ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

“แผนตลิ่งชัน” แผนการอภิวัฒน์ 2475 ของปรีดี พนมยงค์ที่ไม่ได้ใช้

19
มิถุนายน
2564

คงแว่วยินมาเนืองๆ ว่าด้วยเรื่องบุคคลผู้วางแผนทั้งหมดในการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้แก่พระยาทรงสุรเดช แต่น้อยคนนักจะทราบเรื่องที่นายปรีดี พนมยงค์เองก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งผู้วางแผนสำรองไว้ด้วยเช่นกัน นั่นคือ  “แผนตลิ่งชัน”

ย้อนกาลเวลาสู่ปลายทศวรรษ 2460 ขณะนายปรีดียังเรียนกฎหมายในฝรั่งเศสและร่วมกับผองเพื่อนเริ่มริจะกลับไปเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เมืองไทย เขาเคยเสนอแผนการปฏิวัติยึดอำนาจต่อมิตรสหายคณะผู้ก่อการ โดยเฉพาะวิธีจับเจ้านายพระองค์สำคัญเป็นตัวประกัน ซึ่งนำเอาต้นแบบมาจากวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายที่ตนกำลังศึกษาอยู่ ดังในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 นายปรีดีบอกเล่าผ่านหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรณชีพ) ตอนหนึ่ง ความว่า

“ในบรรดาแผนที่เราค้นคว้ากันที่ปารีสก่อนมีหนังสือเล่มที่กล่าวนั้น  มีอยู่แผนหนึ่งซึ่งประยูรอาจระลึกได้  คือในการสนทนากันในค่ำวันหนึ่ง  ข้าพเจ้าได้แจ้งให้รู้ถึงความคิดที่ข้าพเจ้าเกิดขึ้นขณะได้ฟังคำบรรยายประวัติศาสตร์กฎหมายพิสดารในชั้นปริญญาเอก 

ศาสตราจารย์ได้บรรยายถึงประวัติศาสตร์สมัยโบราณที่เจ้าแคว้นแห่งหนึ่งใช้วิธียึดเจ้าแคว้นอีกฝ่ายหนึ่งเป็นตัวประกันเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตาม  ข้าพเจ้าก็เกิดความคิดขึ้นมาทันทีว่าวิธีการอภิวัฒน์ของเรานั้น น่าจะทำได้โดยมิให้เลือดตกยางออก  คือใช้วิธียึดตัวผู้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารสมัยนั้นเป็นตัวประกัน เพื่อแลกกับคำขอของคณะราษฎร์  ให้พระมหากษัตริย์พระราชทานรัฐธรรมนูญชนิดราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ 

ซึ่งขณะนั้นเราเรียกว่ากษัตริย์ใต้กฎหมาย ข้าพเจ้าได้อธิบายตามหลักปรัชญาทางสังคมว่า ทุกสิ่งมีด้านบวกกับด้านลบ แม้ว่าระบบสมบูรณาญาสิทธิราช มีอำนาจมากซึ่งเป็นด้านบวก แต่ก็มีด้านลบคือการที่ระบบนั้นมีคนจำนวนน้อยกุมอำนาจไว้ในมือ ซึ่งถ้ายึดตัวคนจำนวนหยิบมือเดียวที่กุมอำนาจแล้ว การอภิวัฒน์ของเราก็จะสำเร็จโดยไม่เสียเลือดเนื้อ....”

“หนังสือเล่มที่กล่าวนั้น” ในปากคำนายปรีดี หมายถึงหนังสือ เทคนิครัฐประหาร หรือ Technique du coup d'État ผลงานของคูร์สิโอ มาลาปาร์เต (Curzio Malaparte) ซึ่งคนเข้าใจผิดกันว่าหลวงพิบูลสงครามศึกษายุทธวิธีจากเล่มนี้ตั้งแต่ยังเป็นนายร้อยโท แปลก ขีตตสังคะในฝรั่งเศส หากนายปรีดีแย้งว่า

เทคนิครัฐประหาร เพิ่งตีพิมพ์ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ไม่กี่เดือน เขาเป็นผู้สั่งซื้อมาจากฝรั่งเศส ฉีกปกออกเผาไฟ เมื่ออ่านจบแล้วก็มอบให้หลวงพิบูลสงครามไปอ่านและยังมิได้รับคืน คุณผู้อ่านท่านใดสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ก็สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความของผมชื่อ “เท็คนิครัฐประหาร: หนังสือที่ ‘ปรีดี’ ซื้อให้ ‘แปลก’ อ่าน”

ส่วน “ประยูร” ผู้ได้รับการพาดพิงก็คือนายประยูร ภมรมนตรี หนึ่งในคณะผู้ก่อการรุ่นแรกสุดที่ฝรั่งเศส

ทางด้าน ประวัติศาสตร์กฎหมายพิสดาร หรือ พงศาวดารกฎหมายอย่างพิสดาร (Histoire du Droit) เป็นวิชาของหลักสูตรการศึกษากฎหมายระดับปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยปารีส อันเป็นไปตามกฎประธานาธิบดีและกฎเสนาบดี (ประกอบด้วยกฎประธานาธิบดี ค.ศ. 1895, กฎประธานาธิบดี ค.ศ. 1921, กฎเสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ ค.ศ. 1912 และ กฎเสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ ค.ศ. 1922) นักศึกษาชั้น  “ด๊อกเตอร์ฝ่ายนิติศาสตร์” หรือ Docteur en Droit (mention sciences juridiques) จะต้องเรียนวิชานี้ในภาคการศึกษาที่ 1 พร้อมๆ กับวิชาแปลและวินิจฉัยกฎหมายโรมัน รวมถึงวิชากฎหมายโรมันอย่างพิสดารและลึกซึ้ง ก่อนจะไปเรียนวิชากฎหมายขั้นสูงสาขาต่างๆ ในภาคการศึกษาที่ 2 และเขียนวิทยานิพนธ์ในภาคการศึกษาที่ 3

ครั้นนายปรีดีและผองเพื่อนคณะผู้ก่อการหวนกลับคืนเมืองไทย พวกเขาพยายามเผยแพร่แนวความคิดและรวบรวมสมัครพรรคพวกเป็นสมาชิก “คณะราษฎร” อีกทั้งเมื่อเชิญนายทหารบกชั้นผู้ใหญ่อย่างพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) และพระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) มาร่วมเป็นผู้นำด้วยได้ช่วงประมาณ 4 - 5 เดือน ก่อนวันที่ 24 มิถุนายน จึงมีการนัดประชุมคณะกรรมการคณะราษฎรทั้งสายทหารบก สายทหารเรือ และสายพลเรือน ในที่ประชุมตกลงให้พระยาทรงสุรเดชรับบทบาท “เสนาธิการ” ผู้วางแผนปฏิวัติ 

นายปรีดีลองเสนอแผนจับเจ้านายพระองค์สำคัญเป็นตัวประกัน ที่ประชุมคณะราษฎรหลายฝ่ายรับไว้พิจารณา แต่ส่วนใหญ่ยังเห็นควรให้ใช้แผนการอาศัยกำลังทหารจำนวนมากยึดอำนาจตามแนวทางของพระยาทรงสุรเดช

 

นายปรีดี พนมยงค์
นายปรีดี พนมยงค์

 

พอประชุมถกเถียงกันหลายหนเข้า พลันปรากฏความไม่ลงรอยในฝ่ายทหารบกระหว่างพระยาทรงสุรเดชกับพระยาฤทธิอัคเนย์เรื่องช่วงเวลาที่จะลงมือทำการ ซึ่งนายปรีดีเห็นพ้องกับความคิดของพระยาฤทธิฯ เขาเปิดเผยว่า

“...การปรึกษากันเกิดขัดแย้งระหว่างฝ่ายเจ้าคุณทรงที่ต้องการลงมือทำการขณะพระปกเกล้าประทับอยู่ในกรุงเทพฯ กับฝ่ายเจ้าคุณฤทธิ์ฯ ที่ข้าพเจ้าเห็นด้วย  ว่าควรลงมือทำการขณะพระปกเกล้าไม่ประทับอยู่ในพระนคร  ถึงกับเจ้าคุณฤทธิ์ฯ ขอถอนตัวจากคณะราษฎร์…”

เล็งเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยราบรื่นเสียแล้ว นายปรีดีจึงตริตรองคิดวางแผนสำรองพร้อมนำไปหารือกับเพื่อนๆ ฝ่ายพลเรือน และฝ่ายทหารเรือที่นำโดยหลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน)

“...เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายทหารบกเกิดขัดแย้งกันเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงปรึกษาเพื่อนฝ่ายพลเรือนบางคนรวมทั้งประยูรฯ และหัวหน้าฝ่ายทหารเรือให้พิจารณาแผนการจับเสนาบดีทั้งคณะที่โดยสารรถไฟไปประชุมที่วังไกลกังวลหัวหินทุกๆ ปลายสัปดาห์ ระหว่างพระปกเกล้าประทับที่นั่น”

 

พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ภาพจากหนังสือ บันทึกพระยาทรงสุรเดช ของ ป. แก้วมาตย์ หรือ ปั่น แก้วมาตย์
พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน)
ภาพจากหนังสือ บันทึกพระยาทรงสุรเดช ของ ป. แก้วมาตย์ หรือ ปั่น แก้วมาตย์

 

พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) ภาพจากหนังสือ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์
พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ)
ภาพจากหนังสือ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์

 

หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) ขณะเป็นนักเรียนนายเรือเดนมาร์ก ปลายทศวรรษ 2460 ภาพจากหนังสือ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน (หลวงสินธุสงครามชัย)
หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน)
ขณะเป็นนักเรียนนายเรือเดนมาร์ก ปลายทศวรรษ 2460
ภาพจากหนังสือ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน (หลวงสินธุสงครามชัย)

 

เหตุที่แผนจับเสนาบดีของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เป็นตัวประกัน เรียกขานว่า “แผนตลิ่งชัน” เพราะสมัยนั้นรถไฟสายใต้แล่นไปหัวหินจะต้องหยุดจอดที่ชุมทางตลิ่งชันซึ่งติดกับคลองแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบางกอกน้อย ตอนคณะเสนาบดีเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ วังไกลกังวล หัวหิน ช่วงปลายสุดสัปดาห์ ก็จะให้พวกทหารเรือเพียงหมวดเดียวคอยดักรถไฟให้หยุดแล้วเชิญคณะเสนาบดีมากักตัวไว้บนเรือกลไฟชั้นสี่ของทหารเรือ กำหนดผู้รับหน้าที่ในภารกิจนี้คือเรือเอก หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรณชีพ) ผู้บังคับการเรือรบหลวงพาลีรั้งทวีป โดยให้รายงานผู้บังคับบัญชาว่าขอนำทหารประจำเรือพาลีรั้งทวีปซึ่งจอดคุมเชิงหน้าวังบางขุนพรหมไปฝึกซ้อมยุทธวิธีแบบทหารราบรวมถึงยุทธวิธีการยกพลขึ้นบกบริเวณตลิ่งชัน และขอเรือกลไฟบรรทุกทหารแล่นไปส่งที่นั่นด้วย ซึ่งหลวงสังวรฯ บอกเป็นแผนการที่ “สนุกดี” 

เพื่อความแน่ใจว่ารถไฟจะไม่รีบถอยหลบหนีจากสถานีชุมทางตลิ่งชัน นายปรีดีได้ปรึกษากับเพื่อนร่วมก่อการฝ่ายรถไฟ เช่น หลวงเดชาติวงศ์วราวัฒน์ (หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์) และหม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ ซึ่งในฐานะที่หม่อมหลวงอุดมเป็นนายช่างกล ทั้งยังขึ้นรถจักรดีเซลของขบวนรถไฟเสนาบดีไปหัวหินด้วย กำหนดให้พอหยุดจอดสถานีชุมทางตลิ่งชันแล้ว หม่อมหลวงอุดมจะต้องไม่เคลื่อนขบวนรถต่อไป เปิดโอกาสให้พวกทหารเรือบุกเข้าจับกุมตัวเสนาบดี

 

หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรณชีพ) ภาพจากหนังสือ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ
หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรณชีพ)
ภาพจากหนังสือ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ

 

หม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ ภาพจาก intra.oie.go.th
หม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ ภาพจาก intra.oie.go.th

 

หลวงเดชาติวงศ์วราวัฒน์ (หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์) ภาพจากหนังสือ หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์กับทางรถไฟสายมรณะ)
หลวงเดชาติวงศ์วราวัฒน์ (หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์)
ภาพจากหนังสือ หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์กับทางรถไฟสายมรณะ

 

ต่อมาฝ่ายหัวหน้าสายทหารบกทั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาและพระยาทรงสุรเดชตกลงจะทำการยึดอำนาจช่วงระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ประทับอยู่วังไกลกังวล หัวหิน พระยาฤทธิอัคเนย์ยินดีกลับมาร่วมมือกับคณะราษฎร ที่ประชุมหลายฝ่ายเห็นควรจะใช้แผนการจับเจ้านายและเสนาบดีเป็นตัวประกันมากกว่าอาศัยกองกำลังรบพุ่งรุนแรง

ท้ายสุด แผนการสำรองของนายปรีดีที่จะจับเสนาบดีตอนโดยสารรถไฟสายใต้ไปหัวหิน นำไปควบคุมตัวบนเรือกลไฟ จึงมิได้ถูกนำมาใช้

“แผนตลิ่งชัน” นับเป็นสิ่งสะท้อนได้ดียิ่งถึงปณิธานของนายปรีดี พนมยงค์ที่จะทำการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยไม่ยอมให้ชาวไทยด้วยกันต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ทั้งๆ ที่ตามยุทธวิธีการปฏิวัติยึดอำนาจห้วงยามนั้น ส่วนใหญ่มิแคล้วอาศัยวิธีใช้กองกำลังต่อสู้ปะทะกันจนมีคนบาดเจ็บล้มตาย  แต่นายปรีดีไม่ปรารถนาให้ความโหดร้ายเกิดขึ้นกับประเทศของตน จึงจำเป็นต้องคิดค้นกุศโลบายเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงให้ได้มากที่สุด  โชคดีเหลือเกินที่ผู้นำฝ่ายทหารบกหันกลับมาคล้อยตามแนวคิดของนายปรีดีและนำเอาบางส่วนไปปรับใช้ในวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

 

เอกสารอ้างอิง

  • ปรีดี พนมยงค์. “การเรียนกฎหมายในประเทศฝรั่งเศสโดยย่อ.” บทบัณฑิตย์ เล่ม 4 ตอนที่ 11 (มิถุนายน 2469). หน้า 660-665
  • ป. แก้วมาตย์ (ปั่น แก้วมาตย์). บันทึกพระยาทรงสุรเดช. กรุงเทพฯ: การพิมพ์กรุงเทพฯ, 2490
  • พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ ท.ช., ป.ม. (สังวร สุวรรณชีพ) ณ เมรุวัดธาตุทอง ถนนสุขุมวิท วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พุทธศักราช2516. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, 2516
  • หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์กับทางรถไฟสายมรณะ. หลานๆ พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ เมษายน 2490. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2490
  • อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน (หลวงสินธุสงครามชัย) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันพุธที่ 15 ธันวาคม พุทธศักราช 2519. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมสารบรรณทหารเรือ, 2520
  • อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์. ป.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 25 พฤษภาคม 2510. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2510
  • อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “มองความเคลื่อนไหว ‘คณะราษฎร’ ผ่านอาหารและร้านอาหาร.” The 101. World  24 June 2020

หมายเหตุ:

  • คำสะกดในบทความอิงตามเอกสารชั้นต้น
  • จัดรูปแบบตัวอักษรโดยบรรณาธิการ