า สหรัฐมีความปรารถนาดีเกี่ยวกับเอกราชของประเทศไทย และมีความรู้สึกอย่างลึกซึ้งในตัวคนไทย ข้าพเจ้าก็ยังเชื่อมั่นว่า ในวันที่เราเริ่มต้นปฏิบัติการของเรา ถ้าสหรัฐจะได้ประกาศนับถือเอกราชของประเทศไทยและกล่าวว่า สหรัฐถือว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติไม่ใช่ศัตรูก็จะเป็นการให้กำลังใจอย่างยิ่งใหญ่แก่ประชาชนชาวไทยซึ่งเตรียมพร้อมที่จะเสียสละข้าพเจ้าได้แนะนำผู้บัญชาการทหารสูงสุด SEAC ในเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว”
คำตอบข้างล่างนี้ถูกส่งไปในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๑๙๔๕[2]
“ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งในสารที่ท่านได้ส่งให้รัฐมนตรี เราเข้าใจความปรารถนาของท่าน ที่จะให้ประเทศไทยเข้าต่อต้านศัตรูอย่างแข็งขันที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าท่านคงจะตระหนักว่าการต่อต้านทั้งหมดต่อศัตรูร่วมของเราจะต้องประสานกันกับแผนยุทธศาสตร์ทั้งหมดต่อญี่ปุ่น และจะไม่เป็นการดีหากประเทศไทยจะเริ่มต้นปฏิบัติการอย่างเปิดเผยก่อนเวลาอันไม่ร่วมกับแผนการของ SAC SEA และก่อนที่จะได้รับความมั่นใจโดยมีเหตุผลว่าจะประสบความสำเร็จ ฉะนั้น เราจึงหวังว่าท่านจะดำเนินความพยายามของท่านต่อไปเพื่อกีดกันปฏิบัติการอย่างเปิดเผยก่อนเวลาขอขบวนการต่อต้านการกระทำใด ๆ ที่จะทำให้ญี่ปุ่นยึดครองรัฐบาลไทย เราเชื่อมั่นว่าท่านจะให้เราและอังกฤษรับทราบอย่างเต็มที่หากพัฒนาการใด ๆ จะบังเกิดขึ้นโดยที่ท่านได้ใช้ความพยายามกีดกันไว้อย่างมากแล้ว”
“ความปรารถนาอย่างจริงใจของท่านและประชาชนชาวไทยในการที่จะปฏิเสธการประกาศสงครามและข้อตกลงต่าง ๆ ของพิบูลเราเข้าใจและซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง แต่เรายังไม่กระจ่างว่าทำไมรัฐบาลชุดปัจจุบันจะต้องลาออกในขณะนี้ หรืออะไรเป็นสาเหตุบังคับให้รัฐบาลต่อมาจะต้องดำเนินการปฏิเสธเช่นนั้นเป็นการกระทำขั้นแรก ความจริงน่าจะเป็นว่าขบวนการต่อต้านจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างมีสมรรถภาพเมื่อขบวนการนี้โผล่ออกมาจากที่ซ่อนโดยประสานกันจู่โจมสะเบียง การติดต่อ กองทัพ อุปกรณ์ โดยที่ข้าศึกมิได้คาดหมายจับตัวนายทหาร เจ้าหน้าที่ของฝ่ายศัตรู ยึดเอกสารและกุญแจสำคัญต่าง ๆ หลังจากนี้ การปฏิเสธทางการเมืองและการจัดตัวเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรก็จะตามมาได้
เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ต่อการมีรัฐบาลไทยที่มีสมรรถภาพถูกต้องตามรัฐธรรมนูญอยู่ในผืนดินไทยเพื่อร่วมทำงานกับฝ่ายสัมพันธมิตร เราหวังว่าจะได้มีการจัดเตรียมทุกประการที่เป็นไปได้เพื่อคาดหวังการยึดหรือการกระจัดกระจายบุคคลผู้นิยมชมชอบฝ่ายสัมพันธมิตรออกไปเพื่อว่ารัฐบาลเช่นว่าจะสามารถปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็วในอาณาเขตที่ไม่มีญี่ปุ่น และจะสามารถนำปฏิบัติการทางการทหารของไทยประสานกับปฏิบัติการของทหารสัมพันธมิตร และสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนที่มีสมรรถภาพเมื่อดินแดนได้รับการปลดปล่อย
สหรัฐไม่สามารถจะประกาศว่า ประเทศใดเป็นสมาชิกของสหประชาชาติได้แต่เพียงข้างเดียว แต่ก็ยินดีที่จะกล่าวอย่างเปิดเผยเมื่อถึงเวลาเหมาะสมถึงการนับถือความเป็นเอกราชของประเทศไทย และว่าสหรัฐไม่เคยถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรูเลย เราคาดหวังวันเวลาที่จะมาถึงเมื่อประเทศเราทั้งสองจะสามารถประกาศอย่างเปิดเผยและเหมาะสมในกรณีร่วมกันต่อต้านข้าศึกของเรา”
กรู
แทนรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ

บันทึกของ The Acting Director of the Office of Far Eastern Affairs ถึงปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
๗๔๐.๐๐๑๑ P.W./๖-๘๔๕
บันทึกของ
The Acting Director of the Office of Far Eastern Affairs
(มร. ล็อคฮาร์ท)
ถึงปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
(มร. กรู)
(วอชิงตัน) ๘ มิถุนายน ๑๙๔๕
สารส่งถึงท่านที่ได้แนบมาด้วยมาจาก “รู้ธ” ในประเทศไทยเพิ่งได้รับสารนี้เป็นการตอบสารของท่านถึง “รู้ธ” ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๑๙๔๕
สารทั้งหมดเป็นที่น่าพอใจ ควรสังเกตว่า “รู้ธ” ได้ยืนยันความตั้งใจของเขาที่จะทำทุกสิ่งในอำนาจของเขาให้คล้องจองกับความประสงค์ของฝ่ายสัมพันธมิตร และจะให้รัฐบาลนี้และรัฐบาลอังกฤษได้รับทราบพัฒนาการต่าง ๆ เขาอธิบายความ จำเป็นในการเปลี่ยนรัฐบาลว่าเป็นขบวนการตามรัฐธรรมนูญ และการกระทำทางการเมืองซึ่งคิดขึ้น เพื่อช่วยการเปลี่ยนฐานะของรัฐบาลจากการให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นอันประจักษ์ชัด ไปเป็นการต่อต้านญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย และว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นวาจะเกิดเป็นผลตามมาจากการแตกหักระหว่างญี่ปุ่นและคนไทย และจะต้องใช้มาตรการที่จำเป็นอย่างระมัดระวังเพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะมีรัฐบาลที่สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่ในดินแดนไทยหากและเมื่อการปะทะกับญี่ปุ่นได้บังเกิดมีขึ้น
คงจำกันได้ว่า (อ้างถึงบันทึกของ FE ส่งถึงท่าน วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๑๙๔๕ เรื่องปฏิกิริยาของอังกฤษต่อสารที่แล้วมาของ “รู้ธ” “รู้ธ” ได้แจ้งให้อังกฤษทราบถึงความตั้งใจของรัฐบาลไทยที่จะให้ญี่ปุ่นยืมเงิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และฝ่ายไทยเชื่อว่าจำนวนเงินให้ยืมนี้ซึ่งเป็นจำนวน ๕๐% ของจำนวนเงินที่ญี่ปุ่นขอร้องจะทำให้ญี่ปุ่นพอใจไปได้อย่างน้อยที่สุดในระยะหนึ่ง
ความหมายที่แน่นอนของประโยคก่อนประโยคสุดท้ายของสารไม่ชัดแจ้งอาจเนื่องมาจากคลื่นรบกวนและการละข้อความ อย่างไรก็ดี โดยนัยแห่งสารของ “รู้ธ” ที่ส่งไปให้เมานท์แบทเตนและโดยการพิจารณาส่วนที่เหลืออยู่ของสารที่แนบมาด้วย ก็เชื่อว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพยายามเข้าใจความหมายประโยคนี้
แฟรงค์ พี ล็อคฮาร์ท

บันทึกการสนทนา : ผู้บันทึก The Chief of the Division of Southeast Asian Affairs
๘๙๒.๐๑/๖-๒๕๔๕
บันทึกการสนทนา : ผู้บันทึก
The Chief of the Division of Southeast Asian Affairs
(มร. ม็อฟแฟต)[3]
(วอชิงตัน) ๒๕ มิถุนายน ๑๙๔๕
ผู้ร่วมสนทนา มร. เจ แบลโฟร์[4] สถานทูตอังกฤษ
มร. บัลแลนไทน์ FE
มร. ม็อฟแฟต SEA
มร. แบลโฟร์ได้ขอนัดพบตามที่เราขอร้อง มร. บัลแลนไทน์ได้อธิบายว่าสหรัฐกระตือรือร้นที่จะให้รัฐบาลอังกฤษมีความเห็นแบบเดียวกันในเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศไทย และกล่าวว่าเรารู้สึกซาบซึ้งในคำวิจารณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ของ มร. แบลโฟร์ ที่ให้ไว้แก่ มร. กรู[5] ว่า เขาหวังว่ารัฐบาลทั้งสองจะได้ร่วมประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เขากล่าวว่า เราได้พิจารณาความคิดเห็นของรัฐบาลทั้งสองแล้ว และได้ใส่ความเห็นนี้ไว้ในบันทึกช่วยความทรงจำ เป็นหัวข้อ ๖ หัวข้อ อันยังไม่เป็นที่เข้าใจกันอย่างถ่องแท้ เขาคิดว่าการวิเคราะห์นี้จะให้ประโยชน์ได้มาก และเนื่องมาจากเงื่อนไขต่าง ๆ เขาจึงรู้สึกว่าการพิจารณาหัวข้อทั้งหกนี้ตามสภาพโดยทั่ว ๆ ไป จะเป็นสิ่งที่รีบด่วน
(ต่อไปเป็นการปรึกษาหารือเกี่ยวกับเงินตราที่จะใช้ในประเทศไทย)

กระทรวงการต่างประเทศถึงสถานทูตอังกฤษบันทึกช่วยความทรงจํา
๘๙๒.๐๑/๖-๒๕๑๕
กระทรวงการต่างประเทศถึงสถานทูตอังกฤษ
บันทึกช่วยความทรงจํา
(วอชิงตัน) ๒๕ มิถุนายน ๑๙๔๕
รัฐบาลสหรัฐเชื่อว่านโยบายพื้นฐานและวัตถุประสงค์ของรัฐบาลอังกฤษและสหรัฐเกี่ยวกับประเทศไทยมีสาระสําคัญตรงกัน ทั้งสองรัฐบาลพอใจที่จะได้เห็นการกู้อิสรภาพ เอกราช และอธิปไตยกลับสู่ประเทศไทย ทั้งสองรัฐบาลเห็นพ้องกันว่าประเทศไทยจะต้องคืนดินแดนที่ได้จากมลายู พม่า และอินโดจีน รัฐบาลแต่ละรัฐบาลไม่มีความปรารถนาดินแดนในประเทศไทย รัฐบาลทั้งสองประเทศมีความเชื่อมั่นในความปรารถนาที่จริงใจของรู้ธในการนำประเทศไทยเข้าร่วมกับสัมพันธมิตร ขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไทย และช่วยในการทำให้ญี่ปุ่นจำนนในขั้นสุดท้าย และทั้งสองรัฐบาลเห็นพ้องร่วมกันว่าจะเป็นการไม่ฉลาดที่จะรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นไทยในสภาวะของปัจจุบันนี้
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องอีกหลายเรื่องซึ่งการปรึกษาหารือกันต่อไปอีก เป็นสิ่งที่ต้องการเพื่อยืนยันความเข้าใจร่วมกัน โดยเหตุที่พัฒนาการทางทหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเร็ว ๆ นี้ และพัฒนาทางการเมืองในไทยได้พัฒนาไปมาก การปรึกษาหารือดังกล่าวนี้จึงถือว่าเป็นการรีบด่วน เรื่องเหล่านี้ได้แก่
๑. การจัดเตรียมการนานาชาติเกี่ยวกับประเทศไทยภายหลังสงคราม
จดหมายติดต่อของ มร. อีเด็น ลงวันที่ ๔ กันยายน และ ๒๒ พฤศจิกายน ๑๙๔๔ ได้อ้างถึงการจัดการด้านนานาชาติหลังสงครามซึ่งประเทศไทยควรเห็นพ้องด้วย รัฐบาลนี้เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ประเทศไทยควรจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมองค์การสหประชาชาติด้วยคำมั่นสัญญาที่จะเข้าร่วม และให้ความร่วมมือในการจัดการระดับนานาชาติในทุกเรื่องที่เกี่ยวเนื่องอย่างเต็มที่ในฐานะชาติที่มีอธิปไตย รัฐบาลนี้เชื่อว่าการนำเอาการยอมรับการจัดการดังกล่าวมาเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการคืนเอกราชและอธิปไตยให้ประเทศไทยจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ
๒. การจัดการเพื่อความปลอดภัย
ในจดหมายติดต่อของเขา ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๑๙๔๔ มร. อีเด็น ได้แนะนำว่า ผู้เชี่ยวชาญทางการทหารของสหรัฐและบริเตนใหญ่ควรให้คำแนะนำว่าในสภาวะหลังสงครามจะต้องการให้มีการจัดการเพื่อความปลอดภัยใด ๆ ในบริเวณคอคอดกระหรือไม่ รัฐบาลนี้เห็นด้วยว่าการพิจารณาร่วมกันเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างยิ่ง และเชื่อว่าคำแนะนำควรขยายกว้างออกไป เพื่อเป็นที่เข้าใจว่าการจัดการทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยของประเทศไทย จะเป็นเรื่องสำหรับการปรึกษาหารือและการเห็นพ้องร่วมกันระหว่างรัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลอเมริกัน และทั้งรัฐบาล อังกฤษและรัฐบาลอเมริกันจะไม่แสวงหาฐานทัพหรือดำเนินการเพื่อความปลอดภัยอื่นใดในประเทศไทยโดยมิได้ปรึกษาหารือและได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อน รัฐบาลสหรัฐพร้อมที่จะฟังความเห็นจากรัฐบาลอังกฤษในความเข้าใจกันดังกล่าวนี้
ในขณะที่ (เรา) ได้ถือว่าความเข้าใจในระหว่างอังกฤษและอเมริกันดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างยิ่ง เราก็ยังเชื่อว่าเพื่อจะให้มั่นใจในเสถียรภาพของดินแดนดังกล่าวในอนาคตและเพื่อจะรวมการจัดการเพื่อความปลอดภัยทั้งหมดเข้าไว้ในกรอบของความปลอดภัยนานาชาติ จะเป็นการได้ประโยชน์ หากฝรั่งเศสและจีนจะได้มีส่วนร่วมในการทำความเข้าใจดังกล่าว เรายินดีที่จะได้รับฟังความเห็นของรัฐบาลอังกฤษในเรื่องการเชื้อเชิญฝรั่งเศสและจีนให้มาร่วมทำความเข้าใจกันดังกล่าวมาแล้ว
๓.การจัดการด้านการค้า
รัฐบาลสหรัฐคาดหวังว่าจะจัดการให้สนธิสัญญาการค้าที่มีอยู่แต่เดิมกับประเทศไทย (โดยไม่คำนึงถึงการปรับปรุงแก้ไขในตอนหลัง) ได้ดำเนินไปอย่างเดิมอีกโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ในทางปฏิบัติ ซึ่งจะให้สิทธิทางเศรษฐกิจและอภิสิทธิ์แก่ชนชาติอเมริกัน รัฐบาลนี้หวังว่ารัฐบาลไทยจะปฏิบัติต่อชนชาติของประเทศ สหประชาชาติอื่น ๆ ตามพื้นฐานที่ไม่กีดกันเช่นเดียวกันนี้ และหวังว่าสัมปทานหรือภิสิทธิ์อื่นใด ซึ่งประเทศไทยจะให้ได้ย่อมจะให้กับทุก ๆ ชาติเท่าเทียมกัน รัฐบาลนี้ยินดีต้อนรับการยืนยันของรัฐบาลอังกฤษว่านโยบายเศรษฐกิจและการค้าเกี่ยวกับประเทศไทยจะกลมกลืนกับหลักการเหล่านี้ ซึ่งวางไว้เพื่อยืนยันการเป็นเอกราชทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ในขณะเดียวกันจะป้องกันชนชาติของสหประชาชาติทั้งหมด โดยให้ความมั่นใจว่า เขาทั้งหลายจะมีโอกาสทางเศรษฐกิจและการค้าเท่าเทียมกันอย่างยุติธรรม
๔. พรมแดนไทยอินโดจีน
รัฐบาลสหรัฐถือว่าการโอนดินแดนอินโดจีนบางแห่งไปอยู่ในดินแดนไทยในปี ค.ศ. ๑๙๔๑ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้โดยไม่คำนึงถึงการปรับพรมแดนหรือการโอนย้ายดินแดนซึ่งจะมีขึ้นโดยผ่านวิธีการเพื่อสันติภาพอย่างมีระเบียบในอนาคต คนไทยเชื่อว่าการอ้างสิทธิในดินแดนเหล่านี้เป็นสิทธิทั้งทางประวัติศาสตร์และทางกฎหมาย เป็นที่หวั่นใจว่าหากไม่ได้มีการให้ความมั่นใจแก่คนทั้งหลายว่าเขา(คนไทย) ย่อมมีโอกาสตั้งแต่เริ่มแรกที่จะเสนอข้ออ้างเหล่านี้โดยวิธีการสันติแล้วก็อาจจะมีแรงต่อต้าน (ที่มีผู้เห็นด้วยอย่างมาก) ต่อการที่จะคืนดินแดนเหล่านี้ให้กับอินโดจีนไป และความไม่ลงรอยกันซึ่งมีอยู่แล้ว ณ พรมแดนก่อนสงครามก็จะเลวยิ่งขึ้น รัฐบาลนี้เชื่อว่า ถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยจะเห็นด้วยกับการยอมรับเขตแดนของไทยนับตั้งแต่เดือนมกราคม ๑๙๔๑ โดยไม่คำนึงถึงการปรับเขตแดนและการโอนดินแดนตามข้อตกลงทางสันติภาพในตอนต่อมา ก็ยังจะต้องมีการตกลงระหว่างฝรั่งเศสและไทยว่า ประเทศทั้งสองจะจัดเตรียมเพื่อการปรับดินแดนไทย-อินโดจีนอย่างรวดเร็วและยุติธรรมเพื่อหลีกเลี่ยงการไม่ลงรอยกันและความไม่สงบ รัฐบาลนี้ยินดีรับฟังความเห็นของรัฐบาลอังกฤษเพื่อการปฏิบัติร่วมกันระหว่างสหรัฐ อังกฤษ และรัฐบาลจีน เร่งและสนับสนุนการปรับดินแดนโดยรวดเร็วตามได้กล่าวมาแล้ว
๕. ฐานะของรัฐบาลไทยในอนาคต
สหรัฐเลิกรับรองรัฐบาลในกรุงเทพฯ หลังจาก (ประเทศไทย) ได้ประกาศสงครามในเดือนมกราคม ๑๙๔๒ และถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ถูกศัตรูยึดครอง และรัฐบาลอยู่ภายใต้การครอบครองของฝ่ายศัตรู อย่างไรก็ดีสหรัฐยังคงรับรองทูตไทยในวอชิงตันว่าเป็น “อัครราชทูตของประเทศไทย” เมื่อสภาพต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การไม่รับรองรัฐบาลได้หมดไปแล้ว ย่อมเป็นนโยบายของสหรัฐที่จะให้การรับรองรัฐบาลไทยอย่างรวดเร็วและเริ่มต้นสัมพันธภาพทางการทูตกันใหม่อีกสภาพและเงื่อนไขเหล่านี้จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อรัฐบาลไทยที่ถูกต้องตามกฎหมายในดินแดนไทยได้ปฏิเสธการประกาศสงครามของรัฐบาล (พิบูล) ชุดก่อน (รู้ธได้ปฏิเสธว่าการประกาศสงครามไม่ถูกต้องตามกฎหมาย) ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อตกลงและสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่ทำไว้กับญี่ปุ่น และรัฐบาลประกาศสงครามกับญี่ปุ่นและเริ่มการต่อต้านญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย รัฐบาลนี้หวังว่ารัฐบาลอังกฤษคงจะเต็มใจรับการกระทำร่วมกันดังกล่าวนี้
รัฐบาลสหรัฐปรารถนาที่ได้เห็นการปฏิบัติแบบเดียวกันของรัฐบาลจีนและรัฐบาลฝรั่งเศส แต่ยังไม่เสนอการทาบทามกับรัฐบาลเหล่านั้นจนกว่าจะได้ทราบความคิดเห็นของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐหวังว่าจะได้ทำการทาบทามดังกล่าวร่วมกัน
โดยนัยแห่งข้อเสนอการรับรองรัฐบาลไทยดังได้กล่าวแล้ว รัฐบาลนี้ใคร่แสดงความปรารถนาอย่างยิ่งยวดว่า เมื่อคนไทยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้วางไว้ทั้งหมดแล้ว ภาวะสงครามระหว่างบริเตนใหญ่และประเทศไทยก็จะสิ้นสุดอย่างเป็นทางการโดยเร็วที่สุด รัฐบาลนี้หวังอย่างยิ่งว่า การตกลงการสิ้นสุดสภาวะสงครามจะไม่ขัดแย้งกับความเห็น ผลประโยชน์ และนโยบายของสหรัฐต่อประเทศไทย แต่จะมีส่วนต่อการปฏิบัติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอังกฤษ อเมริกาในตะวันออกไกล เนื่องจากความโอนเอียงทางยุทธศาสตร์ของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร ในการสงครามกับญี่ปุ่น ย่อมเห็นได้ชัดว่ากองทัพที่เข้าสู่เมืองไทยจะเป็นกองทัพอังกฤษอย่างไรก็ดี กองทัพอังกฤษก็จะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของสัมพันธมิตร ซึ่งสหรัฐเป็นส่วนหนึ่งภายใต้สภาวะดังกล่าว อาจเกิดความยุ่งยากแก่รัฐบาลทั้งสองประเทศ เนื่องมาจากความจริงที่ว่า บริเตนใหญ่ยังอยู่ในภาวะของสงครามกับประเทศไทย ในขณะที่สหรัฐถือว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่จะต้องถูกปลดปล่อยจากฝ่ายศัตรู และรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายจะได้การรับรองเมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการไม่รับรองของรัฐบาลได้ถูกปลดเปลื้องให้หมดไปดังได้ระบุไว้แล้ว
๖. การบริหารและการควบคุมกิจการพลเรือน (Civil Affairs Administrative and Control)
โดยที่ไม่มีกำลังทหารอเมริกันอยู่ในประเทศไทย รัฐบาลนี้จึงถือว่าไม่มีความต้องการที่จะเข้ามีส่วนร่วมในการปกครองหรือการบังคับบัญชาด้านพลเรือนใด ๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องมาจากนโยบายทางการเมืองต่อประเทศไทยและการที่สมรภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาร่วมกันของสัมพันธมิตรสหรัฐจึงรู้สึกหนักใจในเรื่องสัมพันธ์ ซึ่งกองทหารที่เข้าประเทศไทย ภายใต้กองบัญชาการดังกล่าวที่จะมีต่อรัฐบาลไทยและในลักษณะและขอบเขตของมาตรการควบคุมใด ๆ ที่จะนำมาใช้ เราจะขอบคุณอย่างยิ่งถ้ารัฐบาลอังกฤษจะหารือการจัดการและมาตรการต่าง ๆ ที่ได้คิดไว้กับรัฐบาลนี้ เพื่อความเข้าใจและเห็นพ้องร่วมกันในหลักการซึ่งจะตามมา

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงเอกอัครราชทูตในสหราชอาณาจักร
๗๔๐.๐๐๑๑ PW/5-1545 : โทรเลข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(มร. เบิร์น)
ถึงเอกอัครราชทูตในสหราชอาณาจักร
(มร. ไวแนนท์)
(วอชิงตัน) ๑๕ สิงหาคม ๑๙๔๕ ๑๕.๐๐ น.
๖๙๒๒ สถานทูตอังกฤษได้รายงานทางเรา[6] ว่า
(ก) กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้ให้อำนาจเมานท์แบทเตน[7] เป็นการส่วนตัวที่จะแนะนำรู้ธให้ทำการประกาศโดยเร็วที่สุดภายหลังการจำนนขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นว่า การประกาศสงครามของไทยกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา และมาตรการทั้งหมดที่เกิดเนื่องมาจากสิ่งนี้อันมีผลให้เกิดการเสียหายแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ และประกาศเลิกล้มการเป็นพันธมิตรและข้อตกลงทั้งหมดที่ได้ทำไว้กับญี่ปุ่น ยอมให้ประเทศไทยและกองทัพทั้งหมดปฏิบัติการอยู่กับฝ่ายสัมพันธมิตรและให้ประกาศว่า เขา (รู้ธ) พร้อมจะส่งผู้แทนไปแคนดีทันทีเพื่อติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร อังกฤษได้แนะนำว่าการประกาศอาจจะแถลงด้วยว่า รู้ธได้แจ้งแก่รัฐบาลอังกฤษและอเมริกาตั้งแต่เริ่มแรก ๆ แล้วว่า ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นปรารถนาจะดำเนินการอย่างเปิดเผยต่อฝ่ายญี่ปุ่น แต่ได้งดเว้นการกระทําดังกล่าวเนื่องมาจากคำขอร้องอย่างรีบด่วนของสัมพันธมิตรเพื่อเหตุผลของปฏิบัติการสงคราม
(ข) กระทรวงการต่างประเทศควรจะแจ้งเมานท์แบทเตนด้วยว่า ถ้ารู้ธได้ปฏิบัติการตามความคิดริเริ่มที่ได้แนะนำไว้และจากการที่ขบวนการเสรีไทยได้ปฏิบัติงานสนับสนุนเป็นอย่างดี และฝ่ายสัมพันธมิตรได้ขอร้องไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่แล้ว อังกฤษก็ยอมผ่อนปรนเลิกการเร่งเร้าให้ (ไทย) ดำเนินการยอมแพ้โดยปราศจาก เงื่อนไขแยกออกเป็นเรื่องต่างหาก ซึ่งภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่จะถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ และอังกฤษจะวางนโยบายให้กลมกลืนกับความพร้อมของคนไทยที่จะชดใช้สำหรับในอดีตและการให้ความร่วมมือในอนาคต
(ค) ถ้ารู้ธทำตามคำแนะนำและส่งผู้แทนไปแคนดี อังกฤษก็เสนอว่าจะติดต่อกับกระทรวงก่อนการเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับข้อความตกลงซึ่งคนทั้งหลายพร้อมที่จะเลิกสถานะสงคราม
เบิร์น

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงเอกอัครราชทูตในสหราชอาณาจักร
๘๙๒.๐๑/๘-๑๖๔๕ : โทรเลข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(มร. เบิร์น)
ถึงเอกอัครราชทูตในสหราชอาณาจักร
(มร. ไวแนนท์)
(วอชิงตัน) ๑๖ สิงหาคม ๑๙๔๕ ๑๓.๐๐ น.
๖๙๓๒ กระทรวงได้รับรายงานจากรู้ธผ่านรายงานข่าว โอ.เอส.เอส.[8] ว่าเขาได้ให้อำนาจทูตไทยในวอชิงตันที่จะเริ่มการเจรจาอย่างเป็นทางการกับบริเตนใหญ่โดยผ่านทางสถานทูตอังกฤษในวอชิงตัน และให้ (ทูตไทย) เดินทางกลับกรุงเทพฯ หลังจากนั้นเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว ทูตไทยได้แจ้งให้สถานทูตอังกฤษทราบถึงสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้ว และสถานทูตอังกฤษได้ส่งโทรเลขไปถึง Fon Off เพื่อรับคำสั่ง เขา (ทูตไทย) ยังได้แจ้งให้สถานทูตทราบว่า ได้ส่งข่าวไปยังรู้ธว่าเขาจะยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเพื่อประโยชน์ของชาติไทย แต่ได้แสดงความหวังว่า เขาจะได้รับการปลดเปลื้องจากตำแหน่งอย่างรวดเร็วเมื่อช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้สิ้นสุดลงแล้ว ทูตไทยได้รับการอธิบายให้เข้าใจถึงประเด็นของคำแนะนำ (Deptel 6922, ๑๕ สิงหาคม ๑๙๔๕) ซึ่งเมานท์แบทเตน[9] ได้รับอํานาจให้ส่งต่อให้รู้ธ
เบิร์น

บันทึกของ The Director of the Office of Far Eastern Affairs ถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
๗๔๐.๐๐๑๑๙ PW/8-1845
บันทึกของ The Director of the Office of Far Eastern Affairs
(มร. บัลแลนไทน์)
ถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(มร. ดันน์)[10]
(วอชิงตัน) ๑๘ สิงหาคม ๑๙๔๕
อังกฤษได้แนะนำผู้สําเร็จฯ ไทยว่า เขาควรจะประกาศว่าการประกาศสงครามเป็นโมฆะ ปฏิเสธสัญญาทั้งหมดที่ทำไว้กับญี่ปุ่น ยกเลิกกฎหมายทั้งหมดที่เป็นการเสียหายแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ให้ประเทศของเขาและกองทัพบกทุกเหล่าอยู่กับฝ่ายสัมพันธมิตร ประกาศยินยอมชดใช้ความเสียหายที่ประเทศไทยก่อให้เกิดกับฝ่ายสัมพันธมิตร และส่งผู้แทนไปแคนดีเพื่อติดต่อกับสัมพันธมิตร
ประเทศไทยได้ดำเนินการในสาระทั้งหมดนี้ นอกจากการส่งผู้แทนไปยังแคนดี ผู้สำเร็จฯ ได้ให้อำนาจทูตไทยในกรุงวอชิงตันที่จะเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร อย่างไรก็ดี เป็นที่กระจ่างชัดว่า ผู้สำเร็จฯ จะต้องส่งผู้แทนคนหนึ่งไปแคนดีเพื่อเจรจาในเรื่องการทหาร และจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้
มร. บิชอป ได้แจ้งกระทรวงว่า ได้เกิดความสับสนขึ้นเพราะคำแนะนำซึ่งส่งไปให้รู้ธแสดงนัยว่า ผู้แทนของผู้สำเร็จฯ ควรจะปรึกษาหารือระยะยาวทางการเมือง ณ แคนดีด้วย มร. บิชอปได้ชี้ว่า บรรยากาศ ณ แคนดีจะเป็นอุปสรรคต่อคนไทย และที่สำคัญกว่านี้ก็คือ แคนดีเป็นที่ทำการใหญ่ของกองบัญชาการสัมพันธมิตรจะเป็นการลำบากใจผู้แทนของกองบัญชาการนั้น ๆ ที่จะเจรจานโยบายการเมืองระยะยาวกับชาวไทย แม้ว่าจะเป็นการเหมาะสมทุกประการที่จะหารือปัญหาทางการทหารทั้งหมดและปัญหาเฉพาะหน้า
ถ้าท่านเห็นชอบด้วย ก็ขอแนะนำว่า ให้เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งของกระทรวงปรึกษา สถานการณ์นี้กับเจ้าหน้าที่ของสถานทูตอังกฤษ แนะนำด้วยวาจาว่า ปัญหาทาง ทหารเฉพาะหน้า และสัมพันธ์เฉพาะเรื่องกับรัฐบาลไทยจะต้องได้รับการพิจารณา โดย The South East Asia Command และจะเป็นการไม่เหมาะสมสำหรับทางเรา หากกองบัญชาการนี้จะทำการหารือทางการเมืองระยะยาว (เช่นการสิ้นสุดของ สภาวะสงคราม) ระหว่างรัฐบาลอังกฤษและประเทศไทย หรือการหารือใด ๆ ที่จะให้สีสันแก่ความเห็น ซึ่งกองบัญชาการดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวเนื่องอยู่ด้วย และขอให้แนะนำด้วยว่า เราได้รับทราบว่าผู้สำเร็จฯ รู้สึกสับสนในจุดนี้ด้วย เหตุที่เขา (ผู้สำเร็จฯ) ได้ให้อำนาจทูตไทยในกรุงวอชิงตันไปแล้ว ในการที่จะเริ่มต้นการเจรจาเป็นทางการกับรัฐบาลประเทศสัมพันธมิตร และจะเป็นการได้ประโยชน์หากรัฐบาลอังกฤษจะแนะนำผู้สำเร็จฯ ว่า เขาควรจะส่งผู้แทนคนหนึ่งไปแคนดีทันทีเพื่อปรึกษาปัญหาทางการทหาร และจัดการเฉพาะเรื่องกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตร และขอให้แจ้งด้วยว่า ผู้สำเร็จฯ จะได้ทราบรายงานผ่านทางทูตไทยในกรุงวอชิงตันว่า รัฐบาลอังกฤษต้องการวิธีการอะไรบ้างเพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการปรึกษาปัญหาทางการเมืองที่ไกลไปกว่านี้
ในขณะเดียวกัน ขอแนะนำว่า เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ ควรแสดงความซาบซึ้งของรัฐบาลนี้ต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษที่ได้ให้คำมั่นว่าก่อนการเจรจา จะเริ่มขึ้น อังกฤษจะส่งข่าวให้กระทรวงทราบเกี่ยวกับเทอม (ความตกลง) ซึ่งฝ่ายอังกฤษจัดเตรียมพร้อมไว้เพื่อการสิ้นสุดสภาวะสงครามกับประเทศไทย
โจเซฟ ดับเบิลยู บัลแลนไทน์

สถานทูตอังกฤษถึงกระทรวงการต่างประเทศบันทึกช่วยความทรงจำ
๗๔๑.๙๒/๘-๒๐๔๕
สถานทูตอังกฤษถึงกระทรวงการต่างประเทศ
บันทึกช่วยความทรงจำ
(วอชิงตัน) ๒๐ สิงหาคม ๑๙๔๕
๑. เป็นที่ปรารถนาว่าควรจะมีการตกลงกันที่แคนดี ซีลอน ก. ในข้อตกลงทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ของอังกฤษโดยเฉพาะระหว่างรัฐบาลแห่งพระเจ้ากรุงอังกฤษ (แทนโดย มร.เดนนิ่ง Chief Political Adviser to Admiral Mountbatten) และรัฐบาลไทยที่ได้รับการปลดปล่อย และ ข. ในข้อตกลงทางการทหาร หรือกึ่งการทหารของฝ่ายสัมพันธมิตรระหว่างจอมพลเรือเมานท์แบทเตน (ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) และรัฐบาลไทยที่ได้รับการปลดปล่อย
๒. ที่แนบมาด้วย คือข้อความของหัวข้อการตกลงทางการเมืองที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นพร้อมด้วยข้อความของข้อตกลงทางการทหารในลักษณะเอกสารแนบท้ายพร้อมด้วยผนวก ข้อตกลงทั้งสองนี้ประกอบด้วยเทอม ซึ่งเมื่อได้รับความเห็นขั้นสุดท้ายของรัฐบาลแห่งเครือจักรภพและรัฐบาลอินเดียและพม่าแล้ว รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรก็ใคร่เสนอว่าจะส่งให้ผู้สำเร็จฯ แห่งประเทศไทย เพื่อการยกเลิกภาวะสงครามซึ่งมีอยู่กับประเทศไทย และเพื่อการวางรากฐานและเค้าโครงของการร่วมมือ (อันดี) กับประเทศไทยในอนาคต
๓. เรื่องที่จอมพลเรือเมานท์แบทเตนจะต้องเจรจาในข้อตกลงทางการทหารจะรวมทุกเรื่อง ซึ่งรัฐบาลแห่งพระเจ้ากรุงอังกฤษคิดว่าเขา (จอมพล เมานท์แบทเตน) จะสามารถเจรจาได้อย่างเหมาะสมในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพผสม (Supreme Allied Commander of a Combined Command) เทอมเหล่านี้ได้ส่งไปให้กับเสนาธิการทหารร่วม (Combined Chief of Staff) เพื่อสั่งให้จอมพลเรือเมานท์แบทเตนเจรจาสรุปข้อตกลงตามข้อความดังกล่าว
๔. รัฐบาลแห่งพระเจ้ากรุงอังกฤษจะรู้สึกขอบคุณอย่างสูงหากรัฐบาลสหรัฐจะเก็บเทอมเหล่านี้ไว้เป็นความลับอย่างยิ่งยวด และกรุณางดเว้นจากการแจ้งให้คนไทยทราบในขั้นนี้
สิ่งที่ส่งมาด้วย
ข้อความของหัวข้อการตกลงซึ่ง มร. เดนนิ่ง (Chief Political Adviser to Admiral Mountbatten) จะยื่นต่อผู้แทนของผู้สำเร็จฯ แห่งประเทศไทย ในนามของรัฐบาล ของพระเจ้ากรุงอังกฤษ ณ แคนดี ซีลอน[11]
ท่าทีของรัฐบาลแห่งพระเจ้ากรุงอังกฤษต่อประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับความมาก
น้อยที่ประเทศไทยจะร่วมมือในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการสิ้นสุดการเป็นศัตรูกับ ญี่ปุ่น และความพร้อมของประเทศไทย
ก. ที่จะชดใช้คืนให้แก่รัฐบาลแห่งพระเจ้ากรุงอังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตรสำหรับความเสียหายใด ๆ ที่ประเทศไทยได้ก่อให้เกิดกับรัฐบาลเหล่านี้ อันเป็นผลเนื่องมาจากการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น และ
ข. ที่จะให้ความมั่นใจในความปลอดภัยและสัมพันธภาพเพื่อนบ้านอันดีต่อกันในอนาคต
ขั้นต่าง ๆ โดยเฉพาะซึ่งรัฐบาลของพระเจ้ากรุงอังกฤษคาดหวังที่จะให้รัฐบาลไทยที่ได้รับการปลดปล่อย (Thai Liberation Government) ถือปฏิบัติในฐานะเงื่อนไขของการยอมรับว่าเป็นรัฐบาลของประเทศไทยและร่วมมือกับรัฐบาลนี้มีดังต่อไปนี้
ก. มาตรการเพื่อการปฏิเสธ
๑.ปฏิเสธการประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๑๙๔๒ และมาตรการทั้งหมดซึ่งเป็นผลตามการประกาศดังกล่าวนั้นอันจะมีผลในการสูญเสียของบริเตนใหญ่
๒. ปฏิเสธการร่วมเป็นพันธมิตรซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมกับญี่ปุ่นในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๑๙๔๑[12] และสนธิสัญญาอื่น ๆ (pacts) หรือข้อตกลงทั้งหมดที่ประเทศไทยทำไว้กับญี่ปุ่น
๓.ปฏิเสธไม่รับดินแดนทั้งหมดที่ประเทศไทยได้มาภายหลังวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๑๙๘๐ รวมทั้งดินแดนทั้งหมดที่รัฐบาลวีชีต้องยอมยกให้ ในวันที่ ๙ พฤษภาคม ๑๙๔๑
ข. มาตรการเพื่อการชดใช้และการปรับ
๑. ดำเนินมาตรการทางด้านนิติบัญญัติและบริหารตามความจำเป็นเพื่อให้ข้อ ก. ข้างต้น มีผลใช้บังคับ รวมทั้งสิ่งต่อไปนี้
ก. ยกเลิกมาตรการทางนิติบัญญัติและการบริหารทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องกับการผนวกหรือรวมดินแดนที่ได้รับมาภายหลังวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๑๙๔๐ เข้าในดินแดนของประเทศไทย
ข. เรียกเจ้าหน้าที่ทหารทั้งหมดกลับคืนมาจากดินแดนสัมพันธมิตรทั้งหมดที่ถูกผนวกหรือรวมเข้ากับประเทศไทยภายหลังวันที่ ธันวาคม ๑๙๔๐ และข้าราชการไทย และคนไทยทั้งหมดผู้ซึ่งเข้าไปในดินแดนเหล่านี้ภายหลังการผนวกหรือรวมดินแดนเหล่านี้ เข้ากับประเทศไทย ทั้งนี้ แล้วแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนหรือทหาร (ของฝ่าสัมพันธมิตร) จะเห็นสมควร
ค. ใช้คืนทรัพย์สินทั้งหมดที่เอาไปจากดินแดนเหล่านี้ รวมทั้งเงินซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องเป็นไปโดยยุติธรรม
ง. ชดใช้ความสูญเสียและเสียหายและสิทธิในทรัพย์สินและผลประโยชน์ในดินแดนเหล่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยเข้ายึดครองดินแดนเหล่านั้น
จ. รับแลกคืนเงินไทยซึ่งเจ้าหน้าที่อังกฤษในดินแดนอังกฤษที่ถูกประเทศไทยยึดครองมาตั้งแต่ปี ๑๙๔๒ มีอยู่ โดยจ่ายเป็นเงินสเตอลิงก์เอามาจากเงินสำรองสเตอลิงก์ที่มีอยู่แต่ก่อน
๒. ปล่อยเชลยศึกและผู้ถูกกักขังชาวอังกฤษซึ่งถูกยึดตัวไว้ในเมืองไทย หรือในดินแดนซึ่งผนวกหรือรวมเข้าประเทศไทยภายหลังวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๑๙๔๐ ให้อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค และบริการด้านอนามัยให้พอเพียง และการเดินทาง โดยประเทศไทยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ทั้งนี้โดยปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายสัมพันธมิตร
๓. รับผิดชอบต่อการป้องกัน ปกปักรักษา และกู้คืนโดยมีบุบสลายสิทธิ ทรัพย์สิน และผลประโยชน์ (British property rights and interests) ทุกชนิดของอังกฤษในประเทศไทย และจ่ายชดเชยการสูญเสียหรือความเสียหายที่บังเกิดขึ้น คำว่า “สิทธิในทรัพย์สินและผลประโยชน์ต่าง ๆ” ให้รวมถึงทรัพย์สินอันเป็นทางการของรัฐบาลแห่งพระเจ้ากรุงอังกฤษ ทรัพย์สินซึ่งความเป็นเจ้าของได้ถูกโยกย้ายนับตั้งแต่สงครามเกิดขึ้น บำนาญซึ่งให้แก่ชนชาติอังกฤษ สต๊อคดีบุก ไม้สัก และสินค้าอื่น ๆ การเดินเรือ ท่าเรือ ดีบุก ไม้สัก และการให้เช่าอื่น ๆ และสัมปทานซึ่งให้แก่บริษัทและบุคคลอังกฤษก่อนวันที่ ๗ ธันวาคม ๑๙๔๑ และยังคงมีผลอยู่ในวันนั้น
๔. ปลดปล่อยและคืนธนาคารอังกฤษและธุรกิจทางการค้า
๕. ยอมรับใช้เงินโดยเพิ่มดอกเบี้ยตามเปอร์เซนต์ที่เหมาะสมในการชดใช้ย้อนหลัง สำหรับบริการให้ยืมและสำหรับการจ่ายบำนาญนับตั้งแต่วันที่ซึ่งการจ่ายตามปกติได้สิ้นสุดลง
๖. เซ็นสัญญาเพื่อครอบคลุมถึงเรื่องทั้งหมด หรือเรื่องใด ๆ ที่ระบุไว้ในผนวกของเอกสารนี้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตร S.E.A.C. หรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่เหมาะสมตามที่และเมื่อเห็นสมควร
ค. มาตรการสำหรับการร่วมมือทางยุทธศาสตร์หลังสงคราม
๑. ยอมรับว่าช่วงของเหตุการณ์สงครามกับญี่ปุ่นได้แสดงให้เห็นความสำคัญของประเทศไทยต่อการป้องกันประเทศพม่า มลายู และ อินโดจีน และความปลอดภัยของมหาสมุทรอินเดีย และอาณาเขตแปซิฟิคตะวันตกเฉียงใต้
๒. ยอมรับที่จะดำเนินมาตรการเพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความปลอดภัยนานาชาติตามที่องค์การสหประชาชาติจะต้องการ ตราบจนถึงเวลาซึ่งประเทศไทยได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ
๓. ยอมรับมิให้มีการตัดคลองเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทยข้ามเข้ามาในดินแดนไทย โดยมิได้รับการเห็นชอบเป็นทางการจากรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (อังกฤษ) เสียก่อน
ง. มาตรการสำหรับการร่วมมือทางเศรษฐกิจหลังสงคราม
๑.ตกลงที่จะดำเนินมาตรการที่เป็นได้ทุกประการเพื่อให้มีการส่งสินค้าเข้าออกระหว่างประเทศไทยฝ่ายหนึ่งและดินแดนของอังกฤษเพื่อนบ้านประเทศไทยอีกฝ่ายหนึ่ง และจะนำเอามาใช้และรักษาไว้ซึ่ง นโยบายเพื่อนบ้านอันดีงามเกี่ยวกับการส่งของออกทางฝั่งทะเล
๒. ยอมเจรจาสนธิสัญญาทางการค้าและการเดินเรือใหม่ และ Consular and Establishment Convention อันมีพื้นฐานตามหลักการในวรรคข้างล่างนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
๓. ในระหว่างรอคอยการเซ็นสนธิสัญญาและ Covention ที่อ้างถึงใน วรรค ๒ ข้างต้น จะยินยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดของสนธิสัญญาการค้าและการเดินเรือซึ่งได้ลงนาม ณ กรุงเทพฯ ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๑๙๓๗ และนอกจากนี้ จะไม่ใช้มาตรการซึ่งกีดกันผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรมหรือการค้าของอังกฤษ หรือบุคคลอังกฤษผู้ประกอบอาชีพจากการมีส่วนร่วมในการค้าและเศรษฐกิจไทย (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อยกเว้นอันพึงมีซึ่งอาจตกลงกันระหว่างรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอังกฤษและรัฐบาลไทย) หรือระบุให้คนเหล่านั้นเก็บสินค้าไว้ในสต๊อค หรือสำรองเกินกว่าการปฏิบัติปกติทางการค้าเดินเรือ อุตสาหกรรมหรือธุรกิจ ทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าไม่ได้เซ็นสนธิสัญญาหรือ Convention นี้ ภายในเวลา ๓ ปี ข้อผูกพันนี้จะหมดไป นอกจากจะได้มีการต่อข้อตกลงกันอีก
๔. ยอมรับที่จะเจรจาข้อตกลงการบินพลเรือนในเรื่อง British Common wealth Civil Air Services ทั้งหมดซึ่งจะเป็นที่พอใจไม่น้อยกว่าข้อตกลงของปี ๑๙๓๗ ในเรื่องของการบินของจักรวรรดิ์ (Imperial Airways)
๕. ยอมมีส่วนในการจัดการระดับนานาชาติเกี่ยวกับดีบุกและยาง
จ. การจัดระดับ (Regularisation) ของฐานะของไทยสัมพันธ์กับ Bilateral and Multilateral Treaties และการเป็นสมาชิกขององค์การนานาชาติ
หมวดนี้ยังไม่สมบูรณ์ จะมี blanket formula รวมอยู่ตอนหลังในข้อตกลง เพื่อผูกมัดรัฐบาลไทยให้วางมาตรการที่เหมาะสมในเวลาต่อมา
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง:
- 80 ปี วันสันติภาพไทย: ไทยรอดมาด้วยความบังเอิญ? (ตอนที่ 1)
- 80 ปี วันสันติภาพไทย: ยุทธศาสตร์เสรีไทย หรือ ปาฎิหาริย์? (ตอนที่ 2)
- 80 ปี วันสันติภาพไทย: ยุทธศาสตร์เอกราชไทยหลังสงครามโลก: จากอวสานสงครามสู่รัฐประหาร 2490 (ตอนที่ 3)
- ภาคผนวก: รวมเอกสารทางการทูต ตั้งแต่ปี 2486-2488 ตอนที่ 1
- ภาคผนวก: รวมเอกสารทางการทูต ตั้งแต่ปี 2486-2488 ตอนที่ 2
- ภาคผนวก: รวมเอกสารทางการทูต ตั้งแต่ปี 2486-2488 ตอนที่ 3
หมายเหตุ :
- คงอักขระ การสะกดคำ เลขไทย และการเว้นวรรคตามต้นฉบับ
เอกสารอ้างอิง:
- ปรีดี พนมยงค์, “ความสนใจของสหรัฐฯ ในปัญหาการรับรองขบวนการเสรีไทย”, เอกราชได้มาด้วยการต่อสู้, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, 2543), น. 72-99.
[1] ส่งให้ มร. บัลแลนไทน์ ด้วยมือ โดย เซอร์ ยอร์ช แซนซอม เอกอัครราชทูตอังกฤษ บันทึก ลงวันที่ ๕ เมษายน คลุมถึงการสนทนาที่ตามมา ไม่ได้พิมพ์ สำหรับวิจารณ์โดยทูตอังกฤษ ดูบันทึกลงวันที่ ๙ เมษายน โดย มร. บัลแลนไทน์, infra
[2] ในบันทึกลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม บันทึกการสนทนากับทูตอังกฤษ (มร.แซนซอม) The Chief of the Division of Southeast Asian Affairs (มร. มอฟแฟต) ได้กล่าวว่า เขาได้ส่งสําเนาของสาร ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม และ ๒๘ พฤษภาคม ให้ทูต (อังกฤษ) “เพื่อให้ความมั่นใจในการประสานงานกัน ระหว่างปฏิบัติการของอังกฤษและอเมริกัน” (๘๙๒.๐๑/๕-๒๘๔๕)
[3] ลงชื่อย่อ โดย The Director of the Office of Far Eastern Affairs
[4] อัครราชทูตอังกฤษ
[5] บันทึกการสนทนา ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม โดยผู้ทําการแทนรัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่ได้พิมพ์
[6] ในวันที่ ๑๔ สิงหาคม
[7] ในโทรเลข ๗๐๗๒ ลงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๑๓.๐๐ น. ไปลอนดอน กระทรวงได้กล่าวว่า “เนื่อง จากการผิดพลาดในการถอนโค้ตของคำ เมาน์ทแบทเตนได้ถูกอ้างถึงอย่างไม่ถูกต้องในวรรค (a) ของ Deptel 6922, ๑๕ สิงหาคม คำสั่งได้ถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่อังกฤษ ซึ่งเข้าใจกันว่าติดต่ออยู่กับรู้ธ เพื่อให้เสนอคําแนะนําที่ได้ outlined ไว้เป็นคําแนะนําส่วนตัวให้แก่รู้ธ มีข้อผิดพลาดบางประการเกิดขึ้นในประโยคสุดท้าย Deptel 6932 ๑๖ สิงหาคม ได้มีการแจ้งให้ทูตไทยทราบถึงข้อ ผิดพลาด การอ้างถึงเมาน์ทแบทเตนในวรรค (b) ของ Deptel 6922 ถูกต้องแล้ว (740-0011-PW/8- 2145) สำหรับโทรเลข ๖๙๓๒ ดู infra
[8] ๑๕ สิงหาคม ไม่ได้พิมพ์
[9] ดูฟุตโน้ต ๒ หน้า ๑๒๗๘
[10] มร. ดันน์ ได้ลงเครื่องหมายไว้ในวันที่ ๑๘ สิงหาคม “ข้าพเจ้าเห็นด้วย”
[11] สถานทูตอังกฤษได้ส่งหัวข้อสําหรับการตกลงที่ได้แก้ไขใหม่ ในวันที่ ๓๑ สิงหาคม การแก้ไขได้ตัดปัญหาดินแดนที่เกี่ยวกับประเทศไทยและอินโดจีนของฝรั่งเศส เพราะถือกันว่าคำถามเหล่านี้จะได้ หารือกันในสัญญา (instrument) ต่างหาก ซึ่งจะตกลงกันระหว่างรัฐบาลฝรั่งเศสชั่วคราวและรัฐบาลไทย อาทิเช่น วรรค ๓ ได้ถูกแก้ไขเป็น “ปฏิเสธการเป็นเจ้าของดินแดนอังกฤษทั้งหมดที่ประเทศ ไทยได้มาหลังวันที่ ๗ ธันวาคม ๑๙๔๑” (740.0019 P.W./8-3145)
[12] ลงนามในกรุงเทพฯ British and Foreign State Papers, Vol. CXLIV หน้า ๘๓๘