ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทสัมภาษณ์

พันตรี พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา : เล่าถึงคุณพ่อผู้เป็นแบบอย่างของการดำเนินชีวิต

29
มีนาคม
2564

เย็นวันนี้ ทีมบรรณาธิการของเรามีนัดสัมภาษณ์กับ ลุงแมว พันตรี พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนาบุตรคนที่ 4 ของพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย ผู้ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะราษฎร หนึ่งในสี่ทหารเสือผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 

เมื่อถึงเวลานัดหมาย เราพร้อมกันที่บ้านทาวน์เฮ้าส์ หลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกจากชานเมืองไปไม่ไกลนัก เจ้าของบ้านดวงหน้ายิ้มแย้มสดใสยืนรอต้อนรับพวกเราอยู่ที่หน้าประตูบ้านด้วยความเป็นกันเอง ก่อนเชื้อเชิญกันเข้ามานั่งที่โต๊ะรับรองภายในบ้าน ลุงแมวตระเตรียมทั้งขนมและน้ำให้พวกเราอย่างเต็มที่

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 เป็นวันครบรอบชาตกาล 133 ปี พระยาพหลพลพยุหเสนา นี่คือเหตุแห่งความเป็นที่มา ที่กองบรรณาธิการของเรามาเยี่ยมเยือนลุงแมว ณ วันนี้

 

 

ความทรงจำในวัยเด็กระหว่างคุณกับคุณพ่อพระยาพหลฯ ?

 

 

ผมเกิดที่วังปารุสก์ปีพุทธศักราช 2482 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ 7 ปี สมัยผมเป็นเด็กๆ ผมชอบเดินไปวิ่งเล่นกับพวกทหาร จะมีทหารเดินแถวเป่าแตรมาจากหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม วิ่งไปเล่นที่บ้านคุณลุงหลวงอดุลฯ (หลวงอดุลเดชจรัส) คุณพ่อจะทำแต่งาน ไม่มีเวลาพาเราวิ่งเล่น ผมก็จะวิ่งไปทั่ววังปารุสก์ ไปดูแม่ครัวหุงข้าวแดง ตากเนื้อแห้ง ตามประสา 

ที่จำได้ที่สุดก็เรื่องที่ถูกตี คุณพ่อเอากระดานชนวนมาเขียนก.ไก่ ให้อ่านก.ไก่ ถ้าตอนเย็นกลับมาถามแล้วอ่านได้คือโอเค ลูบหัว แต่หลังจากวันนั้นถึงค.ควาย ฅ.ฅน ก็จำไม่ได้เลยโดนพู่ระหง เพราะที่นั้นพู่ระหงยืนเรียงเป็นแนว เฆี่ยนที่น่องแตก ร้องไห้ คุณพ่อบอก “ไม่ต้องร้อง ชายชาติทหาร ไม่ต้องร้อง” แล้วเอาทิงเจอร์มาทาให้ 

ตกเย็นหลังจากทานข้าวเย็นจะนั่งรวมตัวกันที่ชุดเก้าอี้รับแขกกับลูกๆ ทุกคน ตอนนั้นผมยังตัวเล็กๆ คุณพ่อก็จะอุ้มนั่งตัก แล้วก็จะคุยกันกับคุณแม่ คุณพ่อไม่เคยพูดถึงเรื่องบ้านเมืองภายในบ้าน จะมีแต่ก็ชอบแกล้งทหารยามที่ยืนยามอยู่ที่หน้าบ้านถือปืนพระราม 6 แล้วก็สัปหงก สมัยนั้นยังสวมหมวกเหล็กแบบฝรั่งเศสอยู่ คุณพ่อก็จะเอาตะขอผูกเชือกเกี่ยวหมวกขึ้นมา ทหารที่หลับอยู่สะดุ้งตื่นตกใจ วิ่งไปด้วย ตะโกนไปด้วยว่าผีหลอก ผีหลอก วิ่งไป ร้องไป โยนปืนทิ้ง คุณพ่อก็หัวเราะลั่นวังปารุสก์ แล้วหลังจากนั้นก็เรียกทหารเวรมา และกำชับว่าอย่าไปลงโทษเขา เพราะเขาถูกคุณพ่อแกล้ง ทำให้รู้ว่า คุณพ่อเป็นคนที่มีอารมณ์สนุก

แต่ถ้าเวลาจะดุแล้วก็ดุมาก อย่างพี่ชายนั่งคุยอยู่ที่ต้นมะขามใหญ่ข้างล่าง พวกคนในวังปารุสก์มักจะสุมหัวกันอยู่แถวนั้น เวลาที่คุณพ่อตะโกนเรียก เสียงของคุณพ่อจะดังมาก ตอนนั้นตะโกนเรียกพี่ชาย 3 ครั้ง พี่ชายค่อยขึ้นมา คุณพ่อก็เลยลงโทษให้วิ่งกลับไปกลับมาอยู่ประมาณ 20 ครั้ง

แม้กระทั่งตอนเป็นอัมพาตแล้วนอนอยู่ชั้นบน เวลาตะโกนเรียกใคร เสียงก็จะดังลงไปถึงด้านล่าง เสียงคุณพ่อดุ และมีพลัง เพราะฉะนั้น ทหารสมัยก่อนไม่มีไมโครโฟนใช้ เมื่อคราวที่คุณพ่อยืนอ่านประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเสียงดังไปทั่วสนามเสือป่า 

นี่ได้รับการบอกเล่ามาจากคุณสุพจน์ ด่านตระกูล เพราะตอนนั้นผมยังเล็กมาก ว่า “เจ้าคุณพหลฯ ไม่ชอบพูดเรื่องบ้านเมือง ไม่ชอบพูดเรื่องงาน ไม่เคยพูดโอ้อวดอะไรเลย และไม่แม้กระทั่งบันทึกอะไรให้ชนรุ่นหลังได้อ่านกัน มีแต่คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ท่าน 2 ครั้งที่บ้านบางซื่อ”

พระยาพหลฯ ชอบทำอะไรหรือมีงานอดิเรกอะไร ?

คุณพ่อชอบไปป่า และชอบดูสัตว์ ชอบแต่งชุดพรานแต่ไปดูสัตว์ ไม่ใช่ไปล่าสัตว์ เก้งกวางลงมากินน้ำ ก็นั่งดูอย่างเดียว คุณพ่อชอบป่า ชอบเข้าไปนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำ สมัยก่อนชาวบ้านเรียกถ้ำนี้ว่าถ้ำพหลฯ อยู่ที่เทือกเขากีบหมู ไม่ใหญ่มากจะมีถ้ำอยู่ด้านบนกับด้านใต้ลงไป คุณพ่อชอบไปนั่งสมาธิที่นั่น เพื่อคิดเรื่องบ้านเรื่องเมืองอะไรต่างๆ นานา

เรื่องการอภิวัฒน์สยามที่คุณรับรู้ผ่านผู้ใหญ่แต่ละท่าน มีเรื่องราวอย่างไรบ้าง ?

คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์เคยถามคุณพ่อว่า “ท่านเจ้าคุณฯ ทำใจอย่างไรครับ ถึงกล้าตัดสินใจ” (เรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง)

คุณพ่อตอบว่า “ผมนั่งสมาธิอยู่ 3 เดือนเต็ม” 

หลังทานข้าวเย็นเสร็จคุณพ่อจะเข้าไปนั่งในดงกล้วย ที่บ้านบางซื่อปลูกกล้วยไว้เต็มสวน และตั้งคำถามถามตัวเองและตอบตัวเองจากที่ไม่รู้จะตอบว่าอะไร ถามตัวเองทุกวันไปเรื่อยๆ 3 เดือน จนมีคำตอบว่า ‘ต้องเอาด้วย’ ถึงแม้ว่าลูกจะยังเล็กอยู่ ตอนนั้นคุณพ่อสั่งคุณแม่ว่า ‘พี่จะไปทำงานสำคัญอาจจะถูกประหาร ถ้าเผื่อเป็นอย่างไร ให้น้องเลี้ยงดูลูกให้โตให้ได้’ 

คำดูถูกคือแรงขับเคลื่อนความสำเร็จในชีวิต

คุณพ่อถูกผู้บัญชาการนักเรียนนายร้อยที่เยอรมันดูถูกว่าวิชาประวัติศาสตร์สากลของคุณพ่อไม่ได้เรื่อง สอบเมื่อไหร่ก็ตกเมื่อนั้น แล้วพอวันสุดท้ายที่จะสอบขึ้นไปเป็นนายทหาร คุณพ่อจะต้องสอบสัมภาษณ์ปากเปล่าโดยทีมละ 4 คน คนใดคนหนึ่งในกลุ่มตอบแทนเพื่อนอีก 3 คนก็ได้ 

คุณพ่อเจอผู้บัญชาการฯ ก่อนที่จะเดินเข้าห้อง ท่านก็ถาม “นักเรียนนายร้อยพจน์ เธอจะเข้าไปสอบวิชาอะไร” คุณพ่อตอบว่า “วิชาประวัติศาสตร์สากล” ผู้บัญชาการฯ ร้องหา แล้วบอกว่า “ฉันจำได้ว่าวิชานี้แกตกตลอดเลย จนฉันบอกว่าแกไม่มีวันสอบวิชานี้ได้” คุณพ่อตอบกลับไปว่า “แต่ตอนนี้ผมเตรียมตัวมาดีแล้ว” 

พอถูกผู้บัญชาการดูถูก คุณพ่อก็ไปซื้อหนังสือประวัติศาสตร์สากลมานั่งอ่าน ในขณะที่ทุกคนนอนหลับ คุณพ่อนั่งอ่านหนังสือ ทำแบบนี้ตลอด จนถึงวันสอบ ปรากฏว่า คุณพ่อตอบแทนเพื่อนนักเรียนนายร้อยทั้ง 3 คนได้หมด สอบได้ 7 คะแนนเต็ม 9 จนผู้บัญชาการฯ เดินมาตบบ่า “นักเรียนนายร้อยพจน์ สิ่งที่เธอทำได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะเธอไม่ชอบให้ใครดูถูก และเธอต้องการเอาชนะคำสบประมาทของฉัน” 

ยึดหลัก 6 ประการ อุทิศเพื่อชาติ เพื่อบ้านเมือง

 

 

ตลอดเวลาที่คุณพ่อเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านปฏิบัติตามหลัก 6 ประการอย่างเคร่งครัด หลังจากที่คุณพ่อรู้ตัวว่าสุขภาพไม่ดี จึงไม่ขอเป็นนายกฯ อีกแล้ว จอมพล ป. ขึ้นเป็นนายกฯ แทน และออกกฎหมายเวนคืนที่ของคุณพ่อตรงวงเวียนวัดพระศรีฯ ติดกับกรมขนส่งทหารบก 

หลังจากนั้นจอมพล ป. ไปถามคุณพ่อว่า “ใต้เท้า โกรธผมมั้ย” คุณพ่อถามกลับว่า “คุณหลวงมาถามผมเรื่องอะไร” จอมพล ป. ตอบว่า ที่ผมเวนคืนที่ใต้เท้าเพื่อสร้างโรงเรียน” คุณพ่อตอบกลับไปอีกว่า “คุณหลวง ผมจะไปโกรธคุณหลวงได้อย่างไรเล่า คุณหลวงจำได้หรือไม่ ที่เมื่อวันที่ 24 ผมอ่านแถลงการณ์คณะราษฎร หลัก 6 ประการข้อที่ 6 ระบุว่า จะทำการศึกษาของชาติให้เจริญ เพราะในเมื่อคุณหลวงเห็นที่ของผมมีประโยชน์ จะนำเพื่อไปสร้างโรงเรียน ผมกลับดีใจเสียอีก ที่พูดไปแล้วทำได้ตามที่พูด จะไปโกรธคุณหลวงได้อย่างไรเล่า”

อยู่อย่างคนทั่วไปที่เขาอยู่กัน ไม่มีทางลัด ทุกอย่างได้มาด้วยความสามารถ

คุณพ่อเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน ในอาชีพราชการในบรรดาลูกน้องคุณพ่อ คุณพ่อไม่เคยเลื่อนขั้นให้ใครเกินความเป็นจริง ซึ่งในชีวิตการรับราชการของผมเองก็เช่นกัน รุ่นพี่ที่เป็นนายทหารมักถามกับผมว่า ทำไมไม่ให้สองขั้นกับบรรดาทหารคนสนิท ผมตอบพี่เขาไปว่า “พี่เคยเห็นมันทำงานที่ไหน คนที่จะได้สองขั้นมันต้องทำงาน ผมทำงานเป็นบ้าเป็นหลังถึงได้สองขั้น แล้วคนคนนี้มันทำงานอะไร มีผลงานอะไรถึงต้องได้สองขั้น และพวกเขาจะได้รู้ ว่าถ้าหากอยากได้สองขั้น จำเป็นต้องขยัน ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ แต่มีเส้นมีสายถึงได้สองขั้น

เพราะเป็น “พหลพลพยุหเสนา” จึงไม่ง่ายในอาชีพราชการ

ผมโดนย้ายจากตำแหน่งหนึ่งที่ตัวเองสังกัดอยู่ไปเป็นอาจารย์โรงเรียนทหารม้าซึ่งผมไม่ชอบ เป็นการย้ายแบบกะทันหัน อย่างไม่รู้สาเหตุ 

เล่าถึงเหตุการณ์วันที่คุณพ่อถึงแก่อสัญกรรม

วันนั้นกำลังนอนเล่น ตอนนั้นอายุแค่ 7 ขวบ ยังไม่รู้ภาษา ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้จักเสียใจ ไม่รู้จักร้องไห้ ยังไม่มีความคิดอะไร แต่เห็นผู้ใหญ่เข้าออกบ้านเต็มไปหมด คุณอาหลวงอดุล  คุณอาหลวงประดิษฐ์  คุณอาหลวงธำรง มากันเต็มบ้านกลางค่ำกลางคืน เช้าตื่นมาคุณแม่บอกว่า คุณพ่อเสียแล้ว เราก็งง มันเป็นยังไง คุณพ่อเสีย วิ่งไปดูคุณพ่อ คุณพ่อนอนตัวแข็งๆ นิ่งๆ ในวันที่จะเตรียมนำศพคุณพ่อเพื่อจะเข้าโกศ ผู้ใหญ่ก็ปิดไม่ให้เด็กเข้าไปดู แต่ผมก็แอบดูที่กระจกหน้าต่าง 

คุณเห็นอะไรในการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของเด็กรุ่นใหม่ยุคนี้

คนรุ่นใหม่ที่มีจิตใจเจริญที่จะสร้าง จะพัฒนาบ้านเมือง แต่ผมเห็นว่ามีขวากหนามมากมาย คุณพ่อบอกไว้ว่า วิชาประวัติศาสตร์อย่าทิ้ง เกิดเป็นคนชาติไหนต้องรู้จักประวัติศาสตร์ชาติตัวเองอย่างดี ถึงจะเดินไปข้างหน้าได้ เพราะหากไม่รู้จักข้างหลัง เดินข้างหน้าไปเมื่อไหร่ ตกเหวเมื่อนั้น ต้องรู้จักข้างหลังให้ดี จึงจะรู้ว่าเดินไปข้างหน้าให้ดีได้อย่างไร

ความภูมิใจในความเป็น “พหลพลพยุหเสนา” 

มาก...มาก ถ้าเผื่อไม่ได้เป็นลูกคุณพ่อคุณแม่ ผมคงไม่ใช่คน เพราะไม่ใช่แค่เรื่องที่คุณพ่อเป็นหัวหน้าคณะราษฎรที่เป็นผู้เสี่ยงชีวิต แต่เพราะทำให้ผมได้มีโอกาสรู้จักคนจำนวนมาก ทำให้รู้จักความเป็นคนที่แท้จริง ทำให้ต้องรู้จักตอบแทนพระคุณแผ่นดิน ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ตอบแทนพระคุณคณะราษฎรที่ท่านทั้งหลายเสี่ยงชีวิต 

ณ วันนี้ผมอายุมากแล้ว จะคิดทำอะไรให้เหมือนอย่างวันที่ผ่านมาก็คงลำบาก ไม่ง่าย แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการให้ความรู้แก่ชนรุ่นหลัง ทำให้รู้ถึงความสำคัญของประชาธิปไตยที่บรรพบุรุษของเราทั้งหลายต่างเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา