ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

เสถียรภาพทางการเมือง

7
มีนาคม
2567

Focus

  • พฤติกรรมการเกณฑ์บุคคลไปต้อนรับรัฐมนตรี ราวกับเป็นบุคคลที่มิได้มาจากระบอบประชาธิปไตย แต่มาจากดินแดนอันศักดิ์สิทธิที่คนทั้งหลายจะละเมิดมิได้ ดูจะขัดแย้งกับการแสดงออกของรัฐบาลที่จะส่งเสริมให้ราษฎรเข้าใจประชาธิปไตย
  • หลักการประชาธิปไตยข้อหนึ่งคือ “ฝ่ายข้างน้อยยอมรับว่า ฝ่ายข้างมากต้องเป็นฝ่ายปกครอง และฝ่ายข้างมากก็ยอมรับว่า ฝ่ายข้างน้อยมีสิทธิวิพากษ์” การแสดงออกตามหลักการดังกล่าวนี้ ไม่พึงที่รัฐบาลจะคุกคามข่มขู่ให้ฝ่ายค้านหวาดกลัวในการปฏิบัติหน้าที่ อันจะขัดต่อเสถียรภาพทางการเมือง
  • แม้ว่าการศึกษาประชาธิปไตยให้เข้าใจถ่องแท้ จะต้องใช้เวลานาน แต่ความเพียร ความอดทนต่อความไม่พอใจต่างๆ และความปรารถนาโดยสุจริตจริงใจ ก็เป็นคุณธรรมสามประการที่พึงยึดถือเพื่ออนาคตของประเทศ

 

การที่มีเสียงบ่นกันอยู่ว่า ประเทศของเราไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง มีแต่ความกาหลวุ่นวายไม่เปนส่ำสืบต่อกันมาไม่ขาดสาย และก็มีการปรารภกันว่า ทำอย่างไรเราจึงจะมีเสถียรภาพทางการเมืองสักที หลังจากนั้นที่มีการเคลื่อนไหวทางฝ่ายรัฐบาล ว่าจะอบรมข้าราชการและประชาชนให้เข้าใจประชาธิปไตย “อย่างซาบซึ้ง” แต่ในขณะเดียวกันก็ได้มีการปฏิบัติในทางเหนี่ยวรั้งมิให้ประชาชนได้มีวันรู้จัก

เข้าใจประชาธิปไตยได้เลย เปนต้นว่า เมื่อรัฐมนตรีว่าการมหาดไทยออกไปตรวจราชการในต่างจังหวัด ทางจังหวัดก็ได้มีการกะเกณฑ์ข้าราชการและราษฎรออกไปคอยต้อนรับท่านรัฐมนตรีตามระยะทางที่ผ่านมาอย่างคับคั่ง (ตามรายงานของ ‘สยามนิกร’) ประหนึ่งว่ารัฐมนตรีในสมัยประชาธิปไตยมิใช่บุคคลที่มาหรือควรจะมาจากราษฎร หากมาจากดินแดนอันศักดิ์สิทธิซึ่งคนทั้งหลายจะละเมิดมิได้ การที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในต่างจังหวัดกระทำเช่นนั้น นอกจากจะเปนการคอยทำนุ

บำรุงให้ความรู้สึกเรื่องข้าเจ้าบ่าวนายตามแบบของระบอบเก่า จำเริญงอกงามอยู่ในความสำนึกของราษฎรอยู่ไม่ขาดสายแล้ว ยังเปนการนำมาซึ่งความเสียหายอื่นๆ  อีก เปนต้นว่า การที่เกณฑ์เอาผู้คนมาคอยต้อนรับเช่นนั้น เมื่อร่วมผู้คนทั้งหมดที่มาคอยต้อนรับทุกหนทุกแห่งแล้วจะเปนจำนวนมากมาย ในแง่เศรษฐกิจก็เปนการเอาเวลาและแรงงานของคนเหล่านั้นมาทำลายเสียอย่างไร้เหตุผลทีเดียว จากเหตุการณ์ที่นำมากล่าวนี้ เปนแต่เรื่องหนึ่งในจำนวนมากมายที่วงการปกครองมักปฏิบัติอยู่เสมอ ขณะที่แสดงออกโดยวาจาอยู่ร่ำไปว่ารัฐบาลเปนประชาธิปไตยและจะส่งเสริมให้ราษฎรเข้าใจประชาธิปไตย “อย่างซาบซึ้ง” อันแม่ปูนั้นจะเคี่ยวเข็ญให้ลูกปูเดินตรงเท่าใด ไม่มีวันจะสำเร็จได้ ตราบใดที่แม่ปูยังเดินตรงๆ ไม่ได้ และลูกปูก็ได้เห็นตัวอย่างการเดินคดเคี้ยวของแม่ปูอยู่ทุกวัน

การปกครองนั้นเปนทั้งวิทยาการและศิลป การปกครองมิใช่เรื่องของการใช้คอมมอนเซ้นส์ หรือเชาว์ไวไหวพริบล้วนๆ การปกครองมิใช่เรื่องของการมีลิ้นที่ทำด้วยแร่ชนิดต่างๆ หรือด้วยการเปล่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่ตลอดเวลา หรือด้วยการกล่าวถ้อยคำที่ใช้เปนน้ำตาลชงกาแฟได้ สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อยู่เหมือนกันในการปกครองบ้านเมือง แต่ก็จะต้องเข้าใจว่าไม่ใช่สิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่ทำให้คนเรากลายเปนรัฐบุรุษขึ้นมาได้ และบ้านเมืองกลายเปนประชาธิปไตยขึ้นมาได้

เมื่อนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ผู้แทน ยู.พี. เกี่ยวกับการเดินนโยบายต่างประเทศและก็ได้รับการวิพากษ์อย่างหนักจากทุกทิศทุกทางนั้น นายกรัฐมนตรีได้โต้ตอบการคัดค้านออกมาทางวิทยุกระจายเสียง โดยที่นายกรัฐมนตรีได้ใช้ถ้อยคำดูเปนการแสดงอารมณ์อยู่สักหน่อย จึงทำให้ฝ่ายค้านตีความไปว่า นายกรัฐมนตรีถือว่าการคัดค้านเปนสิ่งล้าสมัย และดังนั้นรัฐบาลนี้ก็ไม่เปนประชาธิปไตย แต่ผู้เขียนเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีมิได้ตั้งใจจะไปไกลถึงเพียงนั้น เปนแต่ว่านายกรัฐมนตรีต้องการความหนักแน่นอดทนกว่านั้น และต้องการความละเมียดละไมแห่งวาจากว่านั้น

มีกฎการเมืองซึ่งเปนที่รับนับถือกันในระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาว่า ฝ่ายข้างน้อยยอมรับว่า ฝ่ายข้างมากต้องเปนฝ่ายปกครอง และฝ่ายข้างมากก็ยอมรับว่า ฝ่ายข้างน้อยมีสิทธิวิพากษ์ การปกครองโดยระบบรัฐสภาจะสลายหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่มีความอดทนพอ และพยายามจะละเมิดกฎการเมืองข้อนี้ ถ้าทั้งสองฝ่ายหรือทุกฝ่ายเคารพกฎการเมืองข้อนี้แล้ว การกบฎรัฐประหารการจลาจลก็ไม่มี และประเทศก็จะสงวนเงินที่ต้องจ่ายไปในการซื้อรถยนต์หุ้มเกราะและอาวุธยุทธภัณฑ์อื่นๆ เปนจำนวนมากมาย และจะนำมาใช้จ่ายในการทำนุบำรุงความผาสุกของประชาชนได้ไม่น้อย

การที่ฝ่ายข้างน้อยยอมรับว่าฝ่ายข้างมากต้องได้สิทธิปกครองนั้น หมายความว่าฝ่ายข้างน้อยจะไม่ยกเหตุว่าประชาชนไม่นิยมรัฐบาล เพราะแก้ปัญหาค่าครองชีพไม่ตก หรือเหตุอื่นใดก็ตาม เปนข้ออ้างมาล้มรัฐบาล โดยวิธีการใช้กำลังบังคับ แต่จะคอยชี้ความบกพร่องของรัฐบาลอยู่ร่ำไป จนกว่าจะถึงเวลาเลือกตั้งคราวหน้า และก็จะให้ประชาชนได้วินิจฉัยโดยการออกเสียงว่าจะต้องการรัฐบาลชุดนั้นต่อไปหรือไม่

การที่ฝ่ายข้างมากยอมรับว่าฝ่ายข้างน้อยมีสิทธิในการวิพากษ์นั้น หมายความว่าฝ่ายข้างมากหรือรัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิวิพากษ์ของฝ่ายข้างน้อย โดยเต็มใจและเคร่งครัด ไม่ว่าฝ่ายข้างน้อยหรือฝ่ายค้านจะใช้สิทธิของเขาหนักหนาเพียงใด รัฐบาลก็จะไม่แสดงอาการคุกคามข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัวย่อท้อต่อฝ่ายค้านในอันจะปฏิบัติหน้าที่ของเขา ที่ว่ารัฐบาลจะต้องละเว้นไม่แสดงอาการคุกคามข่มขู่ฝ่ายค้านนั้น ย่อมหมายรวมถึงการกระทำของพนักงานของรัฐบาลด้วย ถ้าพนักงานแสดงอาการคุกคามข่มขู่ออกไป รัฐบาลก็จะต้องรับผิดชอบเต็มที่ การที่จะปฏิเสธว่ารัฐบาลไม่ได้เปนผู้สั่งการนั้น ควรจะถือทำนองเดียวกับที่ถือว่า เมื่อราษฎรกระทำผิด จะปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้

เราคิดว่า ถ้ากฎการเมืองข้อที่นำมากล่าวนี้ได้รับความเคารพโดยเต็มใจและเคร่งครัดจากทุกฝ่ายแล้ว ก็จะเปนทางสำคัญทางหนึ่งที่จะช่วยค้ำจุนเสถียรภาพของการเมืองไว้ได้ แต่ก็ไม่หมายความว่า ด้วยความเคารพกฎการเมืองข้อนี้ จะทำให้ประเทศกลายเปนประชาธิปไตยที่มีสุขภาพสมบูรณ์ขึ้นมาได้ แท้จริงเรื่องของประชาธิปไตยเปนเรื่องที่จะต้องศึกษากันมาก เพราะประชาธิปไตยมีทั้งส่วนที่เปน

คุณและส่วนที่เปนโทษเกี่ยวพันกันอยู่ไม่น้อย แต่ก็เปนโชคร้ายอยู่ที่คนมักใช้เวลาพูดถึงประชาธิปไตยกันมากเกินไป และก็ใช้เวลาศึกษากันน้อยเกินไป

อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะต้องใช้เวลานานที่จะศึกษาประชาธิปไตยให้เข้าใจถ่องแท้ กว่าจะดำเนินเข้าสู่วิถีทางอันราบรื่นได้ หากอาศัยความเพียรความอดทนต่อความไม่พอใจต่างๆ และความปรารถนาโดยสุจริตจริงใจแล้ว ถึงมาตร์ว่าจะต้องดำเนินไปตามทางที่ยังขรุขระอยู่ ก็ยังเปนที่อุ่นใจได้ว่าเราคงจะไม่พากันพลัดตกลงไปในเหวลึก แต่ถ้าปราศจากคุณธรรมสามประการดังกล่าวข้างต้นแล้ว อนาคตของประเทศก็อาจประสบได้ทุกอย่าง เว้นแต่ความผาสุกและความปลอดภัย

ที่มา : กุหลาบ สายประดิษฐ์, “เสถียรภาพทางการเมือง,” ใน สุชาติ สวัสดิ์ศรี. (บรรณาธิการ). มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ในฐานะนักหนังสือพิมพ์. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ แอล. ที. เพรส, 2548), น. 295 - 302.

 

หมายเหตุ : คงการเขียนตามอักขระเดิมตามต้นฉบับ