ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 7 : ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น

14
พฤษภาคม
2568

๑. ฝ่ายไทย

เมื่อรัฐบาลต้องยอมจำนนให้กองทหารของจักรพรรดิญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยไปปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้านทั้งมลายูและพม่าในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔  รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลบางคนไม่อยากจะให้เป็นไปเช่นนั้น แต่ก็ดูไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากญี่ปุ่นมีแสนยานุภาพสูงกว่ามาก และไม่มีประเทศอื่นใดที่จะขันเข้าช่วยเราปกปักรักษาอธิปไตยอันสมบูรณ์ของไทย รัฐมนตรีฝ่ายนี้เห็นว่า ความเสียสละของฝ่ายไทยน่าจะจำกัดโดยเฉพาะเจาะจงเพียงให้กำลังทหารญี่ปุ่นอาศัยผ่านเท่านั้น แต่เมื่อเขาเข้ามาแล้ว เขาก็เริ่มขอความร่วมมือด้านอื่น ๆ อีก เริ่มด้วยการขอเจรจาเงินจากรัฐบาลไทยเพื่อใช้จ่ายในกิจการทหารญี่ปุ่น

นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอความเห็นต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การที่ญี่ปุ่นขอกู้เงินนี้ คงจะไม่ใช่งวดนี้งวดเดียวเท่านั้น คงจะต้องขอกันเรื่อย ๆ ไปตามที่เขาเห็นจำเป็นสำหรับกำลังทหารของเขา การให้ญี่ปุ่นกู้เงินเพื่อประโยชน์ในการทำสงครามเช่นนี้ ญี่ปุ่นย่อมไม่มีหลักประกันให้ไทยแต่อย่างใด ผลจะเป็นว่า รัฐบาลไทยจะต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อสนองคำร้องขอของญี่ปุ่น จะมีธนบัตรหมุนเวียนภายในประเทศมากขึ้น ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อบั่นทอนความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และการเงินของไทย ฉะนั้น จึงเห็นควรหลีกเลี่ยงไม่ยินยอม หากญี่ปุ่นมีความจำเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของกองทัพญี่ปุ่น ก็ให้เขาจัดพิมพ์ธนบัตรทหารของเขา ขึ้นใช้เองเป็นกรณีพิเศษ เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม เราจะประกาศเลิกใช้ธนบัตรทหารญี่ปุ่นเมื่อใดก็ได้ จะไม่กระทบกระเทือนฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินของไทย

จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยถือว่าถ้ายอมให้ญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรทหารใช้ได้ในประเทศไทย จะเป็นการเสื่อมเสียต่อเอกราชและอธิปไตยอย่างแน่ชัด ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ ได้แย้งว่าการที่ไทยยอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากมาย ก็เป็นการเสื่อมต่อเอกราชและอธิปไตยของประเทศไทยอยู่แล้วมิใช่หรือ นายกรัฐมนตรีคงยืนยันจะให้ฝ่ายญี่ปุ่นยืมเงินบาทไปใช้จ่ายจนได้ อีกไม่กี่วันต่อมา ก็ได้มีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหม่ โดยนายปรีดี พนมยงค์ ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๔ เป็นต้นไป

 


นายปรีดี พนมยงค์ ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทศวรรษ 2480

 

สำหรับเหตุผลในการเปลี่ยนแปลง นายกรัฐมนตรีได้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า “โดยที่เจ้าพระยายมราช ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ถึงแก่อสัญกรรม สภาผู้แทนราษฎรยังมิได้ตั้งซ่อมผู้ใดเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า บรรดากิจการต่าง ๆ ของรัฐควรจะได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบกว่าปกติประการหนึ่ง ประกอบด้วยเวลานี้ พลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินก็ชราภาพ และสุขภาพไม่สมบูรณ์ อีกประการหนึ่ง เห็นว่า ในปัจจุบันนี้ เมื่อได้พิจารณาสถานการณ์ทั่ว ๆ ไปแล้ว คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ควรจะประกอบให้เข้มแข็ง มีผู้ทรงคุณวุฒิพร้อมที่จะให้เป็นที่เชื่อถือได้ทั้งราษฎรในประเทศไทยและต่างประเทศ และเพื่อประโยชน์ส่วนรวม สมควรที่จะตั้งซ่อมคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ผู้ที่ควรจะรับตำแหน่งนี้มี นายปรีดี พนมยงค์ ด้วยผู้หนึ่ง ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว นายปรีดี พนมยงค์ เป็นอันพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง”

 


นายวณิช ปานะนนท์
ที่มา: ที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพ นายวนิช ปานะนนท์ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2490

 

วันรุ่งขึ้นที่ ๑๗ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลตรี เภา เพียรเลิศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย และในวันเดียวกันนั้น นายวนิช ปานะนนท์ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีอีกผู้หนึ่ง

ส่วนนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พอรัฐบาลไทยยินยอมให้กองกำลังทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยเพื่อไปโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน นายดิเรก ชัยนาม ได้ปรารภว่า เมื่อนโยบายสำคัญของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไปจากเป็นกลางมาเป็นให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นในหลักการแล้ว ก็น่าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสีย ท่านเองไม่ควรจะคงอยู่ในตำแหน่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม นำเรื่องขึ้นปรารภในคณะรัฐมนตรีว่า ยามคับขันเช่นนี้ รัฐมนตรีไม่ควรจะละทิ้งกัน น่าจะคงให้ความร่วมมือร่วมใจกันต่อไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ได้มีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเข้าว่าการกระทรวงการต่างประเทศเอง มีนายดิเรก ชัยนาม ลดลงไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการต่อมาเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม นายกรัฐมนตรีขอให้พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส รองนายกรัฐมนตรี ไปทาบทาม นายดิเรก ชัยนาม ว่า โดยที่รัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงนโยบายกับญี่ปุ่นมาก มีลักษณะทำนองเป็นพันธมิตรต่อกันแล้ว จึงน่าจะมีการเปลี่ยนตัวทูตไทยที่ประจำอยู่ใน ประเทศญี่ปุ่น และใคร่จะขอให้นายดิเรก ชัยนาม ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ในชั้นแรกนายดิเรก ชัยนาม ได้ปฏิเสธการทาบทามนี้อย่างแข็งขัน อ้างว่าเนื่องจากท่านได้พยายามรักษาความเป็นกลางไว้โดยเคร่งครัดตลอดมา และท่านไม่เห็นด้วยกับการที่ไทยจะร่วมมือกับญี่ปุ่น ท่านคงจะไปทำหน้าที่เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ถนัด ญี่ปุ่นเองคงไม่ไว้วางใจท่านพลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ตอบว่า เรื่องนี้ได้ปรึกษาหารือกันโดยละเอียดแล้วเห็นว่าตรงกันข้าม ฝ่ายญี่ปุ่นอาจจะเชื่อถือและเกรงใจนายดิเรก ชัยนาม มากขึ้น เพราะนายดิเรกเป็น ผู้กว้างขวางในวงการเมืองของประเทศไทย จะพูดจาอย่างใดกับฝ่ายญี่ปุ่นก็มีนํ้าหนักหนุนหลังอยู่ นายดิเรกยังคงไม่ยอมรับ ต่อมาอีก ๒-๓ วัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตามนายดิเรก ชัยนาม ให้ไปพบที่ทำเนียบวังสวนกุหลาบ และยืนยันให้รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตเพื่อประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง และได้ขอความเห็นชอบไปทางรัฐบาลญี่ปุ่นแล้ว นายดิเรกยังคงยืนกรานปฏิเสธ ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงกับลุกเข้าห้องไปพร้อมทั้งกล่าวอย่างเดือดดาลว่า ถ้านายดิเรกไม่ยอมไป ตัวท่านจะต้องไปเองออกจากทำเนียบ นายดิเรก ชัยนาม ไปพบนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเพิ่งได้แต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เล่าให้ทราบถึงเหตุการณ์เรื่องนี้ ผู้สำเร็จราชการฯ ให้ความเห็นว่า เมื่อทางการได้เสนอขอความเห็นชอบไปยังรัฐบาลญี่ปุ่นแล้ว การที่นายดิเรกจะปฏิเสธไม่ไปนั้นย่อมก่อให้เกิดความยากลำบากมาก อนึ่ง ในทัศนะของผู้สำเร็จราชการฯ แม้ญี่ปุ่นจะมีชัยชนะก้าวหน้าในการศึกอยู่ แต่สุดท้ายปลายทางก็เชื่อว่า ฝ่ายพันธมิตรจะต้องชนะเป็นแน่ การติดต่อกับญี่ปุ่น ถ้าเดินไม่ดีไทยอาจจะถลำตัวเข้าไปมากยิ่งขึ้น ดีไม่ดีอาจถึงเสียเอกราชอธิปไตยก็ได้ ฉะนั้น ถ้านายดิเรกยอมรับไป ก็อาจจะช่วยในการบรรเทาปัดเป่าไม่ให้มีการผูกมัดไทยจนเกินไป ทั้งยังจะเป็นโอกาสให้สามารถหาทางติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรที่ยังมีผู้แทนอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ก่อให้เกิดความเข้าใจถูกในสถานการณ์ของประเทศไทยได้ ข้อสำคัญนายดิเรกจะต้องได้เจ้าหน้าที่ประจำสถานเอกอัครราชทูตที่ไว้วางใจได้ จริง ๆ ติดตามไปด้วย เพราะการดำ เนินงานช่วงนั้นจะเกี่ยวกับอนาคตของชาติทีเดียว นายดิเรกจึงได้แจ้งแก่พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ว่า ถ้ารัฐบาลจะยืนยันให้ นายดิเรกรับตำแหน่งนี้จริง ๆ แล้ว ขอให้รัฐบาลแจ้งต่อฝ่ายญี่ปุ่นว่า รัฐบาลมอบความไว้วางใจในการเจรจากับฝ่ายญี่ปุ่นให้แก่นายดิเรก และเมื่อนายดิเรกเสนอความ คิดเห็นอย่างใดมา รัฐบาลรับจะพิจารณาข้อเสนอนั้นด้วยดี นายดิเรกใคร่ขอเลือกข้าราชการที่จะร่วมไปในคณะเอง เพราะการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตไทยใหม่คราวนี้ มิใช่เป็นการโยกย้ายทูตตามธรรมดา จะต้องได้ผู้ที่สามารถและไว้วางใจได้แน่นอน เมื่อทั้งสองท่านนัดไปพบนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ก็เป็นอันตกลงกันได้ตามความ ประสงค์ของนายดิเรก ชัยนาม ส่วนนโยบายดำเนินการนั้น นายกรัฐมนตรียังได้มอบให้อยู่ในดุลยพินิจของนายดิเรก ชัยนาม ด้วย สิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ก็ขอให้ดำเนินการไปได้

ในการไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียวคราวนั้น นายดิเรก ชัยนาม ได้เลือกนายทวี ตะเวทิกุล หัวหน้ากองกลาง สำนักปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นอัครราชทูตที่ปรึกษา นายถนัด คอมันตร์ และข้าพเจ้าเป็นเลขานุการโท นาย ฉันท์ สมิตเวช ผู้มีความรู้ทางภาษาญี่ปุ่นแตกฉาน เป็นเลขานุการตรี นายเทียม ลดานนท์ เป็นนายเวร และนายสละ ศิวรักษ์ เป็นเสมียน ในตอนนั้น ข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นเลขานุการคนหนึ่งของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ที่ปรึกษาฝ่ายไทยของกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อทราบความดำริของทางราชการที่จะโยกย้ายให้ข้าพเจ้าไปประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว หม่อมพร้อย สุพิณ ชายาของพระองค์ท่านปรารภว่า ข้าพเจ้าไม่น่าจะต้องไปประเทศญี่ปุ่น ควร ที่จะอยู่ช่วยงานทางประเทศไทยจะดีกว่า แต่ท่านที่ปรึกษาทรงเห็นว่า เมื่อเป็นความ ประสงค์ของทางราชการ พระองค์ท่านไม่อยู่ในฐานะที่จะทัดทานได้ จึงไม่ทรงขัดข้อง และยังได้ทรงมีลายพระหัตถ์ให้ข้าพเจ้าถือไปพบกับผู้ใหญ่บางคนทางประเทศญี่ปุ่นซึ่งพระองค์ท่านทรงรู้จักดี นายดิเรก ชัยนาม และคณะได้ออก เดินทางโดยเครื่องบินญี่ปุ่นไปกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๘๕ และค้างคืนที่เมืองฮานอย กวางตุ้ง และเซี่ยงไฮ้ ระหว่างทาง

 

๒. ฝ่ายอังกฤษและอเมริกาในประเทศไทย

ในทันทีที่ได้รับทราบจากนายดิเรก ชัยนาม เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ถึงสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยต้องยินยอมปล่อยให้กองทัพทหารญี่ปุ่นผ่านประเทศไทย เซอร์โจซาย ครอสบี้ ได้คิดหาวิธีที่จะจัดให้ท่าน และคณะข้าราชการสถานทูต พร้อมด้วยคนชาติอังกฤษที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเดินทางออกไปจากประเทศไทย โดยได้ขอรถไฟ เที่ยวพิเศษเพื่อไปจังหวัดลำปาง จากนั้นจะโดยสารรถยนต์ไปเชียงรายเพื่อเข้าเขต บริติชที่เชียงตุง ผู้อำนวยการการรถไฟได้ตกลงจัดรถไฟเป็นพิเศษรวม ๒ ขบวน สำหรับขนย้ายคนชาติอังกฤษและอเมริกาในคํ่าวันที่ ๑๐ ธันวาคม นายดิเรก โทรศัพท์ขอให้ทั้งทูตอังกฤษและทูตอเมริกาติดต่อโดยตรงกับผู้อำนวยการ เพื่อตกลงรายละเอียดในการเดินทาง หากแต่ฝ่ายทหารญี่ปุ่นเข้าคุมการรถไฟของประเทศไทยเสียก่อนแล้ว และตัวทูตเองก็ต้องถูกกักบริเวณอยู่ในสถานทูต จึงไม่สามารถออกไป ติดต่อดำเนินการตามนัดหมายอย่างใดได้

เซอร์โจซาย ครอสบี้ พยายามจะส่งโทรเลขรายงานสถานการณ์ให้กระทรวงการ ต่างประเทศอังกฤษทราบ เข้าใจว่า ฝ่ายทหารญี่ปุ่นคงขัดข้องไม่ยอมให้ส่ง ทูตจึงขอให้นายดิเรกช่วยจัดส่งโทรเลขอีกฉบับหนึ่งไปกรุงลอนดอน มีข้อความว่า แม้ญี่ปุ่นจะได้รับอนุญาตให้ผ่านประเทศไทยไปมลายู ความสัมพันธ์ระหว่างทูตกับรัฐบาลไทยยังคงเป็นมิตรดีอยู่ ไม่มีการแตกสลายอย่างใด ซึ่งนายดิเรกรับจะช่วย แต่ต่อมา นายวิจิตร วิจิตรวาทการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โทรศัพท์ถึงทูตว่า เสียใจที่นายดิเรกไม่สามารถส่งโทรเลขให้ได้ โดยมิได้ให้เหตุผล ทูตจึงตระหนักแน่ว่า ญี่ปุ่นไม่ต้องการจะให้ติดต่อกับรัฐบาลที่กรุงลอนดอน ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านกระทรวงการต่างประเทศก็ตาม โดยเฉพาะในข้อที่ว่า ทูตยังมีความสัมพันธ์อันดีอยู่กับรัฐบาลไทย

ตลอดวันที่ ๘ และ ๙ ธันวาคม มีทหารญี่ปุ่นมาตั้งเป็นยามอยู่ที่ประตูเหล็กด้านถนนเพลินจิตของสถานทูตอังกฤษ แต่บานประตูยังคงเปิดไว้ ผู้คนในสถานทูตจึงเข้าออกสถานทูตได้ เที่ยงคืนวันที่ ๙ มีการปิดประตูนั้น สถานทูตจึงทราบในวันที่ ๑๐ ว่า ถูกตัดการติดต่อกับภายนอกแล้ว ใครจะเข้าหรือออกไม่ได้ เป็นอันว่า ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีสถานะสงครามต่อกันระหว่างไทยกับอังกฤษ และยังมิได้มีการตัดสัมพันธ์ทางการทูต ทูตอังกฤษในประเทศไทยไม่สามารถติดต่อกับรัฐบาลของเขาโดยทางรหัสแล้ว และถูกกักกันพร้อมด้วยบริวารทั้งหลายให้อยู่เฉพาะภายในสถานทูต ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่วันที่ ๑๑ เป็นต้นไป ฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มจับตัวคนในสังกัดบริติชผิวขาวที่ อยู่ในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นไม่ต้องการให้เกิดการหลบหนีออกจากประเทศไทย ทางด้านสถานทูตอเมริกา ญี่ปุ่นได้ให้ผลปฏิบัติทำนองเดียวกัน โดยเริ่มกักกันตัวทูตและข้าราชการสถานทูตตั้งแต่เมื่อวันที่ ๙ ก่อนพวกอังกฤษ ๑ วัน ญี่ปุ่นเลยขยายการกักกันถึงข้าราชการสถานทูตเนเธอร์แลนด์ด้วย เซอร์โจซาย โทรศัพท์ประท้วงไปทางนายดิเรก ชัยนาม แต่ก็ไม่ได้ผล ทั้ง ๆ ที่นายดิเรกรับปาก ว่าจะแจ้งเรื่องให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทราบหลังจากนั้นแล้ว เซอร์โจซาย ไม่สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้อีกเลย นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งประจำอยู่หน้าสถานทูต และข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่มากับกงสุลสวิส ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษในประเทศไทย ญี่ปุ่นได้ถอดถอน โทรศัพท์และเครื่องวิทยุของสถานทูตเสียสิ้น ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ตำรวจไทย เข้าทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าสถานทูตแทนทหารญี่ปุ่น ลูกจ้างชาวเอเชียของสถานทูตที่ต้องการจะออกจากสถานทูตไปเลย ได้รับอนุญาตให้ออกได้ แต่จะกลับเข้าไปใหม่ไม่ได้ คนชาวอังกฤษที่มิใช่ข้าราชการสถานทูตถูกกักกันตัวรวมกันอยู่ในโรงแรมโทรกาเดโร หรือส่งเข้าไปในสถานทูต เพราะทหารญี่ปุ่นเข้ายึดบ้านเรือนที่พักอาศัยหมด สถานทูตซึ่งมีบริเวณกว้างขวางกลายเป็นคับแคบไป ถ้าจะต้องรับบุคคล ภายนอกเข้าไปอยู่ด้วย ในที่สุดฝ่ายไทยได้ตกลงใช้ส่วนหนึ่งของบริเวณมหาวิทยาลัย วิชาธรรมศาสตร์และการเมืองกันให้เป็นที่กักกันทั้งคนชาติยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย กว่า ๓๕๐ คน ผู้ที่สามารถหนีเล็ดลอดออกจากประเทศไทยไปอาณาเขต อังกฤษทั้งทางด้านมลายูและพม่าได้ มีจำนวนไม่กี่คน

เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม หนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์ ลงประกาศของผู้บัญชาการ ทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีใจความว่า กองกำลังของจักรวรรดิญี่ปุ่นให้ประกันความคุ้มครองแก่บรรดาคนชาวเอเชียทั้งหลายที่อยู่ในประเทศไทย อันได้แก่คนอินเดีย มลายู พม่า จีน และอื่น ๆ โดยไม่ถือเป็นคนในบังคับชาติศัตรู ตราบเท่าที่มิได้ปฏิบัติการเป็นปฏิปักษ์ต่อญี่ปุ่น ฉะนั้น จึงควรที่จะประกอบภารกิจตามอาชีพของตนต่อไปได้ด้วยความสงบ แต่ผู้ใดที่พยายามจะหลบหนีเข้าไปในเขตศัตรูของญี่ปุ่น จะถูกจับและกักคุมในฐานะเป็นศัตรู

เซอร์โจซาย ครอสบี้ ถูกกักบริเวณอยู่ในสถานทูต โดยมิได้รับการติดต่อจากรัฐบาลกรุงลอนดอนเลย จนกระทั่งวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๘๕ นายซีเกนเธเลอร์ กงสุล กิตติมศักดิ์สวิส ไปพบ แจ้งให้ทราบว่า ตามคำขอของรัฐบาลอังกฤษ และด้วยความ ยินยอมของรัฐบาลไทย ประเทศสวิสรับเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษใน ประเทศไทย และได้นำสำเนาโทรเลขจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อังกฤษมีถึงเซอร์โจซาย สั่งให้เดินทางกลับ พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายการทูตและการกงสุล แลกกับการที่รัฐบาลอังกฤษจะปล่อยให้ทูตไทยที่กรุงลอนดอนกลับ พร้อมด้วยข้าราชการประจำสถานทูตที่อังกฤษ และว่าฝ่ายอังกฤษยินดีที่จะจัดการให้คนไทยในอังกฤษเดินทางกลับประเทศไทย ถ้าฝ่ายไทยปฏิบัติอย่างเดียวกันในส่วนที่เกี่ยวกับคนชาติบริติชในประเทศไทย ในการเข้าพบเซอร์โจซายครั้งนั้น มี ดร.เลนซิงเกอร์ กงสุลประจำที่ชวา ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาช่วยงานทางกรุงเทพฯ ร่วมมาด้วย พร้อมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศและผู้แทนฝ่ายทหารญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่ไทยแจ้ง แก่เซอร์โจซายว่า รัฐบาลไทยเสนอผ่านรัฐบาลสวิส ขอให้รัฐบาลอังกฤษส่งคณะทูตไทยที่กรุงลอนดอนไปกรุงลิสบอน รัฐบาลไทยจะจัดส่งคณะทูตอังกฤษไปยังเขตแดน เชียงตุง โดยมีเงื่อนไขว่า คณะทูตไทยจะต้องเดินทางถึงกรุงลิสบอนแล้ว คณะทูตอังกฤษ จึงจะออกจากกรุงเทพฯ ได้ตามดุลยพินิจของกองบัญชาการทหารญี่ปุ่น เซอร์โจซาย ไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ เพราะเห็นว่าฝ่ายอังกฤษเสียเปรียบมาก

ระเบียบการติดต่อในตอนนั้นวางไว้ดังนี้ คือ กงสุลสวิสจะไปพบทูตอังกฤษได้ก็ต้องมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยและญี่ปุ่นติดตามไปด้วย การสนทนาต้องกระทำกันต่อหน้าเจ้าหน้าที่ไทยและญี่ปุ่น ถ้าทูตจะเขียนจดหมายถึงกงสุลสวิสจะต้องส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศเสนอให้คณะกรรมการผสมไทย-ญี่ปุ่นทราบก่อน เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการผสมแล้ว จดหมายจึง จะกลับไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อส่งมอบแก่กงสุลสวิสต่อไป จดหมายติดต่อจากกงสุลสวิสถึงทูตก็ต้องผ่านกรรมวิธีเดียวกัน การติดต่อแต่ละครั้งจึงใช้เวลาประมาณ ๒ สัปดาห์ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทูตอังกฤษจะต้องรอประมาณ ๑ เดือน จึงจะได้รับคำตอบจากกงสุลสวิส ต่อมาการติดต่อโดยทางจดหมายย่นย่อให้เร็วขึ้นบ้าง และกงสุลได้รับอนุญาตให้พบทูตได้ถี่ขึ้นเป็นสัปดาห์ละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้น เมื่อมีความจำเป็น

ในระยะแรกสารวัตรทหารญี่ปุ่นเข้าค้นสถานทูตเมื่อสงสัยว่ามีเครื่องส่งวิทยุอยู่ การควบคุมอยู่ในอำ นาจของคณะกรรมการผสมฝ่ายไทยไม่สู้จะมีสิทธิ์มีเสียงเพียงใด

นอกจากค่านํ้า ค่าไฟฟ้าสำหรับทุกอาคารในสถานทูต กงสุลสวิสมอบเงินให้แก่สถานทูตเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ของผู้ถูกกักกันในสถานทูต ข้าราชการสถานทูตและสถานกงสุลจะเบิกเงินส่วนตัวจากธนาคารอังกฤษไม่ได้ เพราะทุกธนาคารถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายญี่ปุ่นสั่งปิดทำการ

บุคคลภายนอกต้องห้ามเด็ดขาดไม่ให้เข้าไปติดต่อกับข้าราชการสถานทูต หนังสือพิมพ์ก็ไม่ให้เข้า จนกระทั่งวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ จึงอนุญาตให้อ่านหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษชื่อ บางกอกไทมส์ ได้ภายหลังที่ญี่ปุ่นได้เข้าจัดการ วางระเบียบภายในให้แล้ว กล่าวคือ ข่าวสารที่จะลงพิมพ์ได้เป็นข่าวกระแสฝ่าย อักษะเท่านั้น ในด้านเสบียงอาหารของผู้ที่ถูกกักบริเวณอยู่ในสถานทูต ในชั้นแรกฝ่ายญี่ปุ่นอนุญาตให้ร้านสินค้าอาหารข้างนอกส่งให้แก่สถานทูตตามใบสั่งของเหล่านั้น จะต้องผ่านการตรวจที่เข้มงวดของยามเฝ้าประตูเหล็กด้านถนน ต่อมาได้ผ่อนลงเป็นยอมให้คนรับใช้ชาวจีนของสถานทูตออกไปหาซื้ออาหารสดจากตลาดได้ทุกเช้าภายใต้การควบคุมของตำรวจ คนครัวของกงสุลอังกฤษที่เลือกออกไปข้างนอก ไม่อาจกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ทำให้กงสุลและรองกงสุลต้องปรุงอาหารรับประทานกันเองและให้ผู้ที่เข้าไปอาศัยอยู่ด้วย คนทำความสะอาดและคนสวนก็ขาดแคลน นักการทูตต้องลงมือตัดหญ้าในสนามเอง ถือเป็นการบริหารกายอย่างหนึ่ง คนใชสัญชาติจีนที่คงอยู่ประจำหน้าที่ภายในสถานทูตย่อมเป็นอันขาดจากการติดต่อกับญาติที่อยู่ข้างนอก ซึ่งพวกนี้ล้วนเป็นปฏิปักษ์ต่อญี่ปุ่น และนิยมชมชอบสนับสนุน รัฐบาลจีนที่จุงกิงทั้งนั้น ต่อมาความเข้มงวดค่อยลดลงบ้าง ตำรวจไทยที่เป็นยามเฝ้าสถานทูตบำเพ็ญตนดีขึ้น พยายามให้ความสะดวกแก่ผู้ถูกกักคุมเท่าที่จะสามารถทำได้ เมื่อมีการเจ็บป่วยภายในสถานทูต นอกจากจะอนุญาตให้ส่งแพทย์เข้าไปตรวจได้แล้ว ในบางกรณียังยินยอมให้ผู้ป่วยออกไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่อยู่ใกล้อีกด้วย ต่อมาญี่ปุ่นเกิดสงสัยอย่างไรไม่ทราบ ได้วางกฎเกณฑ์ใหม่ว่า แพทย์ที่จะเข้าไปตรวจคนไข้ในสถานทูต ต้องเป็นแพทย์ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงคุณวุฒิก็จริง แต่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ภาษาไทยก็ได้คำสองคำ ไม่มีล่ามติดตามไปด้วย ผู้ป่วยกับแพทย์ที่จะรักษาจึงติดต่อกันไม่รู้จะสะดวก

ข้าราชการสถานทูตและกงสุลอเมริกาอยู่ในการควบคุมทำนองนี้เป็นเวลากว่า ๗ เดือน จึงได้เดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน โดยเรือกริปสโฮลม์ ส่วนฝ่ายอังกฤษ ออกเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๔๘๕ พร้อมกับคนชาติเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และนอร์เวย์ที่ถูกควบคุมตัว ทั้ง ๆ ที่ทั้งสามประเทศนี้มิได้มีสถานะสงครามกับประเทศไทย โดยสารเรือวัลยาไปเปลี่ยนเรือที่ไซ่ง่อน ลงเรือญี่ปุ่นชื่อตาชุตามารู ไปถึงเมืองโลเรนโซมาร์เกสในทวีปแอฟริกา เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม แลกเปลี่ยนกับ ข้าราชการสถานทูตไทยที่มาจากกรุงลอนดอน

การประกาศสงครามของไทยเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม กงสุลสวิสแจ้งให้ทูตทราบ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ไม่มีผลกระทบถึงการปฏิบัติต่อคณะทูตและกงสุลแต่อย่างใด แต่สำหรับคนชาติบริติชที่มิใช่บุคคลในคณะทูตและคณะกงสุลมีผล เปลี่ยนแปลงมาก เพราะเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้เข้ายึดทรัพย์สินส่วนตัวและงดจ่ายเงิน ให้แก่ผู้รับบำนาญชาติบริติชทุกคน ทรัพย์สินส่วนตัวที่ถูกยึดย่อมมีสูญหายขาดตกบกพร่องไปบ้าง ส่วนที่เจ้าหน้าที่ควบคุมทรัพย์สินศัตรูยึดได้ ได้ทำการขายทอดตลาดไป ข้าราชการกงสุลในต่างจังหวัดที่ต้องส่งตัวมารวมที่สถานทูตพลอยสูญเสียทรัพย์สินส่วนตัวไปด้วย สัมปทานป่าไม้และเหมืองแร่ของอังกฤษทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ถูกเจ้าหน้าที่ไทยยึดสิ้น

ในค่ายกักกันผู้ถูกกักคุมพลเรือนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ชั้นแรกมีจำนวนทั้งสิ้น ๓๖๑ คน แยกเป็นคนชาติบริติช รวมทั้งออสเตรเลียและ นิวซีแลนด์ ๒๖๕ คน ชาติอเมริกา ๗๗ คน ชาติเนเธอร์แลนด์ ๑๙ คน ภายหลังวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๔๘๕ เมื่อผู้ถูกกักคุมส่วนหนึ่งได้รับโอกาสให้เดินทางกลับพร้อม ข้าราชการสถานทูตและสถานกงสุล ยังมีผู้ถูกกักคุมเหลืออยู่ ๒๑๓ คน เป็นชาวบริติชเสีย ๒๐๕ คน ชาวเนเธอร์แลนด์ ๘ คน ผู้ถูกกักคุม พลเรือนเหล่านี้ตอนต้น ย่อมรู้สึกต้องทนทุกข์หนักพอใช้ เพราะต่างคนล้วนเป็นนายห้างเจ้าของร้านผู้จัดการ บริษัทมีฐานะมั่งคั่งทั้งนั้น การโยกย้ายจากคฤหาสน์ที่เคยอยู่มาแออัดในค่ายย่อมผิดแผกแตกต่างไปจากชีวิตประจำวันปกติมาก ครั้นอยู่นานเกิดความเคยชินขึ้น สิ่ง ที่ยังคงขาดก็เห็นจะได้แก่เสรีภาพในการไปไหนมาไหนเท่านั้น ต่างคนต่างมีงานทำตามภาระหน้าที่ที่แบ่งมอบหมายกันไป บางคนไปจ่ายตลาด บางคนทำครัว บางคนรักษาความสะอาดของสถานที่ บางคนซักรีดเสื้อผ้า เป็นช่างไม้ ช่างไฟฟ้า เป็นศิลปินวาดภาพเขียนลายเส้นและสอดสี ผู้ถูกกักคุมรวมกันแต่งตั้งคณะกรรมการภายใน ค่ายขึ้นเพื่อดูแลผลประโยชน์และความผาสุก ตลอดจนจัดงานบันเทิงตามควรแก่โอกาส มีการแสดงละคร การปาฐกถาเผยแพร่ให้ความรู้แก่กันและกัน ระเบียบข้อ บังคับของค่ายที่ทางการวางไว้มีความเข้มงวดก็จริง แต่ในทางปฏิบัติมีการผ่อนคลายอย่างกว้างขวาง ถึงกับเจ้าหน้าที่ทหารญี่ปุ่นในคณะกรรมการผสมไทย-ญี่ปุ่นคอย ค่อนแคะอยู่เนืองนิจว่า ไทยเลี้ยงดูเชลยดีเกินสมควรให้ความสุขความสบายอย่าง ที่จะนำไปเปรียบเทียบกับเชลยในความควบคุมของญี่ปุ่นไม่ได้ผู้ถูกกักคุมในค่ายที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจำนวนไม่น้อย แจ้งประณิธานว่าจะไม่ขอไปจากประเทศไทย

ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะเมื่อมีการประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐฯ แล้ว รัฐบาลถือว่ามีฐานะเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่น สามารถจัดดำเนินการภายในบ้านเมืองของเราอย่างอิสระ ญี่ปุ่นไม่พึงเข้าแทรกแซงจนเกินไปนัก ไทยไม่นิยมการ กดขี่ข่มเหงรุนแรงประกอบกับผู้ถูกกักคุมล้วนเป็นผู้ที่คนไทยรู้จัก บางคนเคยติดต่อ ในหน้าที่กับข้าราชการไทยมาสม่ำเสมอในทางการค้าและการศุลกากร ฉะนั้น เมื่อร้อยเอก ม.ร.ว.พงศ์พรหม จักรพันธุ์ ข้าราชการกรมศุลกากร ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ควบคุมค่าย ความสนิทสนมที่เคยมีอยู่แต่เดิมหาได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ การพยายามเข้าใจซึ่งกันและกันมีมาก สิ่งใดที่พอจะผ่อนปรนได้ก็ผ่อนปรนกันไป มิตรสัมพันธ์ส่วนตัวมิได้ขาดสะบั้นโดยเหตุแห่งสงครามระหว่างประเทศต่อประเทศ ผู้อยู่ในข่ายต้องถูกกักคุมไม่น้อยกว่า ๒๙ ราย โดยเหตุสูงอายุ หรือเหตุสุขภาพ ได้รับอนุญาตให้กลับไปอยู่บ้าน ค่ายกักกันพลเรือนอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และ การเมืองเป็นเวลากว่า ๓ ปี จนกระทั่งต้นปี ๒๔๘๘ จึงได้ย้ายไปที่วชิราวุธวิทยาลัย เพื่อความปลอดภัยของผู้ถูกกักกัน เนื่องจากฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินมาทิ้ง ระเบิดบริเวณใกล้เคียงมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์หนักยิ่งขึ้น

 

๓. คณะเสรีไทยในต่างประเทศ

นายคอร์เดล ฮอลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน ทำบันทึกการสนทนากับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ว่า ทูตไทยได้ขอพบ ๒ ครั้งในวันเดียวกันนั้น ครั้งแรกเพื่อสอบถามติดตามเหตุการณ์ภายในประเทศไทย ซึ่งอ้างว่า ทูตขาดการติดต่อด้วยมา หลายวันแล้ว นายคอร์เดล ฮอลล์ แจ้งข่าวให้ทราบตามรายงานที่ได้รับจากนายเป็ก ทูตอเมริกาประจำประเทศไทย ครั้งที่ ๒ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แจ้งต่อรัฐมนตรีว่า รู้สึกตระหนกตกใจมากเมื่อทราบข่าวไทยยอมจำนนต่อฝ่ายญี่ปุ่นเชื่อว่า ผู้นิยมญี่ปุ่นในประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจของรัฐบาลไทย ได้มีการประชุมปรึกษาหารือภายในสถานทูตทุกคนตกลงจะอยู่ในสหรัฐฯ ต่อไป และขอรับใช้ในทุกวิถีทางที่จะกระทำได้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เสนอยกเงินและสินทรัพย์ทั้งหมดของไทยให้รัฐบาลอเมริกานำไปใช้ในการทำสงคราม ข้าราชการสถานทูตอาจคิด จัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ประกอบด้วยผู้รักชาติและรักเสรีภาพอย่างแท้จริงในระหว่างที่รัฐบาลทางกรุงเทพฯ ต้องตกอยู่ภายใต้อำ นาจญี่ปุ่น

นายคอร์เดล ฮอลล์ บันทึกต่อไปว่า ได้กล่าวขอบใจ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อย่างสุดซึ้ง แล้วชี้แจงว่า ในบางกรณีรัฐบาลอเมริกาเคยทำการกักกันเงินจำนวนมากของประเทศเล็กที่ถูกฮิตเลอร์ยึดครอง แต่ที่ ม.ร.ว.เสนีย์เสนอให้เงินและสินทรัพย์ของไทยเพื่อนำไปใช้ในสงครามนั้น รัฐบาลอเมริกาไม่สามารถจะรับได้ ในทางปฏิบัติรัฐบาลอเมริกาคงรับรองฐานะความเป็นทูตของผู้แทนต่างประเทศที่ต้องตกอยู่ในความควบคุมของฮิตเลอร์และยกตัวอย่างทูตเชโกสโลวะเกียประกอบ แต่ดูทูตไทยจะไม่สนใจในเรื่องนี้ หากเพียงในความมุ่งหมายของข้าราชการไทยที่จะรับใช้สหรัฐฯ ด้วยความสมัครใจ เพราะต่างไม่ต้องการจะให้ผู้อื่นตราหน้าว่า เป็นผู้ขี้ขลาดตาขาว นายคอร์เดล ฮอลล์ สดุดีการตัดสินใจของข้าราชการไทย แต่แนะนำให้รอติดตามดูการคลี่คลายภายในประเทศไทยไปพลางก่อนว่า รัฐบาลไทยจะตกลงเป็นประการใดแน่กับฝ่ายญี่ปุ่น

ต่อมาอีก ๒ วัน คือ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๕ ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ได้มีการประชุมระหว่างข้าราชการไทย ณ สถานทูตที่ถนนคาโลรามา อีกครั้ง ที่ประชุมได้พิจารณาถึงการดำเนินการขั้นต่อไป ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เล่า เหตุการณ์ต่อที่ประชุม และแจ้งว่า สำหรับทูตเองจะไม่กลับประเทศไทย เพราะเข้าใจว่า ญี่ปุ่นเข้ายึดครองประเทศไทยแล้ว รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม อยู่ใต้ อำนาจของญี่ปุ่น การตัดสินใจไม่กลับอาจจะถูกรัฐบาลหุ่นที่กรุงเทพฯ ถือเป็นการทรยศต่อชาติก็ได้ จึงใคร่จะขอให้ทุกคนใคร่ครวญให้ดี ทุกคนตกลงใจโดยอิสระที่จะไม่กลับประเทศไทย ทุกคนพร้อมที่จะยอมให้มีการยึดทรัพย์สินของตนใน ประเทศไทย ทุกคนยอมทนรับการกดขี่ที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ครอบครัวในประเทศไทย และทุกคนพร้อมที่จะตาย ดีกว่ากลับไปเป็นทาสของญี่ปุ่น เมื่อมีความเห็นเป็นเอกฉันท์เช่นนั้น ที่ประชุมจึงได้วางหลักปฏิบัติไว้ ๓ ประการคือ ประการแรก จะทำการต่อสู้กับญี่ปุ่นตามกำลังความสามารถทุกวิถีทาง ประการที่ ๒ จะเพียรพยายามกอบกู้เอกราชของประเทศไทย และประการที่ ๓ จะให้หลักประกันแก่ประชาชนชาติไทยในประชาธิปไตยอันแท้จริง มิให้เผด็จการเข้าเคลือบแฝง

วันที่ ๑๒ ธันวาคม ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้กล่าวคำปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงถึงประชาชนชาวไทย มีใจความสำคัญว่า เมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดครองประเทศไทยแล้ว ท่านไม่มีทางจะทราบได้ว่า คำสั่งจากกรุงเทพฯ ที่ส่งมายังท่านเป็นคำสั่งของรัฐบาล หรือคำบัญชาของผู้รุกรานด้วยกำลังอาวุธ ม.ร.ว.เสนีย์ประกาศอย่างเปิดเผยว่า จะปฏิบัติตามคำสั่งที่แท้จริงของรัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ในฐานะที่เป็นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์ และของประเทศไทยเสรีมีเอกราช ท่านว่า จะคงอยู่ในสหรัฐฯ ต่อไปเพื่อทำการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประเทศไทย กำลังของฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องได้ชัยชนะเหนือฝ่ายอักษะในที่สุดชัยชนะของสหรัฐฯ จะเป็นชัยชนะของไทยด้วย ทูตขอรับใช้ประชาชนชาวไทยด้วยความสัตย์ซื่อ จะไม่ละความพยายามที่จะกอบกู้เอกราชของประเทศไทย ทูตกล่าวปลุกใจประชาชนชาวไทย ขอความร่วมมือว่า เอกราชจะได้คืนมาก็ต่อเมื่อคนไทยลุกขึ้นต่อสู้ศัตรูตามแนวของ กฎหมายที่เพิ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนกันยายนที่แล้ว ขอให้ทุกคนทำทุกวิถีทางที่จะขัดขวางการดำเนินงานของข้าศึก ม.ร.ว.เสนีย์ กล่าวต่อไปว่า พันโท ม.ล.ขาบ กุญชร ซึ่งเป็นผู้แทนทางทหารของไทยในสหรัฐฯ ได้เสนอตัวพร้อมด้วย หนุ่มไทยหลายคนขอเข้ารับการฝึกเพื่อส่งออกไปต่อสู้ศัตรู ขอให้คนไทยในประเทศฟิลิปปินส์ มลายู และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกปฏิบัติทำนองเดียวกัน ถ้าไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ทางทหารได้ ทำสิ่งใดก็ได้เพื่อช่วยฝ่ายประชาธิปไตย ขอให้ตระหนักว่า เมื่อสูญเสียประเทศชาติไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดอื่นที่จะเสียอีก ขอให้ทุกคนจงช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่พึงนั่งรอรับเอกราชได้กลับคืนมาบนถาดทอง ไม่พึงมุ่งหมายเสรีภาพบนหยาดเหงื่อของผู้อื่น ทูตมีแผนการที่จะช่วยฝ่ายประชาธิปไตยอยู่แล้ว ซึ่งจะต้องเจรจาในรายละเอียดต่อไป เพราะเราจะต้องได้รับอนุญาตให้เข้าช่วยก่อน ถ้าช่วย ทางนี้ไม่ได้ก็จะต้องช่วยทางอื่นให้จงได้ เราจะอุทิศทรัพย์สมบัติของเราชีวิตของเรา เพื่อเข้ามีส่วนร่วมในผลประโยชน์อันร่วมกัน ในตอนท้ายของคำปราศรัย ม.ร.ว.เสนีย์ ได้เรียกร้องให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองซึ่งเคยเป็นศิษย์ของท่าน ได้ใคร่ครวญถึงความรักและความเคารพที่เคยมีอยู่ต่อกันให้พร้อมใจต่อต้านญี่ปุ่น ขยายการปฏิบัติให้กว้างขวางออกไป สละชีพเพื่อประเทศชาติ ทนขมไปก่อนที่จะได้รับรสหวาน ขอให้คงความหวังไว้ ชูศีรษะให้สูงส่งเลิกพิลาปไห้ และ เชื่อมั่นในคุณพระศรีรัตนตรัยที่จะเห็นประเทศไทยกลับสู่เสรีภาพอีกในวันข้างหน้า

ครั้นเมื่อรัฐบาลไทยตกลงทำกติกาสัญญาพันธไมตรีกับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ทำบันทึกฉบับหนึ่งนำไปยื่นให้แก่ผู้ช่วยหัวหน้ากองกรมกิจการตะวันออกไกล กระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน เมื่อวันที่ ๒๔ เดือน เดียวกัน มีข้อความสำคัญยืนยันว่า การกระทำของรัฐบาลไทยไม่สอดคล้องกับเจตนาของประชาชนชาวไทย และในฐานะที่เป็นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์และประชาชนชาวไทย ทูตขอประณามคำวินิจฉัยของรัฐบาลกรุงเทพฯ และประกาศแยกตนอย่าง เด็ดขาดจากหมู่คณะบุคคลที่อ้างตนเป็นผู้ปกครองประเทศไทย ด้วยความช่วยเหลือของบรรดาคนไทยทั้งหลายที่สัตย์ซื่อต่อองค์พระมหากษัตริย์และต่อประเพณีดั้งเดิม ทูตยํ้าในเจตนาแน่วแน่ที่จะคงทำการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและเอกราชของประเทศไทย

ทูตเสนีย์กล่าวต่อไปในบันทึกว่า นับแต่เมื่อทราบถึงการยอมจำนนของรัฐบาล กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๔ ทูตได้กำหนดท่าทีว่า จะรับปฏิบัติตามคำสั่งของกรุงเทพฯ เฉพาะเท่าที่มิใช่โดยคำบงการของญี่ปุ่น และเมื่อได้ข่าววันที่ ๒๑ ธันวาคมว่า รัฐบาลกรุงเทพฯ ทำความตกลงพันธมิตรร่วมรุกและรบกับญี่ปุ่น ทูตได้แจ้งต่อกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันว่า ไม่เห็นด้วยกับพันธไมตรีซึ่งเป็นที่แน่ว่าเป็นไปตามคำบงการของฝ่ายทหารผู้ยึดครองไทย พร้อมด้วยข้าราชการสถานทูต ทูตหวังว่า เจตนาอันแท้จริงของประเทศไทยจะกลับฟื้นขึ้นมาอีก และการต่อต้านผู้รุกรานจะจัดให้มีขึ้นทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ ๑๙ มีข่าวการปรับปรุงคณะ รัฐมนตรีไทย ทูตเริ่มสิ้นความไว้วางใจในคณะรัฐบาลว่าจะสัตย์ซื่อต่อประชาชน ชาวไทย ครั้นวันที่ ๒๑ มีข่าวทางวิทยุกระจายเสียงจากญี่ปุ่นว่า รัฐบาลกรุงเทพฯ ได้ทำกติกาสัญญาพันธไมตรีกับประเทศญี่ปุ่น ทูตจึงเชื่อว่า รัฐบาลไทยกลายเป็นคู่มิตรของประเทศญี่ปุ่นเสียแล้ว ทูตอยู่ในบังคับที่จะต้องเลิกการติดต่อกับสิ่งที่เรียกว่า รัฐบาลหุ่นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ครั้นภายหลังการประกาศสงครามของไทย เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕ สถานทูตสวิสซึ่งรัฐบาลไทยมอบหมายให้รักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยใน สหรัฐอเมริกาขอรับทรัพย์สินของประเทศไทย รวมทั้งอาคารสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ม.ร.ว.เสนีย์ขัดข้องและไม่ประสงค์จะให้ฝ่ายสวิสฉกชิงทำเนียบและ ที่ทำการสถานทูตเอาไปครอบครองเสียเฉย ๆ ทางรัฐบาลอเมริกาทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ปล่อยให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ใช้สถานที่ของรัฐบาลไทย ในฐานะที่ยังยกย่องให้เป็นทูตไทยประจำสหรัฐฯ ต่อมายิ่งกว่านั้นยังได้ผ่อนผันให้มีการถอนเงินของรัฐบาลไทยที่ถูกกักกันอยู่ในสหรัฐฯ ออกไปใช้จ่ายสำหรับกิจการของสถานทูต ตลอดจนใช้ในกิจการของเสรีไทยได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดตั้งกองกำลังทหารเสรีไทยภายใต้การนำของพันโท ม.ล.ขาบ กุญชร ซึ่งเป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของสถานทูตไทย

ในขณะเดียวกัน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ทำบันทึกเปิดเผยเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดใด ๆ ในการจัดตั้งเสรีไทย ว่าไม่มีเจตนาจะจัดตั้งเป็นพรรคการเมือง หรือเข้าพัวพันในปัญหาเรื่องราชบัลลังก์ของประเทศไทยโดยเด็ดขาด วัตถุประสงค์ แท้จริงของเสรีไทยจำกัดเฉพาะการปลดเปลื้องประเทศไทยให้พ้นจากการควบคุมของญี่ปุ่นเท่านั้น

นี่เป็นจุดเริ่มของการจัดตั้งคณะเสรีไทยในสหรัฐอเมริกา ในชั้นนั้น นอกจากอัครราชทูต ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช มีหลวงดิษฐการภักดี เลขานุการเอก พันโท ม.ล.ขาบ กุญชร ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกคุณมณี สาณะเสน และคุณอนันต์ จินตกานนท์ เลขานุการตรี และมีนักเรียนนักศึกษาไทยอีกประมาณ ๖๐ คน ที่ตกลงใจคงอยู่ในสหรัฐอเมริกาต่อไป และถ้าสามารถกระทำได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ก็จะช่วยสหรัฐฯ ในการรณรงค์ต่อสู้ญี่ปุ่น เพื่อปลดเปลื้องประเทศไทยให้หลุดพ้นจากการครอบงำของญี่ปุ่นในการนี้มิใช่ของง่าย นักศึกษาไทยหลายคนขออาสาเข้าประจำการในกองทหารอเมริกาเพื่อออกไปรบญี่ปุ่น แต่ต้องติดขัดเรื่องสัญชาติ เขารับแต่คนชาติ อเมริกาเท่านั้น หลายต่อหลายคนไม่ประสงค์จะอยู่เฉย ๆ ถึงกับคิดจะตั้งเป็นกองทหารต่างด้าว แต่กระทำไม่ได้ทันทีทันควัน ต้องติดต่อกับทางการดำเนินการในเรื่องนี้ อันต้องใช้เวลานาน ระหว่างรอต่างคนต่างหางานที่พอจะทำได้ ผู้มีความรู้ในด้าน วิศวกรรม การวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตร หรือวิชาชีพอื่น ล้วนหวังว่าจะสามารถช่วยสหรัฐฯ ได้ไม่มากก็น้อย บรรดาสตรีไทยเข้าสมัครทำงานให้กาชาด สิ่งที่พอทำประโยชน์ให้แก่สหรัฐฯ ได้ดี ก็ดูเหมือนในเรื่องการออกวิทยุกระจายเสียงไปยังตะวันออกไกล มุ่งโดยเฉพาะถึงประเทศไทย ตั้งแต่ตัวทูตเองได้ออกทำการปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงคลื่นสั้น ส่งข่าวทางด้านสหประชาชาติให้คนไทยทราบทุกวัน วันละ ๑๕ นาที ในตอนเช้าเวลา ๐๙.๐๐ นาฬิกา ในประเทศไทยช่วยทำสงครามด้านจิตวิทยาโดยมีเป้าหมายสำคัญปลุกระดมคนไทยภายในประเทศให้เชื่อว่า อนาคตของไทยขึ้นอยู่กับชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ญี่ปุ่นมิได้มุ่งหวังดี ต่อไทย ควรที่จะพร้อมใจกันลุกขึ้นต่อต้านญี่ปุ่นให้มากขึ้น ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ภายในสหรัฐฯ เองก็จำเป็นต้องปลูกฝังความเข้าใจดีของคนอเมริกาต่อประเทศไทย ซึ่งเพิ่งจะประกาศสงครามกับเขาหยก ๆ เขาจะมองเราเป็นมิตรได้อย่างไร ถ้าขาดการประชาสัมพันธ์ที่สัมฤทธิ์ผลสิ่งใดที่พอจะทำได้ คนไทยพร้อมจะทำให้เขาทุกอย่าง รวมตลอดถึงการเกณฑ์กุลสตรีไทยให้แต่งกายแบบไทยไปนั่งขายพันธบัตรของ รัฐบาลอเมริกา การร่วมงานประกวดเครื่องแต่งกายสตรีนำรายได้ไปบำรุงห้องอาหารให้ทหารอเมริกา โดยเฉพาะตัวทูตมีภาระหนักเป็นพิเศษต้องรับไปแสดงปาฐกถา เรื่องเมืองไทยที่มหาวิทยาลัยและสมาคมต่าง ๆ ที่เชื้อเชิญมายิ่งเสียกว่าในยามปกติ ก่อนเกิดสงครามอีก

งานสิ่งละอันพันละน้อยที่คณะเสรีไทยช่วยกันคนละไม้คนละมือ ดังได้สรุปมาข้างต้นนี้ได้ดำ เนินต่อมาท่ามกลางความมืดมนที่ไม่รู้แน่ว่า ภายในประเทศไทยมีการร่วมมือกับญี่ปุ่นจริงจังเพียงใด นอกจากคณะผู้นิยมญี่ปุ่นแล้ว ยังมีผู้อื่นใดหรือหาไม่ และผู้อื่นใดนั้นมีแผนปฏิบัติการทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างใด หรือเพียงแต่จะนั่งรอเวลาให้มีการแปรเปลี่ยนในสถานการณ์ภายหน้าเสียก่อน

โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ในห้วงลึกแห่งความใฝ่ฝันของเสรีไทยในสหรัฐฯ ก็คือ เมื่อใดจะมีโอกาสทำงานเป็นกิจจะลักษณะในการกู้ชาติสักที และจะกระทำได้ด้วยวิธีใด จำนวนคนนับรวมกันแล้วก็ได้แค่ ๕๐-๖๐ คนเท่านั้น แม้จะรวมกับคนต่างชาติที่อยู่ในลักษณะเดียวกัน ประกอบเป็นกองทหารต่างด้าวอาสาสมัครลงสมรภูมิ จะสู้ กองทัพอันเกรียงไกรของจักรพรรดิอาทิตย์อุทัยซึ่งกำลังฮึกห้าวด้วยชัยชนะในการ ศึกช่วงแรกของสงครามได้หรือ ต่างเฝ้ารอโอกาสทองนั้นด้วยความกระวนกระวายใจ เป็นอย่างยิ่ง

จนกระทั่งวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๔๘๕ ประธานาธิบดีรุสเวลท์ ในฐานะผู้บัญชาการ ทหารบกและทหารเรือของสหรัฐฯ ออกประกาศจัดตั้งองค์การ โอ.เอส.เอส. (Office of Strategic Services) ขึ้น ให้อยู่ในบังคับบัญชาของคณะเสนาธิการทหารร่วม มีพลตรี วิลเลี่ยม เจ. โดโนเวน เป็นผู้อำนวยการ มอบหน้าที่ให้อย่างกว้างขวาง ได้แก่ (๑) รวบรวมและวิจัยข่าวสารทางยุทธศาสตร์ตามที่คณะเสนาธิการทหารร่วมต้องการ และ (๒) วางแผนและประกอบกิจกรรมพิเศษตามคำสั่งของคณะเสนาธิการทหารร่วม ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึงบรรดามาตรการที่เป็นปัจจัยช่วยการยุทธในสมรภูมิ เช่น การสู้รบนอกแบบการกองโจรในแนวหลังของข้าศึก การติดต่อประสานงานกับ กลุ่มต่อต้านที่ฟักตัวในพื้นที่ที่ข้าศึกควบคุมการบ่อนทำลายการก่อวินาศกรรม ฯลฯ ในการปฏิบัติภาระหน้าที่ดังกล่าวจำต้องอาศัยบุคคลที่กล้าหาญชาญชัยพร้อมที่จะสละชีพเพื่อประโยชน์ของการดำเนินงาน ทั้งจะต้องเป็นผู้ที่สามารถเข้าไปปฏิบัติการในแนวหลังของข้าศึกได้ จัดเจนในภูมิประเทศ พูดภาษาพื้นเมืองได้ และสามารถเข้าผสมปนเปไปกับประชากรในท้องถิ่น ผู้ทรงคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานในหน้าที่ของ โอ.เอส.เอส. จึงได้แก่คนชาติของประเทศที่ถูกข้าศึกยึดครองนั่นเอง ความหวังที่รอมาเป็นเวลานานเพิ่งจะปรากฏให้เห็นชัดเจน คณะเสรีไทยในสหรัฐฯ ไม่รั้งรอพากันไปเสนอตัวต่อหน่วยงานของพลตรี โดโนเวน โดยมีพันโท ขาบ กุญชร เป็นหัวหน้าเริ่มรับการฝึกอบรมวิธีการปฏิบัติงานพิเศษ เมื่อครบเสร็จสิ้นตามหลักสูตรแล้ว

กลุ่มเสรีไทยเดินทางโดยเรือไปประเทศอินเดียในเดือนมีนาคม ๒๔๘๖ จากนั้นเดินทางต่อไปยังประเทศจีน หาทางเข้าไปปฏิบัติการในประเทศไทย ในชั้นแรกเพื่อติดต่อกับขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งมีข่าวว่ามีการจัดตั้งขึ้นภายใน ประเทศไทย สืบเหตุการณ์ที่แท้จริงในประเทศไทยและความเคลื่อนไหวของกองกำลังทหารญี่ปุ่น จัดส่งนักบินสัมพันธมิตรที่ถูกญี่ปุ่นยิงตกและเชลยศึกอื่นกลับ จัดตั้งสถานีตรวจอากาศเพื่อให้ข่าวแก่กองทัพอากาศอเมริกา ตลอดจนบอกจุดหมาย ที่จะให้มีการทิ้งระเบิดทำลายที่มั่นของทหารญี่ปุ่น

ด้านประเทศอังกฤษ คุณพระมนูเวทย์วิมลนาท ทูตไทยประจำราชสานักเซนต์เจมส์ วางตนเป็นข้าราชการประจำเต็มตัว รัฐบาลสั่งมาอย่างใดต้องปฏิบัติตามอย่างนั้น ถือเสียว่ารัฐบาลที่กรุงเทพฯ ตระหนักในผลประโยชน์ส่วนได้เสียของชาติดียิ่งกว่า ผู้ที่ถูกส่งตัวออกไปอยู่ต่างประเทศ วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๔๘๔ คุณพระมนูเวทย์ฯ ได้รับหนังสือเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษมีข้อความว่า แม้จะไม่เชื่อว่า ความร่วมมือที่ไทยให้แก่ญี่ปุ่นจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนชาวไทยก็ตาม รัฐบาลอังกฤษไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องถือประเทศไทยเป็นประเทศที่ถูกศัตรูยึดครอง และรัฐบาลไทยตกอยู่ในความควบคุมของศัตรู ด้วยเหตุนั้นรัฐบาล ได้สั่งให้ทูตอังกฤษในประเทศไทยเดินทางกลับแล้ว และจะถือว่าหน้าที่ของทูตไทยในอังกฤษสิ้นสุดเมื่อไทยตกลงให้ประเทศอื่นรักษาผลประโยชน์ของไทยในอังกฤษ อย่างไรก็ตามทางการอังกฤษมิได้ทำการกักกันตัวข้าราชการสถานทูต นักเรียน นักศึกษา และคนไทยอื่นที่พำ นักอยู่ในอังกฤษ หากเพียงถือบุคคลเหล่านี้เป็นคนต่างประเทศชาติศัตรูกำหนดให้ไปแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทุกวัน ออกจากเขต ที่พำนักอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ เงินของไทยในอังกฤษถูกยึด ความห่วงใยในอนาคตของประเทศย่อมมีอยู่ แต่เก็บไว้ในใจ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ หรือนักเรียน นักศึกษา เมื่อไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่เป็นผู้นำทางต่างก็รอเฝ้าสดับตรับฟังเหตุการณ์ที่จะ คลี่คลายในภายหน้า ไม่มีปฏิกิริยาแสดงออกแน่ชัด จนเมื่อข่าว ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ประกาศจัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นแพร่เข้ามาถึงประเทศอังกฤษ จึงมีการรวมตัวนักศึกษาไทยในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นครั้งแรกเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า คนไทยในอังกฤษควรจะปฏิบัติอย่างไร ที่ประชุมลงความเห็นว่า น่าจะได้มีการจัดตั้งคณะเสรีไทยขึ้นในประเทศอังกฤษทำนองเดียวกันด้วย ปัญหาอยู่ที่ว่า ผู้ใดควรจะเป็นผู้นำในขบวนการนั้น ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมย่อมเพ่งมองไปทางท่านทูต พระมนูเวทย์วิมลนาท คุณเสนาะ นิลกำแหง ซึ่งกำลังศึกษาวิชากฎหมาย ขันอาสาไปทาบทามถามความคิดเห็นดู ได้รับคำตอบว่า ในคณะรัฐมนตรีมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถเป็นจำนวนมาก ย่อมตระหนักในสถานการณ์และความจำเป็นของประเทศดี นักศึกษาไม่พึงวู่วามปฏิบัติการอย่างใดที่ผิดแผกไปจากคำสั่งที่ได้รับจากกรุงเทพฯ แล้วท่านได้กรุณาเตือนคุณเสนาะ นิลกำแหง ให้ระลึกถึงกฎหมายอาญา มาตรา ๑๐๔ ดีไม่ดีอาจจะเข้าข่ายกลายเป็นกบฏนอกราชอาณาจักรได้ คุณเสนาะ นิลกำแหง ตอบท่านทูตว่า ท่านทูตเคยสอนวิชากฎหมายอาญาที่โรงเรียนกฎหมายแล้ว ไม่จำต้องอธิบายการใช้บังคับมาตรา ๑๐๔ ซํ้า สำหรับคุณเสนาะเองได้ตัดสินใจแน่นอนจะไม่ยอมกลับไปเป็นขี้ข้าของญี่ปุ่น เมื่อท่านทูตกลับถึงเมืองไทยโปรดช่วยชี้แจงให้ กรุงเทพฯ ทราบด้วย แล้วนำคำตอบที่เต็มไปด้วยความผิดหวังไปแจ้งให้เพื่อนนักศึกษาทราบ ที่ประชุมได้คิดกันถึงพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ประทับอยู่ในอังกฤษเป็นเวลาช้านาน นิยมอังกฤษเต็มพระองค์ คณะนักศึกษาตกลงส่งคุณสว่าง สามโกเศศ ผู้เคยใกล้ชิด ไปเฝ้ากราบทูลทาบทาม พระองค์ดู ทรงรับสั่งว่าไม่ทรงประสงค์จะเกี่ยวข้องกับการเมืองในส่วนพระองค์ได้ ทรงสมัครเข้ารับหน้าที่ในกองรักษาดินแดน (Home Guards) ของอังกฤษอยู่แล้ว ผู้ใหญ่อีกองค์หนึ่งที่นักศึกษาบางคนเห็นว่าพอจะเหมาะสม คือ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน พระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำ ไพพรรณีในรัชกาลที่ ๗ ซึ่งทรงกว้างขวางในหมู่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่เกรงว่า ถ้าองค์ท่านทรงเป็นหัวหน้าคณะนักศึกษาไทย อาจจะเกิดปัญหาทางการเมืองภายในของประเทศไทยได้ เนื่องจากความระแวงว่า จะมีการพยายามกลับไปหาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังไม่หมดสิ้นไปทีเดียว ทั้ง ๆ ที่องค์ท่านเองก็ได้พยายามวิ่งเต้นในเรื่องการกอบกู้ชาติไม่น้อย จนฝ่ายอังกฤษถวายยศทหารให้เป็นพันตรีในกองทัพอังกฤษ เมื่อไม่มีที่พึ่งทางอังกฤษ คุณเสนาะ นิลกำแหง จึงได้มีจดหมายลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๔๘๕ ติดต่อไปทาง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ปรารภให้ทราบถึงความรู้สึกและความเป็นอยู่ของคนไทยในอังกฤษ และปรึกษาด้วยว่า จะมีทางที่คนไทยในอังกฤษเข้าร่วมในขบวนการเสรีไทยของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เพียงใดหรือไม่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ส่งจดหมายลงวันที่ ๖ มีนาคม ตอบคุณเสนาะ นิลกำแหง ว่ารู้สึกตื้นตันที่ได้รับข่าวความรักชาติและความ ปรารถนาของนักศึกษาในอังกฤษ การจะให้จัดเดินทางไปสหรัฐฯ มีปัญหาสลับซับซ้อน ครั้นจะเดินทางไปพบคณะนักศึกษาด้วยตนเองก็มีอุปสรรคอยู่ จึงจะส่งข้าราชการจากสถานทูตที่กรุงวอชิงตันไปติดต่อในเรื่องนี

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้มอบให้คุณมณี สาณะเสน เป็นผู้ไปติดต่อทาบทามสถาน เอกอัครราชทูตอังกฤษ ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ขออนุญาตเดินทางไป กรุงลอนดอน เพื่อจัดตั้งสำนักเสรีไทยด้วยวัตถุประสงค์สำคัญ ๓ ประการ คือ (๑) ประสานงานของบรรดาผู้นิยมเสรีไทยในประเทศอังกฤษและในภาคพื้นยุโรป (๒) ปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิด และร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อังกฤษและรัฐบาลอื่นของสหประชาชาติที่จะใช้ประโยชน์จากบรรดาเสรีไทยในการทำสงครามกับประเทศญี่ปุ่น และพันธมิตรของญี่ปุ่น และ (๓) ช่วยรัฐบาลอังกฤษและสหประชาชาติในการโฆษณาและจัดหน่วยทหารที่จะส่งเข้าไปปฏิบัติการในประเทศไทย และในการคัดเลือก ตัวบุคคลเพื่อการนี้

สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษได้ส่งเรื่องให้กระทรวงการต่างประเทศที่กรุงลอนดอน พิจารณา พร้อมทั้งเสนอความเห็นไปในตอนท้ายด้วยว่า หากจะมีการริเริ่มจัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นแล้ว สำหรับผลประโยชน์ของอังกฤษ น่าจะจัดให้ขบวนการมีที่ทำการอยู่ในกรุงลอนดอน เพราะในขณะนั้นกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันดูจะประสงค์ให้บรรดาขบวนการเสรีต่าง ๆ ไปรวมอยู่ภายใต้การควบคุมของวอชิงตันอยู่แล้ว ถ้าอังกฤษสามารถดึงเอาเสรีไทยไปอยู่ที่อังกฤษได้ก็จะดี ได้มีการพิจารณาข้อเสนอนี้ในกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ มีความเห็นว่า ไม่มีบุคคลใดในสถานทูตไทยที่กล้าแสดงตัวออกมา เนื่องด้วยอาจเกรงภัยจะเกิดขึ้นแก่ญาติมิตรในประเทศไทยได้ ทั้งฝ่ายอังกฤษก็ไม่แน่ใจว่า ข้าราชการสถานทูตไทยจะนิยมอังกฤษ จริงจังเพียงใด นอกสถานทูตมีพระเจ้าวรวงค์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งเชื่อว่า นิยมอังกฤษพอใช้ แต่ไม่แน่ว่าจะทรงรับปฏิบัติหน้าที่นี้หรือไม่ หรือจะมีเงื่อนไขอย่างใด นอกจากนี้ ก็มีแต่นักเรียนนักศึกษาไทยล้วนยังรุ่นหนุ่มทั้งนั้น บางคนได้เสนอตัว สมัครจะเข้าประจำการในกองทัพอังกฤษแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังรอฟังดูเหตุการณ์ก่อน และถึงอย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นที่จะจัดตั้งเป็นขบวนการขึ้นได้ เพื่อจะให้ได้ผลมีประสิทธิภาพ ขบวนการน่าจะประกอบด้วยบุคคลที่เมื่อถึงเวลาแล้วจะรวมกันจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในประเทศไทยได้ โดยที่จำนวนคนไทยมีไม่มากนัก อย่างมากที่จะกระทำได้ คือ ตระเตรียมฝึกอบรมให้เหมาะแก่การที่จะแอบจัดส่งเข้าไปปฏิบัติการในดินแดนไทย กระทรวงการต่างประเทศจึงตอบสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่คิดว่า ความดำริที่จะจัดตั้งขบวนการเสรีไทยในอังกฤษ มีอนาคตอันแจ่มใสนัก ฉะนั้น ถ้าคุณมณี สาณะเสน จะเดินทางไปกรุงลอนดอน ก็ไม่อยากจะให้เป็นด้วยการสนับสนุนของอังกฤษ แต่ก็จะไม่ขัดข้องและจะจัดให้ความสะดวกเท่าที่จะกระทำได้ ถ้าหากคุณมณี สาณะเสน ตรวจสอบดูแล้วเห็นว่า ขบวนการเสรีไทยน่าจะมีการสนับสนุนในอังกฤษเพียงพอ ฝ่ายอังกฤษก็ยินดีจะฟัง ข้อเสนอแนะใด ๆ ของคุณมณี อย่างไรก็ตามสถานเอกอัครราชทูตควรจะแจ้ง ความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศให้ฝ่ายอเมริกันทราบไว้ และกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันควรจะเห็นชอบกับการส่งคุณมณีไปลอนดอนด้วย

คุณมณี สาณะเสน เดินทางไปถึงกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๘๕ เข้าพำนักในโรงแรมบราวน์ และได้นัดพบสัมภาษณ์นักเรียนนักศึกษาไทยที่โรงแรม และเดินทางไปพบพวกที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วทำบันทึก ๒ ฉบับ เสนอต่อกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ฉบับแรกลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม มีใจความสำคัญพอสรุปได้ดังนี้ คือ ในหมู่นักเรียนนักศึกษาความคิดเห็นยังแบ่งแยกกันอยู่มาก บางคนสนับสนุนรัฐบาลกรุงเทพฯ บางคนอยากอยู่เรียนต่อ บางคนอยากกลับประเทศไทย พวกที่ต้องการจะเข้าร่วมในขบวนการเสรีไทย บางคนไม่แน่ใจว่า รัฐบาลอังกฤษจะช่วยเหลือจริงจังเพียงใด บางคนแสดงความประสงค์ ออกมาเลยว่าอยากจะไปประจำกองทัพอากาศ ที่พร้อมจะกระทำงานใด ๆ เพื่อปลดเปลื้องประเทศไทยให้พ้นจากอำนาจของญี่ปุ่นก็มีมาก คุณมณีถือหลักไม่จูงใจให้สมัครเข้าขบวนการ แต่พยายามเน้นให้ตระหนักว่า งานที่อาจจะได้รับมอบหมายในภายหน้าเป็นงานเสี่ยงภัยมาก และถ้าไม่สมัครใจจริง ๆ แล้วก็ควรที่จะหาทางกลับประเทศไทยจะดีกว่า เมื่อกลับไปแล้วก็ยังอาจได้โอกาสทำการต่อต้านข้าศึกได้ เหมือนกัน ปรากฏว่ามีนักเรียนนักศึกษาสมัครเข้าร่วมขบวนการรวม ๔๒ คน ซึ่งได้ลงนามยืนยันว่า พร้อมจะปฏิบัติภาระหน้าที่ใด ๆ ที่ขบวนการเสรีไทยจะมอบหมาย ให้เพื่อช่วยสหประชาชาติในการดำ เนินสงครามต่อญี่ปุ่นและพันธมิตรของญี่ปุ่น

สำหรับข้าราชการสถานทูตในระยะแรกไม่ปรากฏว่ามีผู้แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย เนื่องจากสถานทูตเคยออกหนังสือเวียนแจ้งคนไทยว่า ถ้าเข้าร่วมขบวนการแล้วอาจจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศต่อชาติไทย ข้าราชการสถานทูตวางตนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่อยู่ใต้บังคับของญี่ปุ่น ยังคงรับเงินเดือน จากกรุงเทพฯ ในขณะที่นักเรียนนักศึกษาต้องถูกตัดจากการได้รับเงินประจำเดือน ต่อมาจึงมีข้าราชการสถานทูต ๔ คน แสดงความจำนงเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย คือ คุณหลวงภัทรวาที เลขานุการเอก คุณหลวงอาจพิศาลกิจ ผู้ช่วยทูตฝ่ายการคลัง คุณหลวงจำนงดิษฐการ เลขานุการโท และคุณประเสริฐ ปทุมานนท์ นายเวร ทั้ง ๔ คนนี้ชี้แจงแสดงเหตุผลที่ทำให้มิได้เข้าร่วมในขบวนการเสรีไทยแต่เริ่มแรกว่า เป็นเพราะพระมนูเวทย์วิมลนาท ผู้เป็นหัวหน้าคณะทูตประสงค์จะกลับประเทศไทย และขู่สำทับว่าจะรายงานกรุงเทพฯ ถึงการกระทำใด ๆ ที่กระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาล โดยเฉพาะคุณหลวงภัทรวาทีได้เคยติดต่อกับนายดันบาร์ เจ้าหน้าที่ในกระทรวงการ ต่างประเทศอังกฤษ ไว้แล้วว่า ประสงค์จะอยู่ในประเทศอังกฤษต่อไป แต่นายดันบาร์ ไม่สนับสนุน เพราะเกรงจะกระทบกระเทือนถึงการแลกเปลี่ยนบุคคลในคณะทูตระหว่างไทยกับอังกฤษ คุณหลวงภัทรวาทียังอ้างด้วยว่า ที่ไม่ได้ลาออกก็เพราะคิดว่า จะสามารถช่วยเหลือคนไทยในอังกฤษได้มากขึ้นถ้ายังอยู่ในตำแหน่งทางสถานทูต คุณมณีลงความเห็นว่า เหตุผลทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว ทั้ง ๔ คน พยายามจะเอาใจกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เอาใจรัฐบาลใต้บังคับ บัญชาของญี่ปุ่นที่กรุงเทพฯ และเอาใจผู้ประกาศตนขอเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย พร้อมกันไปต่างไม่ต้องการจะเสี่ยงภัย และไม่ยอมเสียสละใด ๆ ทั้งสิ้น มองแต่ประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง คุณมณี กล่าวในบันทึกว่า คนไทยในอังกฤษเช่นเดียวกับคนไทยในสหรัฐฯ ไม่เชื่อว่า ข้าราชการทั้ง ๔ จะเป็นผู้รักชาติด้วยความมั่นใจ ฉะนั้น เมื่อทั้ง ๔ คนแสดงความ จำนงไม่กลับประเทศไทย และขอเข้าร่วมขบวนการด้วย คุณมณีไม่แน่ใจว่าจะควร ต้อนรับประการใด แต่ก็ไม่ทิ้งกีดกันมิให้ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ความรู้สึกทั่วไปของคนไทย มีว่า ถ้าจะยอมรับให้เข้าร่วมขบวนการก็ควรจะให้พิสูจน์ตนอย่างแน่ชัดว่ารับจะทำงานทุกอย่าง โดยไม่เลือกเอาแต่เฉพาะงานสบาย ๆ ของฝ่ายพลเรือนที่มีรายได้ดี เช่น งานกระจายเสียงทางวิทยุ บีบีซี. เป็นต้น

ในส่วนที่เกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประทับอยู่ในอังกฤษ คุณมณีกล่าวในบันทึกตอนหนึ่งว่า บรรดาเสรีไทยในอังกฤษเช่นเดียวกันกับในสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้ขบวนการต้องตกอยู่ในบังคับของเจ้านายอื่นใดเลยนอกจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ในประเทศสวิส หากจะสมัครเข้าในขบวนการ ก็จะต้องไม่มีความทะเยอทะยานส่วนพระองค์อย่างใดทั้งสิ้น เสรีไทยไม่ต้องการให้มีการยกปัญหาเรื่องการสืบราชสมบัติ และไม่ต้องการจะให้ญี่ปุ่นหรือรัฐบาลหุ่นของญี่ปุ่นอ้างได้ว่า ขบวนการเสรีไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกลับสถาปนาสายอื่นในราชวงศ์ คุณมณีกล่าวด้วยว่า พระประยูรญาติบางคนของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้อาสาสมัครเหมือนกัน แต่ไม่มีความประสงค์จะเข้ามีอำนาจใด ๆ ทั้งไม่รวมผู้ที่อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ไทยด้วย การจะรับท่านเหล่านี้เข้าไปในขบวนการเสรีไทย ย่อมไม่มีผลเสีย

เมื่อนำบันทึกเทปฉบับที่ ๒ ไปมอบแก่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ คุณมณี สาณะเสน ได้แสดงความจำนงที่จะขอเปิดสำนักงานเสรีไทยในกรุงลอนดอน และ ใคร่ขอพบปลัดกระทรวง เซอร์อเล็กซานเดอร์ คาโดเกิล ซึ่งคุณมณีเคยรู้จักมักคุ้น มาก่อนเมื่อสมัยทำงานอยู่ทางสันนิบาตชาติที่นครเจนีวา เจ้าหน้าที่ในกระทรวงการ ต่างประเทศยังมองไม่เห็นประโยชน์ของการจัดตั้งสำนักงานเสรีไทยในกรุงลอนดอน เพราะไม่เชื่อว่า จำนวนและความสำคัญของคนไทยในประเทศอังกฤษจะเพียงพอที่จะจัดตั้งเป็นขบวนการเสรีไทยขึ้น อย่างมากในขณะนั้นก็มีคนไทยประมาณ ๔๐ คน ที่อาสาสมัคร และฝ่ายอังกฤษกำลังพิจารณาดูว่าจะควรใช้ให้ทำงานสถานใด นาย แอนโทนี อีเดน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เคยให้หารือไปทางกระทรวงสงครามว่า จะสามารถจัดตั้งหน่วยทหารเล็ก ๆ ขึ้นเพื่อรับคนไทยอาสาสมัครเตรียมไว้ส่งไปปฏิบัติงานอย่างหนึ่งอย่างใดตามแต่ที่จะต้องการได้หรือไม่ ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะคัดเลือกบุคคลที่ไว้วางใจได้จริง ๆ บัดนี้ได้คุณมณี ที่ทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ส่งให้มาทำการคัดเลือกให้แล้ว นายอีเดนจึงเห็นว่า คนไทยที่ผ่านการกลั่นกรองของคุณมณีเหล่านี้สามารถที่จะส่งให้ไปประจำทางหน่วยการโยธา (Pioneer Corps) หรือหน่วยงานอื่นใดในกองทัพบกอังกฤษได้ในบัญชีของคุณ มณีมีสตรีไทยรวมอยู่ ๖ คน นายอีเดนเห็นว่า คงไม่เป็นการยากที่จะหางานอื่นให้ทำได้ตามคุณวุฒิของแต่ละคน ถ้ากระทรวงสงครามเห็นด้วย นายอีเดนเสนอให้รับคนไทยเหล่านี้เข้ารับการฝึกหัดภายในประเทศอังกฤษระหว่างรอกระทรวงสงครามหารือไปยังกองบัญชาการสูงสุดที่อินเดียว่า จะควรส่งหน่วยทหารไทยนี้ไปปฏิบัติในสมรภูมิแห่งใด นายอีเดนขอให้กระทรวงสงครามพิจารณาเรื่องนี้โดยเร่งด่วน เพราะการแลกเปลี่ยนคนชาติกับญี่ปุ่น ซึ่งจะรวมคนไทยในอังกฤษด้วย กำลังจะกระทำกันในเร็ววันแล้ว นายอีเดนไม่อยากจะให้คนไทยประกาศอาสาสมัครออกไป ก่อนที่ฝ่ายอังกฤษจะตกลงรับแน่นอน ประกอบกับรัฐบาลไทยได้ประกาศเปิดเผย แล้วว่า คนไทยที่เลือกอยู่ในประเทศอังกฤษภายหลังการแลกเปลี่ยนคนชาติกับญี่ปุ่นจะเสียสัญชาติไทย และได้รับโทษอย่างอื่นด้วย

ในความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ หน่วยทหารไทยเล็ก ๆ นี้อาจจะเป็นประโยชน์ในประเทศอินเดียในการกระจายเสียงทางวิทยุ การแปลเอกสาร การเป็นมัคคุเทศก์ การส่งไปปฏิบัติการภายในประเทศไทยได้ เมื่อส่งหน่วยทหารไทยไปอินเดียแล้ว ก็จะเหลือคนไทยอีกไม่กี่คนที่กรุงลอนดอน ล้วนแต่เป็นข้าราชบริพารของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทั้งนั้น จึงไม่มีเหตุผลพอที่จะให้จัดตั้งสำนักงานเสรีไทยขึ้นตามข้อเสนอของคุณมณี สาณะเสน อนึ่ง หากอนุญาตให้จัดตั้ง สำนักงานดังกล่าวแล้ว ก็อาจจะเท่ากับผูกมัดอังกฤษให้สนับสนุนกลุ่มคนไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งภายหลังสงครามก็ได้ ซึ่งอังกฤษยังไม่เห็นเป็นการสมควร

ส่วนความดำริของอังกฤษที่จะให้ส่งคนไทยอาสาสมัครไปเข้าประจำหน่วยการ โยธา เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงต่อคุณมณีว่า จะเป็นวิธีทดสอบผู้อาสาสมัครว่ามีความจริงใจที่จะช่วยฝ่ายสหประชาชาติเพียงใด จริงอยู่ต่อไปในภายหน้าอาจจะมีการโยกย้ายให้ไปประจำหน่วยทหารอื่นได้ตามคุณวุฒิและความสามารถของผู้อาสาสมัคร แต่ฝ่ายอังกฤษจะให้คำมั่นในเรื่องนี้ไม่ได้ และผู้อาสาสมัคร ทุกคนควรจะยอมรับปฏิบัติงานทุกอย่างที่จะเสนอให้

ในส่วนที่เกี่ยวกับพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งคุณมณีสงสัยว่า อาจจะทรงมีพระประสงค์อื่นแฝงอยู่ด้วยนั้น เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า ฝ่ายอังกฤษ ไม่มีดำริที่จะให้ทรงปฏิบัติงานอย่างใดเป็นพิเศษ เพียงแต่จะ “แช่เย็น” ไว้ก่อน เพราะอาจจะทรงเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายอังกฤษภายหลัง

สำหรับข้าราชการสถานทูตไทยทั้ง ๔ เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เห็นด้วยกับคุณมณีว่า ถ้ากล้าจริงแล้วก็น่าจะแสดงตนออกมาแต่เริ่มแรก โดยไม่จำต้องรอการสนับสนุนแต่อย่างใด การที่อ้างว่าเกรงจะกระทบกระเทือนถึงการ แลกเปลี่ยนคนชาติกับญี่ปุ่นฟังไม่ได้ เพราะในการเจรจากับฝ่ายญี่ปุ่นมีบทชัดแจ้งว่า ผู้ที่ไม่อยากจะเดินทางกลับประเทศตนจะได้รับอนุญาตให้คงอยู่ต่อไปได

วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๘๕ คุณหลวงภัทรวาที คุณหลวงอาจพิศาลกิจ และคุณหลวงจำนงดิษฐการ และคุณประเสริฐ ปทุมานนท์ ได้ทำหนังสือร่วมกันถึงคุณพระมนูเวทย์วิมลนาทแจ้งความประสงค์ที่จะไม่เดินทางกลับประเทศไทย และในเวลาเดียวกันมีหนังสือร่วมถึงสถานทูตสวิสถอนตัวออกจากบัญชีผู้ที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ทูตไทยแจ้งให้ทั้ง ๔ ทราบว่า ตามคำสั่งที่ได้รับจากนายกรัฐมนตรี เป็นอันถือว่า ข้าราชการทั้ง ๔ ต้องพ้นจากหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศต้องเสียสัญชาติไทย และต้องห้ามมิให้เข้าประเทศไทยต่อไป คุณหลวงภัทรวาที่ได้มีจดหมาย อีกฉบับหนึ่งในนามของข้าราชการทั้ง ๔ ถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ แจ้งให้ทราบถึงการตัดสินใจ และยืนยันรับทราบว่า ต่อแต่นั้นไป ทั้ง ๔ จะ ไม่ได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูต และจะคงอยู่ในประเทศอังกฤษในฐานะเอกชนธรรมดา สำหรับการทำงานต่อไป ย่อมแล้วแต่ที่รัฐบาลอังกฤษจะพิจารณาเห็นสมควร คุณหลวงภัทรวาทีเองพร้อมที่จะทำงานใด ๆ จะเป็นฝ่ายทหารหรือพลเรือน ไม่ว่าในลักษณะใดและที่ไหนทั้งสิ้น ขอให้เป็นงานที่ทำให้คุณหลวงภัทรวาทีสามารถช่วยในการสงครามของสหประชาชาติและมีส่วนในการปลดปล่อยประเทศไทยเท่านั้น

กระทรวงสงครามใช้เวลาพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศนาน ประจวบกับตอนนั้นทางกระทรวงอาณานิคมเสนอขอให้รับคนชาวเบอร์มูด้า เข้าประจำในหน่วยการโยธาเหมือนกัน ซึ่งทางกระทรวงสงครามปฏิเสธไม่ยอมรับ เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม ถ้าจะเทียบคนไทยกับคนเบอร์มูด้าแล้ว คนไทยมีภาษี น้อยกว่าเสียอีก ทำให้กระทรวงสงครามไม่สามารถสนองรับข้อเสนอของกระทรวง การต่างประเทศทันที บังเอิญเจ้ากรมยุทธการทหารบก (Director of Military Operations: D.M.O.) เกิดชอบพวกอาสาสมัครไทย เพราะมีคุณสมบัติสูง กระทรวงสงครามยังต้องรอฟังความเห็นของพลเอก เวเวิล ผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่อินเดียอยู่ ระหว่างที่รอคำวินิจฉัยเด็ดขาดนี้ กระทรวงการต่างประเทศเสนอขออนุมัติให้ กระทรวงการคลังจ่ายเงินจำนวน ๒,๐๐๐ ปอนด์ ให้แก่นักเรียนนักศึกษาไทยที่ อาสาสมัคร เพื่อนำไปชำระหนี้สินค่าอยู่กินและค่าเล่าเรียนที่คั่งค้าง เนื่องจากไม่ได้ รับเงินจากสถานทูตมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์

ส่วนด้านข้าราชการสถานทูตไทย ต่อมามีผู้ปรารถนาขออยู่ต่อเพิ่มเติมขึ้นอีก ๒ คน คือ คุณสมบูรณ์ ปาลเสถียร และคุณกลิ่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา โดยคิดว่า อังกฤษอาจจะมีงานดีให้กระทำ เช่น งานกระจายเสียงทางวิทยุ งานการทูตใน นครหลวงของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นการฝันหวาน อังกฤษไม่มีงานประเภทนี้ที่จะ เสนอให้แก่ผู้สมัครอยู่ต่อ แต่ได้เจรจาขอให้กระทรวงการค้ากับศัตรูปล่อยเงินของ รัฐบาลไทยที่กักกันไว้มาจ่ายให้

ต้องรอมาจนกระทั่งวันที่ ๓ สิงหาคม กระทรวงสงครามจึงได้ตกลงในหลักการ รับคนไทยที่อาสาสมัคร โดยจะจัดให้เข้าประจำหน่วยการโยธาชั้นหนึ่งก่อน ต่อไป อาจจะโยกย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่นของกองทัพบก เฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีความรู้ ทางวิชาการเป็นพิเศษ คุณมณีเป็นผู้รวบรวมใบสมัครส่งให้ฝ่ายอังกฤษรวมได้ ๓๖ คน

ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าขอเปิดวงเล็บว่า เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๘๕ นาย แอล. อะเมอรี่ แห่งกระทรวงการอินเดีย มีหนังสือถึงนายอีเดน แจ้งว่าได้รับการติดต่อจาก เซอร์เรจินัล เอช. ดอร์มันสมิธ ผู้สำเร็จราชการพม่า ว่า เมื่ออังกฤษสามารถขับไล่ ญี่ปุ่นออกจากประเทศพม่า อังกฤษคงจะเข้มแข็งพอก้าวหน้าต่อไปยังประเทศไทย ซึ่งก็คงจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ ๖ เดือน ถึงปีครึ่ง อย่างไรก็ดีเมื่อยึดครอง ประเทศไทยได้ อังกฤษจะต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองที่มีความรู้เรื่อง ประเทศไทยและสามารถพูดภาษาไทย เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ไม่ว่าอังกฤษ จะเข้าไปดำ เนินการปกครองประเทศไทยเป็นการชั่วคราวหรือจะร่วมมือกับรัฐบาล ไทยที่อยู่ในความควบคุมของอังกฤษก็ตาม ผู้สำเร็จราชการพม่าใคร่จะทราบว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศได้เริ่มดำ เนินการตระเตรียมรวบรวมเจ้าหน้าที่ฝ่าย พลเรือนไว้เพื่อการนี้จากนักธุรกิจที่เคยอยู่ในประเทศไทยหรือที่รู้จักประเทศไทยโดยวิธีอื่นแล้วหรือไม่ ตัวท่านเองพร้อมจะรับทำการฝึกหน่วยเจ้าหน้าที่ดังกล่าวใน ประเทศอินเดีย โดยจะรวบรวมบรรดาผู้ลี้ภัยสงครามจากประเทศไทย ซึ่งขณะนั้น ยังคงอยู่ในประเทศอินเดีย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนของประเทศพม่า โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพวกที่เคยอยู่ในรัฐฉาน พูดภาษาคล้ายภาษาไทย และมีญาติพี่น้องอยู่ใน ตอนเหนือของประเทศไทย นายอะเมอรี่ใคร่ขอทราบว่า นายอีเดนจะประสงค์ให้ เซอร์เรจินัล ดอร์มันสมิธ ดำ เนินการเตรียมหน่วยเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเท่าที่จะสามารถ รวบรวมได้ในประเทศอินเดียหรือไม่ ซึ่งนายอีเดนมีหนังสือลงวันที่ ๑๕ เดือนเดียวกัน ตอบว่า ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจว่าจะพึงปฏิบัติอย่างใดในประเทศไทยภายหลังที่ ขับไล่ญี่ปุ่นออกไปแล้ว แต่ก็เห็นด้วยว่าควรเตรียมการไว้ก่อน ทางกระทรวงการ ต่างประเทศยังมิได้ดำ เนินอย่างใด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของอังกฤษในประเทศไทย เพิ่งจะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยน คนอังกฤษกับญี่ปุ่นเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง นายอีเดนเห็นควรปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ พวกนี้ก่อนเพื่อฟังความคิดเห็นในการวางแผนการใด ๆ และเมื่อถึงเวลาจะได้นำข้อเสนอของเซอร์เรจินัล ดอร์มันสมิธ ขึ้นร่วมพิจารณาด้วย

ภายหลังที่พวกแลกเปลี่ยนกลับถึงอังกฤษแล้ว พวกที่เคยทำงานอยู่ในประเทศไทยได้รับงานด่วนอื่นทำอยู่แล้ว หากทางการจะทำการฝึกบุคคลเตรียมไว้ สำหรับเข้าไปช่วยงานในประเทศไทยหลังสงคราม กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เห็นว่าควรฝึกภายในอังกฤษจะดีกว่า ฉะนั้น จึงจะไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอของผู้สำเร็จ ราชการพม่า ที่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษไม่สู้จะกระตือรือร้นในเรื่องนี้นัก ก็เนื่องจากตามการแบ่งเขตรับผิดชอบในสมรภูมิของฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศไทย ตกอยู่ภายใต้เขตยุทธการของจอมพล เจียงไคเช็ค อังกฤษจึงไม่แน่ใจว่า อนาคต ของไทยจะอยู่ในการควบคุมของอังกฤษ จีน หรืออเมริกา ยิ่งกว่านั้นถ้ามีข่าวการ ฝึกเจ้าหน้าที่ที่จะส่งเข้าประเทศไทยในพม่าตามข้อเสนอของผู้สำเร็จราชการพม่า จะเป็นโอกาสให้ญี่ปุ่นกล่าวอ้างได้ว่า อังกฤษมีแผนจะยึดไทยเป็นอาณานิคม ซึ่งจีนอาจจะไม่พอใจ

ข้าพเจ้าขอย้อนกลับมาพูดถึงเรื่องเสรีไทยในอังกฤษที่ยื่นใบสมัครเข้าประจำการในกองทัพอังกฤษต่อไป ด้วยการให้ข้อสังเกตว่า อาสาสมัครในประเทศอังกฤษมี ข้อผิดแผกแตกต่างกับพวกเสรีไทยในสหรัฐฯ ที่สำคัญคือ อาสาสมัครพวกหลังนี้ ในชั้นแรกมีฐานะเป็นทหารอเมริกา ภายหลังได้รับการรับรองเป็นทหารไทย แต่ง เครื่องแบบทหารไทยอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายทหารไทย ทั้งนี้เพราะรัฐบาล อเมริการับรู้ฐานะของเสรีไทยเป็นทางการ โดยยกย่องนับถือ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าในฐานะทูตไทย การใช้จ่ายเงินต่าง ๆ ของหน่วยทหารเสรีไทยอาศัยเงิน ของรัฐบาลไทย ซึ่งเมื่อเกิดสงคราม มีเงินสดฝากอยู่ในสหรัฐฯ ๒ ล้านเหรียญ และ มีทองสารองเงินตราฝากไว้อีกกว่า ๙ ล้านเหรียญ รวมทั้งสิ้นเป็นเงินกว่า ๑๒ ล้านเหรียญ ํ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ถอนเงินจำนวน ๕ แสนเหรียญ มอบให้ฝ่ายอเมริกันใช้จ่าย ในการเตรียมจัดตั้งหน่วยเสรีไทย ส่วนทางอังกฤษ พวกอาสาสมัครต้องขอเข้าเป็น ทหารอังกฤษ เริ่มด้วยการเป็นพลทหารสวมเครื่องแบบทหารอังกฤษ เข้าประจำใน หน่วยการโยธากองทัพอังกฤษตั้งแต่วันที่ ๗ สิงหาคม เป็นต้นไป ภายหลังที่ได้รับ การฝึกอบรมตามระเบียบเป็นเวลากว่า ๕ เดือน จึงเดินทางออกจากประเทศอังกฤษ เมื่อกลางเดือนมกราคม ๒๔๘๖ อ้อมทวีปแอฟริกาไปถึงเมืองบอมเบย์ ประเทศ อินเดีย ปลายเดือนเมษายน รวม ๓๖ คน มีการคัดเลือกกันอีกชั้นหนึ่ง ๒๒ คน ถูกส่งไปประจำหน่วย “กำลัง ๑๓๖” อีก ๑๔ คนไปทำหน้าที่อื่นในประเทศอินเดีย พวกที่อยู่กับ “กำลัง ๑๓๖” ต้องถูกส่งไปทำการฝึกที่ค่ายเมืองพูนาก่อน แล้วจึงจะ ส่งเข้าไปปฏิบัติการภายในประเทศไทย พวกนี้ถือเป็นทหารอังกฤษโดยตลอดจน กระทั่งเสร็จสิ้นสงคราม

หน่วย “กำลัง ๑๓๖” นี้เป็นหน่วยทหารอังกฤษที่เรียกว่า เอส.โอ.อี. (Special Operation Executive) ปฏิบัติการในสมรภูมิอินเดียและลังกา ภาระหน้าที่สำคัญของหน่วย เอส.โอ.อี. ได้แก่ การกระตุ้นส่งเสริมขบวนการต่อต้านในดินแดนที่ถูก ข้าศึกยึดครอง เพื่อช่วยประชาชนพื้นเมืองที่รักชาติให้ปฏิบัติการต่อต้านศัตรูของ อังกฤษ และเมื่อถึงเวลาจะเข้าร่วมกับกำลังทหารอังกฤษที่เข้าไปปลดเปลื้องให้กลับ ได้อิสรภาพพ้นจากการควบคุมของข้าศึก นายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล เป็นผูริเริ่มจัดตั้งหน่วยงานนี้ขึ้น ในชั้นแรกเพื่อให้ปฏิบัติการต่อต้านฝ่ายอักษะในยุโรปเป็นหน่วยทหารที่มิได้เจตนาจะให้ทำการสืบราชการลับ แต่การเตรียมการบ่อนทำลายกำลังฝ่ายข้าศึก ย่อมต้องอาศัยการหาข้อมูลทางการทหารตามที่จำเป็นหน่วยงานนี้ จึงทำหน้าที่ได้ผลเป็นรายงานสืบราชการลับไปในตัว ในการจะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ข้างต้นหน่วย เอส.โอ.อี. ต้องเลือกเฟ้นทหารที่จะเข้าประจำการด้วยการฝึกอบรม เป็นพิเศษ จะต้องมีความรอบรู้ในการใช้วัตถุระเบิด และอาวุธยุทธภัณฑ์ประจำตัว การวิทยุรวมทั้งการรหัส การต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธ การรักษาความปลอดภัยและความ มั่นคง การกระโดดร่ม การป้องกันตัว การโฆษณาชวนเชื่อ การศึกษาภูมิประเทศ การจู่โจม ฯลฯ ภายในประเทศอินเดียมีสถานที่ฝึกอบรมพวก เอส.โอ.อี. หรือที่เรียกว่า “กำลัง ๑๓๖” หลายต่อหลายแห่ง เช่น ที่เมืองบอมเบย์ พูนา มาดราส ระวัลปินดี บังกาลอร์ กัลกาต้า ฯลฯ กล่าวโดยสรุปก็คือ ภาระหน้าที่ของ “กําลัง ๑๓๖” มี ลักษณะคล้ายคลึงกับหน่วยงาน “โอ.เอส.เอส.” ของสหรัฐฯ เสรีไทยจากทั้งสองประเทศได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานเหมือนกัน โดยต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน และไม่รู้เรื่องของกันและกัน

เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๔๘๖ เซอร์จอร์ช แซนซัม ที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ณ กรุงวอชิงตัน มีหนังสือถึงนายแอชเลย์ คลาร์ก เจ้าหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน ปรารภด้วยความห่วงใยว่า หากเสรีไทยทั้งสองคณะปฏิบัติงานด้านทหารอย่างเดียว ก็คงจะไม่มีการสับสนขัดแย้งกัน แต่ถ้าเกิดต่างฝ่ายมีความมุ่งหมายทางการเมืองด้วยแล้ว อาจจะเกิดการแตกแยกทำนองที่สหประชาชาติเคย ประสบมาในแอฟริกาเหนือระหว่างพวกพลเอก เดอโกล กับพลเอก จีโรค์ก็ได้ ควรที่ทางอังกฤษและอเมริกาจะพึงประสานงานไว้ให้ดีแต่เริ่มแรก

ความเกรงกลัวของเซอร์จอร์ชดังกล่าวนี้ ดูจะเกินกว่าเหตุอยู่บ้าง ฝรั่งเศสเสรีทั้งสองสายนั้นประกอบด้วยกำลังทหารที่มีจำนวนมากพอสมควร และมีนายทหาร ชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้บังคับบัญชาตามลำดับ ส่วนเสรีไทยจากสหรัฐฯ และอังกฤษ ประกอบด้วยนักเรียนนักศึกษาจำนวนเพียงไม่กี่สิบคน มีหัวหน้าที่เป็นผู้ใหญ่จริง ๆ คนเดียว คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ทั้งยังมีการติดต่อระหว่างเสรีไทยทั้งสองคณะนอย่างใกล้ชิดพอสมควร เสรีไทยสายสหรัฐฯ ทำการภายใต้ความอำนวยการของ โอ.เอส.เอส. ส่วนเสรีไทยสายอังกฤษทำ การภายใต้ เอส.โอ.อี. ทั้งสององค์การ ขึ้นอยู่กับกองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าอังกฤษและอเมริกาไม่ขัดแย้งกันเอง เสรีไทยจะสามารถทำการนอกลู่นอกทางไปได้อย่างไร

เมื่อ โอ.เอส.เอส. วางแผนการที่จะใช้เสรีไทยจากสหรัฐฯ เข้าไปปฏิบัติการใน ประเทศไทย นายคอร์เดล ฮอลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน ได้ชี้แจงท่าทีของรัฐบาลสำหรับขบวนการเสรีไทยต่อพันเอก กูดแฟลโลว์ รองหัวหน้า โอ.เอส.เอส. เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๘๖ ดังนี้

รัฐบาลอเมริกาถือประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช แต่ต้องตกอยู่ในการยึดครองทางทหารของประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลอเมริกาไม่รับรองรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่ได้งดเว้นไม่ประกาศสงครามตอบกับประเทศไทย คงรับรองฐานะของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ทูตไทยที่กรุงวอชิงตัน ผู้คัดค้านการร่วมมือของรัฐบาลไทยกับญี่ปุ่น และติดตามการคลี่คลายของขบวนการเสรีไทย ที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จัดตั้งขึ้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ รัฐบาลอเมริการอการกลับเป็นเอกราชของประเทศไทยโดยเร็วที่สุดที่จะเป็นได้ ท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คนหนึ่ง กำลังมีส่วนนำหน้าขบวนการลับที่มีวัตถุประสงค์ในการกลับสถาปนารัฐบาลไทยดังเช่นก่อนถูกญี่ปุ่นรุกราน รัฐบาลอเมริกาถือว่าท่านปรีดีเป็นตัวแทนอันต่อเนื่องของรัฐบาลไทย ก่อนที่ นายกรัฐมนตรีจะแปรพักตร์ไปเข้าข้างญี่ปุ่น และเป็นผู้นำคนหนึ่งของขบวนการเพื่อเอกราชไทย ฉะนั้น จนกว่าจะมีสัญญาณเป็นอย่างอื่นจากประชาชนไทย รัฐบาลอเมริกามีเหตุผลที่จะถือท่านปรีดีเป็นผู้นำคนหนึ่งใน ประเทศไทยของประชาชนชาวไทย ทั้งนี้โดยไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ สำหรับอนาคต ท่าทีของรัฐบาลอเมริกาดังกล่าวนี้เป็นการชั่วคราว ระหว่างที่รอการแสดงออก โดยเสรีของประชาชนไทยภายหลังการปลดปล่อยโดยกำลังทหารของสหประชาชาติ ความพยายามของรัฐบาลอเมริกาควรจะจำกัดในกรอบช่วยใหประชาชนไทยกลับมีระบอบของตนเองที่สามารถรับผิดชอบในการปกครอง โดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของต่างชาติ การเลือกผู้นำของรัฐบาลไทยเป็นเรื่องที่ประชาชนไทยจะเป็นผู้วินิจฉัย ทั้งนี้เป็นแนวนโยบายที่รัฐมนตรีวางให้ เป็นกรอบในการดำเนินงานของ โอ.เอส.เอส.

วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๖ เซอร์จอร์ช แซนซัม ที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ แจ้งต่อนาย เอส. เค. ฮอร์นแบก ที่ปรึกษาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการเมืองของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน ว่าได้รับคำสั่งจากรัฐบาลอังกฤษให้ยกปัญหา เรื่องขบวนการเสรีไทยขึ้นปรึกษาหารือ เนื่องจากมีคนไทยหลายคณะติดต่อกับเจ้าหน้าที่จีนที่จุงกิง เจ้าหน้าที่อเมริกาในประเทศจีน และเจ้าหน้าที่อังกฤษใน ประเทศอินเดีย ฝ่ายอังกฤษเกรงว่า ถ้าไม่มีการประสานความคิดเห็นระหว่างเจ้าหน้าที่อังกฤษและอเมริกาแล้ว อาจเกิดความสับสนในการติดต่อ และการรับผูกมัดกับคณะคนไทยเหล่านั้นได้ นายฮอร์นแบกชี้แจงว่า ฝ่ายอเมริกันตระหนักใน ข้อนี้ดี และได้แนะให้เจ้าหน้าที่ใช้ความระมัดระวังอยู่แล้ว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นาย เจ. ดับบลิว. บัลเลนไทน์ หัวหน้ากองกรมกิจการตะวันออกไกล ทำบันทึกสรุปลงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๘๖ มีใจความสำคัญว่า ในกลุ่มคนไทยที่กรุงวอชิงตันมีการแตกแยกและการระแวงสงสัยกันขึ้นระหว่างทูตเสนีย์ กับพันโท ขาบ กุญชร ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกซึ่งถูกส่งไปจุงกิง คนไทยในประเทศจีนเกิดความรู้สึกเกรงจะถูกจีนใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของจีน เช่นเดียวกับคนไทยใน อินเดียถูกอังกฤษใช้เพื่อประโยชน์ของอังกฤษ ทั้งจีนและอังกฤษเกิดความสงสัยในความประสงค์ของสหรัฐฯ เกี่ยวกับทูตเสนีย์ และอนาคตของประเทศไทย ทั้งนี้ เนื่องจากทูตเสนีย์เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในบรรดาขบวนการเสรีไทยนอกประเทศ

ความจำเป็นที่จะต้องประสานท่าทีของทางการเกี่ยวกับขบวนการเสรีไทยยิ่งเป็น สิ่งเร่งด่วน เมื่อฝ่ายอเมริกันได้รับบันทึกของทูตเสนีย์ที่กระทำขึ้นเสนอตามถ้อยคำของคุณสงวน ตุลารักษ์ ผู้อ้างตัวว่าเป็นผู้แทนขบวนการในประเทศไทย และเสนอความคิดเห็นทางการเมืองและการทหารในทางการเมืองนั้น คุณสงวนใคร่จะขอใหมีการรับรองขบวนการเพื่ออิสรภาพของไทย และให้มีการจัดตั้งรัฐบาลไทยเสรีขึ้น ในดินแดนของฝ่ายสหประชาชาติ หากมีทางที่จะช่วยให้ผู้นำของขบวนการในประเทศเล็ดลอดออกมาได้ คุณสงวนขอให้ปลดปล่อยเงินของรัฐบาลไทยที่รัฐบาล อเมริกายึดไว้มอบให้คณะรัฐบาลไทยเสรีจับจ่ายได้ ได้มีการเสนอแนะด้วยว่า นายเป็ก อดีตทูตอเมริกาประจำประเทศไทย ควรได้รับแต่งตั้งให้ประจำรัฐบาลไทย เสรีพร้อมกับให้นาย เอฟ. อาร์. ดอลแบร์ ซึ่งทำงานอยู่กับ โอ.เอส.เอส. กลับคืนตำแหน่งที่ปรึกษาการต่างประเทศของรัฐบาลไทยเสรี

ในความเห็นของนายบัลเลนไทน์ มีวิธีที่จะพึงปฏิบัติต่อขบวนการเสรีไทยหลายวิธี วิธีแรก ได้แก่ปล่อยให้ขบวนการค่อยคลี่คลายต่อไป แต่น่าจะต้องมีการกำหนดสถานะของขบวนการให้แน่ชัดลงไปเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดในบรรดาสมาชิกที่เกี่ยวข้องของสหประชาชาติ คนไทยทุกคนจะมีความสำคัญเพียงใดหรือไม่ ก็ตามที่สามารถเล็ดลอดออกจากประเทศไทยมาได้ มีเสรีภาพที่จะเข้าร่วมขบวนการ และช่วยในการดำเนินสงครามทั้งนั้น อีกวิธีหนึ่งได้แก่การจัดตั้งรัฐบาลไทย พลัดถิ่นขึ้นนอกประเทศ และวิธีที่ ๓ จัดให้มีคณะกรรมการปลดเปลื้องแห่งชาติไทยขึ้น ทั้งสองวิธีนี้สำคัญอยู่ที่ความสามารถจะจัดให้มีการเล็ดลอดออกจากประเทศไทยได้มากเพียงใด ผู้ที่เล็ดลอดออกมานี้เป็นตัวแทนความรู้สึกของ ประชาชนชาวไทยเพียงใด ผลได้และผลเสียของการจัดตั้งองค์การดังกล่าวต่อการดำเนินสงคราม และขอบเขตที่รัฐบาลอเมริกาจะเข้ามีส่วนในการเมืองภายในของไทยถึงขั้นที่จะต้องเลือกระหว่างกลุ่มเสรีไทยนี้ หรือรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่จัดตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายและตั้งทำการอยู่ที่กรุงเทพฯ ฝ่ายใดจะเป็นตัวแทนของประเทศไทยแน่

การรับรององค์การที่จะจัดตั้งนอกประเทศไทย จะขัดกับนโยบายหลักของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันที่ไม่ให้การรับรองเป็นทางการแก่ขบวนการเสรีใด ๆ ตัวอย่างที่ใกล้เคียงกับกรณีของไทย ได้แก่คณะกรรมการปลดเปลื้องแห่งชาติ ของฝรั่งเศส แต่ก็ไม่เหมือนกันทีเดียวนัก คณะกรรมการของฝรั่งเศสบำเพ็ญตนเป็น พันธมิตรของรัฐบาลอเมริกาอย่างเข้มแข็ง ให้ความร่วมมือในการสงครามอย่างดที่สุด และทำการปกครองดินแดนในเขตสหประชาชาติ สหภาพโซเวียตถึงกับยอมรับนับถือคณะกรรมการฝรั่งเศสเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส และมีการแลกเปลี่ยนผู้แทนมีอำนาจเต็มต่อกัน รัฐบาลอเมริกายอมรับนับถือคณะกรรมการฝรั่งเศสเป็นผู้ปกครองดินแดนบางส่วนของฝรั่งเศส และได้ตั้งนาย อี.ซี. วิลสัน เป็นผู้แทนประจำคณะกรรมการฝรั่งเศส มีฐานะส่วนตัวชั้นเอกอัครราชทูตรัฐบาลพลัดถิ่นที่ได้รับการรับรองล้วนแต่เป็นรัฐบาลอยู่แล้วก่อนที่ฝ่ายอักษะเข้ายึดครองดินแดน และคงวางตนเป็นรัฐบาลต่อไปแม้จะมีข้อจำกัดบางประการ และจะกลับไปทำการปกครองในประเทศของตนต่อไปอีกในภายหน้า กรณีไทยพอจะเทียบกับประเทศเดนมาร์ก โดยที่ทั้งสองประเทศยังมีกษัตริย์ซึ่งจะคงดำรงอยู่ต่อไป ภายหลังสงคราม สหรัฐฯ ไม่มีสถานะสงครามกับทั้งสองประเทศนี้ บุคคลสำคัญของเดนมาร์กได้เล็ดลอดออกนอกประเทศและสามารถจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ แต่บุคคลสำคัญของไทยเพียงแต่มีแผนจะเล็ดลอดออกไปเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม กษัตริย์ไทยประทับอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่กษัตริย์เดนมาร์กอยู่ในความควบคุมของฝ่ายศัตรู อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันยังไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาล พลัดถิ่นของเดนมาร์ก

วิธีที่จะกระทำได้อีกวิธีหนึ่งก็คือ เปิดโอกาสให้ไทยมีคณะมนตรีที่ปรึกษาของขบวนการปลดเปลื้องชาติไทยขึ้น คณะมนตรีจะประกอบด้วยบุคคลสำคัญจากประเทศไทยที่ทูตเสนีย์รับรอง แต่คณะมนตรีจะไม่มีฐานะทางการเมืองอย่างใด การติดต่อทางการยังคงกระทำกับทูตเสนีย์เช่นเดิม โดยเป็นที่เข้าใจว่าทูตจะพูดตามคำแนะนำของคณะมนตรี และการดำเนินการของทูตจะต้องผ่านการไตร่ตรองของคณะมนตรีแล้ว คณะมนตรีเช่นว่านี้จะเท่ากับขยายกิจกรรมของขบวนการเสรีไทยให้กว้างขวางออกไปได้บ้าง

 

หมายเหตุ :

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ หนังสือการวิเทโศบายของไทยแล้ว
  • โปรดดูเพิ่มเติม หมายเหตุบรรณาธิการได้ที่ ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 106-139.

บรรณานุกรม :

  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 106-139.

บทความที่เกี่ยวข้อง :