“ข้าพเจ้าถือว่าขบวนการเสรีไทยเป็นแต่เพียงกองหน้า (Vanguard) ของปวงชนชาวไทยผู้รักชาติเท่านั้น…ผู้ที่ได้ร่วมงานกับข้าพเจ้าคราวนี้ ถือว่าทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ชาติ มิได้ถือว่าเป็นผู้กู้ชาติ การกู้ชาติเป็นการกระทำของคนไทยทั้งปวง
ซึ่งแม้ผู้ที่จะไม่ได้ร่วมในองค์การนี้โดยตรง ก็ยังมีอีกประมาณ 17 ล้านคนที่ได้กระทำโดยอิสระของตนในการต่อต้านด้วยวิธีทางที่เขาเหล่านั้นสามารถทำได้หรือเอากำลังใจช่วยขับไล่ให้ญี่ปุ่นพ้นไปจากประเทศไทยโดยเร็วก็มี…”
ปรีดี พนมยงค์
ใน โมฆสงครามฯ และสุนทรพจน์ในการชุมนุมเสรีไทย
25 กันยายน พ.ศ. 2488
ภายหลังจากที่รัฐบาลไทยตัดสินใจในเช้าวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ยินยอมให้กำลังทหารญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยแล้วได้มีองค์การหรือขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นเกิดขึ้นทั้งในไทยและกลุ่มคนไทยในอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา หรือเรียกกันต่อมาว่า ขบวนการเสรีไทย
เนื่องจากการเคลื่อนไหวเพื่อก่อตั้งองค์การฯ เหล่านี้ เกิดขึ้นด้วยการปิดเป็นความลับและประสานกันโดยมีผู้รู้แผนการ ขั้นตอนต่างๆ ไม่มากนัก ดังนั้น จุดตั้งต้นของผู้ที่สนใจกำเนิดขบวนการเสรีไทย คือ บันทึกและจดหมายของหัวหน้ากลุ่มผู้ก่อตั้งเสรีไทย และสมาชิกเสรีไทยสายต่างๆ รวมถึงเอกสารโต้ตอบระหว่างประเทศ ในบทความนี้นำเสนอบันทึกและเอกสารประวัติศาสตร์เรื่องเสรีไทยของนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้ากลุ่มเสรีไทยในประเทศไว้เบื้องต้น เพื่อปูทางสายเล็กๆ ให้แก่ผู้สนใจขบวนการเสรีไทยได้ตามร่องรอยไปสืบค้นเรื่องราวของเสรีไทยสายอังกฤษและสหรัฐอเมริกาต่อไป
บริบททางประวัติศาสตร์และการก่อตั้งเสรีไทยในประเทศจากบันทึกโมฆสงคราม
ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้นได้ทราบการเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นที่จะขอผ่านไทยครั้งแรก ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เวลา 23.00 น. จากโทรศัพท์ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้มาประชุมเป็นการด่วนที่วังสวนกุหลาบ เมื่อปรีดีไปถึงจึงได้พบกับ พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ ดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดิเรกรายงานผลที่พบกับฝ่ายทูตญี่ปุ่น และพลตำรวจเอก อดุล ได้ขอให้ปรีดีร่วมกับดิเรกและพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เพื่อไปเจรจากับญี่ปุ่นให้ชะลอการยกพลขึ้นบก และรอให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่ไม่อยู่ในเวลานั้นได้กลับมาสั่งการ
ปรีดีบันทึกการสนทนากับฝ่ายทูตญี่ปุ่น ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ไว้ว่า
“เมื่อข้าพเจ้าไปถึงห้องรับแขกวังสวนกุหลาบ ฝ่ายทูตญี่ปุ่นได้ขอให้ข้าพเจ้าเห็นในไมตรีระหว่างชาติไทยกับญี่ปุ่น โดยยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยไปยังมลายาและพม่าของอังกฤษ ขออย่าให้ทหารไทยต้านทาน
ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าหรือรัฐมนตรีอื่นใดไม่มีอำนาจสั่งนอกจากจอมพล ป. คนเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกใหม่จึงขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นอดใจรอจอมพล ป. ซึ่งเราได้ส่งรัฐมนตรีไปตามอย่างรีบด่วนแล้ว…”
คำตอบต่อทูตญี่ปุ่นของปรีดีสอดรับกับคำตอบของพลตำรวจเอก อดุล และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร จนกระทั่งเมื่อเวลา 7.00 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 จอมพล ป. จึงกลับมาเปิดประชุมคณะรัฐมนตรี[1]
ในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ รัฐมนตรีส่วนมากแสดงความเห็นไปในทางที่ไม่ประสงค์จะร่วมมือกับญี่ปุ่นและไม่ต้องการจะสู้รบกับญี่ปุ่น กระทั่งถกเถียงกันอย่างเข้มข้นแล้วจึงมอบให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้วินิจฉัย และเวลา 7.30 น. จอมพล ป. ได้มีคำสั่งให้หยุดยิงและมอบให้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ดิเรก ชัยนาม และ วนิช ปานะนนท์ เป็นผู้แทนฯ ไปเจรจากับญี่ปุ่น ครั้นเวลา 10.10 น. คณะผู้แทนฯ ที่ไปเจรจาก็กลับมาแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบว่า ฝ่ายญี่ปุ่นยอมตกลงแต่ยังต้องมีการตกลงกันในทางเศรษฐกิจกับการคลังอีก
เมื่อเรื่องดำเนินมากระทบถึงการคลัง ปรีดีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงกล่าวขึ้นว่า
“เรื่องเอกราชและอธิปไตยของเรานั้นญี่ปุ่นจะต้องเคารพอย่างเคร่งครัดและที่เราได้ตกลงกับเขานี้ก็เฉพาะเรื่องทหารอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเงิน จะมาเอาเรื่องอื่นเช่นเรื่องเศรษฐกิจและการคลังมาพัวพันด้วยไม่ได้ ขอให้ทำความเข้าใจกับญี่ปุ่นตามนี้ให้เป็นที่แจ่มแจ้งด้วย”
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกับข้อท้วงติงของปรีดี จึงได้มอบหมายให้คณะผู้แทนชุดเดิมกลับไปทำความเข้าใจกับฝ่ายญี่ปุ่นอีกครั้งภายใต้หลักการในการเจรจา 4 ข้อ[2]
เมื่อญี่ปุ่นขึ้นบกแล้วก็เริ่มขอความร่วมมือด้านอื่นๆ เช่น การเจรจาขอกู้เงินจากรัฐบาลไทย และเกิดการโต้แย้งเรื่องการให้ญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรทหารใช้ในประเทศไทยขึ้น โดยปรีดีเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การที่ญี่ปุ่นขอกู้เงินนี้คงจะไม่ใช่งวดเดียว และเป็นการให้กู้เงินเพื่อประโยชน์ในการทำสงครามย่อมไม่มีหลักประกันให้รัฐบาลไทยทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศ ปรีดีจึงเสนอให้ญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรทหารของตนเองขึ้นใช้ในกรณีพิเศษ เพราะเห็นว่าเมื่อจบสงครามทางรัฐบาลไทยก็ประกาศยกเลิกได้โดยไม่กระทบต่อเศรษฐกิจและการเงินภายใน
หากนายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับปรีดีเพราะมองว่า การพิมพ์ธนบัตรของญี่ปุ่นในไทยเป็นการเสื่อมเสียต่อเอกราชและอธิปไตย ทางปรีดีจึงแย้งว่า การที่ไทยยอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมากมายก็เป็นการเสื่อมเสียต่อเอกราชและอธิปไตยของประเทศอยู่แล้วมิใช่หรือ
เพียงไม่กี่วันหลังจากญี่ปุ่นผ่านไทย ปรีดีได้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังภายหลังการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหม่ โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 นับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484[3]
ส่วนการจัดตั้งขบวนการต่อต้านแสนยานิยมญี่ปุ่นของปรีดีในไทย เริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีปรีดีกลับมาที่บ้านแล้วก็คิดชักชวนผู้รักชาติ รัฐมนตรีที่ไม่ใช่พวกญี่ปุ่น และผู้แทนราษฎรออกจากกรุงเทพฯ เพื่อไปตั้งรัฐบาลเสรีของชาติไทยในภาคเหนือ จึงให้พูนศุขภรรยาโทรศัพท์เชิญชวนมิตรบางคนมาที่บ้าน และปรึกษาวิธีการเดินทางไปภาคเหนือกับ ม.ล.กรี เดชาติวงศ์ อธิบดีกรมทางในขณะนั้น หากต่อมาทางทหารญี่ปุ่นได้เข้าควบคุมชุมทางรถไฟและทางน้ำที่ปากน้ำโพจึงไม่สามารถปฏิบัติภารกิจจัดตั้งรัฐบาลเสรีที่ภาคเหนือได้
ปรีดีบันทึกถึงการก่อตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศหลังวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ไว้ว่า
“อีก 2-3 วันต่อมา ข้าพเจ้าได้รับวิทยุสัมพันธมิตรทราบข่าวด้วยความยินดีว่า คนไทยในสหรัฐอเมริกาและในอังกฤษได้จัดตั้งเป็น “เสรีไทย” ขึ้น ซึ่งข้าพเจ้ามีความหวังว่า ขบวนการต่อต้านภายในประเทศจะได้มีโอกาสร่วมมือกับขบวนการของคนไทยในต่างประเทศ ซึ่งมีอุดมคติตรงกันในการอุทิศตนเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติให้คงคืนบริบูรณ์”
ในช่วงวันที่ 10 ธันวาคม เมื่อปรีดีทราบเรื่องการจัดตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นของคนไทยขึ้นในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษแล้ว จึงได้ส่งตัวแทนเสรีไทยในประเทศไปจีน บางคณะยังไปถึงอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ขณะที่เสรีไทยในต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาปฏิบัติการในไทยด้วยการโดดร่มมาลงในภูมิภาคต่างๆ
ท้ายบันทึกโมฆสงครามเรื่องการก่อตั้งขบวนการต่อต้านแสนยานิยมญี่ปุ่น หรือขบวนการเสรีไทยในประเทศ ปรีดีได้แสดงความเคารพและระลึกถึงเพื่อนเสรีไทยทุกนาม
“ขอให้เพื่อนเสรีไทยนิรนามที่ไม่มีชื่ออ้างไว้ในหนังสือเล่มนี้เข้าใจว่า ข้าพเจ้านับถือว่าท่านได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จนั้น พร้อมทั้งผู้ที่ข้าพเจ้าอ้างชื่อไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วย”[4]
เอกสารประวัติศาสตร์ของปรีดี พนมยงค์ เรื่องเสรีไทยก่อนการประกาศสันติภาพ
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นเรื่องการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศของปรีดี พนมยงค์ ว่าเริ่มด้วยการสานสัมพันธ์กับเสรีไทยในต่างประเทศคือ อังกฤษและสหรัฐอเมริกา เมื่อรัฐบาลของทั้งสองประเทศรับรู้ว่ามีขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นของไทยจึงเกิดการติดต่อทางการเมืองและการทูตทางลับขึ้นโดยปรีดีได้เก็บรักษาเอกสารประวัติศาสตร์สำคัญเหล่านี้ไว้และนำมาตีพิมพ์ในหนังสือชื่อว่า จดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากปัจจุบันยังมีงานศึกษาการทูตของขบวนการเสรีไทยค่อนข้างน้อยทั้งในมิติความสัมพันธ์ระหว่างเสรีไทยกับรัฐบาลอังกฤษ และสหรัฐฯ และความคิดของผู้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยทั้ง 3 สาย ในเบื้องต้นผู้เขียนจึงคัดสรรเอกสารประวัติศาสตร์การทูต 3 ฉบับ เพื่อนำไปสู่การค้นคว้าเรื่องเสรีไทยในมุมมองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ได้คงตัวสะกด ชื่อบุคคล และสำนวนการแปลไว้ตามต้นฉบับของปรีดี พนมยงค์
1. สำเนาจดหมายจากนายคอร์เดลล์ ฮัลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ถึงรองผู้อำนวยการสำนักงานยุทธศาสตร์ (กูดเฟลโลว์) ฉบับเลขที่ 892.01/32 ลงวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1943 (พ.ศ. 2486)
เนื้อความสำคัญในจดหมายเกี่ยวเนื่องกับปฏิบัติการของสหรัฐอเมริกากับขบวนการเสรีไทย โดยสหรัฐฯ ถือว่าประเทศไทยเป็นรัฐเอกราชที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองด้วยกำลังทหารของญี่ปุ่น รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่รับรองรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่ยับยั้งการประกาศสงครามต่อประเทศไทยไว้และยังคงรับรอง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน เป็นอัครราชทูตของประเทศไทยต่อไปเพราะ ม.ร.ว.เสนีย์ ได้ประณามความร่วมมือของรัฐบาลไทยกับญี่ปุ่น ในสำเนาจดหมายฉบับนี้ยังกล่าวถึง หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ปรีดี พนมยงค์ ว่ามีส่วนสำคัญในขบวนการเสรีไทยไว้ดังนี้
“...ในรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังมีข้าราชการส่วนหนึ่งที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลไทยยอมจำนนต่อการกดดันของฝ่ายญี่ปุ่น เป็นที่ทราบกันดีว่าในบรรดาข้าราชการดังกล่าวนี้มีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (หรือที่รู้จักกันในนามนายปรีดี พนมยงค์) ผู้สำเร็จในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รวมอยู่ด้วยผู้หนึ่ง และยังได้ทราบต่อไปอีกว่าผู้นี้ได้มีส่วนอย่างสำคัญร่วมมือในขบวนการลับที่มีจุดประสงค์เพื่อฟื้นขึ้นซึ่งรัฐบาลไทยที่เคยเป็นอยู่ก่อนการรุกรานของญี่ปุ่น
ด้วยความกระจ่างแจ้งเช่นนี้ รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาจึงถือว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นตัวแทนแห่งการสืบต่อของรัฐบาลแห่งประเทศตามที่เป็นอยู่ก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีไทยสมัยนั้น (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) จะไปเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่นในตอนที่ญี่ปุ่นบุก และยอมรับว่า (หลวงประดิษฐ์) เป็นผู้นำคนสำคัญในขบวนการเพื่อเอกราชของชาติไทย ด้วยเหตุนี้ ตราบเท่าที่รัฐบาลนี้ (สหรัฐอเมริกา) มิได้รับแจ้งการตรงข้ามจากประชาชนไทย จึงเป็นประกันได้โดยไม่ผูกมัดรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในอนาคต ในการถือว่าหลวงประดิษฐ์เป็นผู้แทนชั้นนำคนหนึ่งของประชาชนไทยในประเทศไทย…”
ในจดหมายข้างต้นทางรัฐบาลสหรัฐฯ ยังชี้ว่ารัฐบาลไทยระหว่างสงครามเมื่อ พ.ศ. 2486 นั้นมี 2 รัฐบาลคือรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และรัฐบาลของปรีดี พนมยงค์[5]
2. โทรเลขลับด่วนมากของรู้ธ[6] ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา และลอร์ด เมาน์แบทเตน ลงวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) ซึ่งโทรเลขทั้งสองฉบับมีข้อความตรงกันและได้รับคำตอบจากรัฐมนตรีฯ สหรัฐฯ ในบันทึกฉบับเลขที่ 740.0011 พี.ดับบลิว./5-2948 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1945
บริบททางการเมืองก่อนจะส่งโทรเลขฉบับนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อ พ.ศ. 2487 ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ปรารถนาจะพบบุคคลที่ทราบสถานการณ์ในประเทศไทยและเป็นตัวแทนขบวนการเสรีไทยเดินทางไปชี้แจงสถานการณ์ ทางปรีดีจึงส่ง พระพิศาลสุขุมวิท และ หลวงสุขุมนัยประดิษฐ [7] ข้าราชการผู้ใหญ่ที่ทราบสถานการณ์ในประเทศหลายด้านและสนิทสนมกับอัครราชทูตและเลขานุการสถานทูตอเมริกันในกรุงเทพฯ มาก่อนสงครามไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อปฏิบัติภารกิจเสรีไทยให้ลุล่วงใน 2 การ ได้แก่
1. ในการแก้ไขสถานะสงครามและการผ่อนหนักเป็นเบา
2. ติดต่อหาช่องทางที่จะบรรเทาทุกข์และบูรณะประเทศที่จะต้องประสบภัยสงคราม[8]
หลังจากส่งตัวแทนเสรีไทยไปยังสหรัฐอเมริกาแล้ว รู้ธ หรือ ปรีดี พนมยงค์ ก็ส่งโทรเลขลับด่วนมากถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และลอร์ด เมาน์แบทเตน โดยมีเนื้อความตรงกันเพื่อชี้แจงและประนีประนอมวิธีปฏิบัติของสหรัฐอเมริกากับขบวนการเสรีไทย โดยหวังผลให้สถานะสงครามระหว่างไทยกับสหรัฐฯ สิ้นสุดลงอย่างราบรื่นในอนาคต ดังข้อความวรรคสุดท้ายของโทรเลขฉบับนี้ที่ปรีดีเขียนไว้ว่า
“...แม้ว่าข้าพเจ้าตระหนักว่า สหรัฐอเมริกามีเจตนาดีเกี่ยวกับเอกราชของประเทศไทยและมีความนับถือประชาชนไทยอย่างสุดซึ้ง ข้าพเจ้าเชื่อว่าในวันที่เราลงมือปฏิบัติการนั้น สหรัฐอเมริกาจะประกาศเคารพความเป็นเอกราชของประเทศไทย และถือว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกหนึ่งของสหประชาชาติและไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรู ทั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมกำลังใจอย่างใหญ่หลวงต่อมวลราษฎรไทยซึ่งเตรียมพร้อมแล้วในการเสียสละใดๆ
ข้าพเจ้าได้แจ้งเรื่องทั้งหมดนี้ไปยังผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งสัมพันธมิตรภาคอาเซียอาคเนย์ (ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบทเตน) ด้วยแล้ว”[9]
3. โทรเลขของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาถึงเอกอัครรัฐทูตในสหราชอาณาจักร ฉบับเลขที่ 740.0011 พี.ดับบลิว./เอส-1545 ลงวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เวลาบ่าย 3 โมง (ตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 กรุงเทพฯ)
โทรเลขฉบับนี้ส่งถึง ปรีดี พนมยงค์ ในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร โดยรัฐบาลอังกฤษอนุญาตให้ ลอร์ด เมาน์แบทเตน ส่งสาส์นถึงปรีดีด่วน เนื้อความสำคัญในโทรเลข คือ แนะนำให้รีบประกาศว่าการประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาของไทยนั้นเป็นโมฆะ ซึ่งโทรเลขของรัฐบาลอังกฤษฉบับดังกล่าวมีเนื้อความตรงกันกับโทรเลขรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ถึงเอกอัครรัฐทูตในสหราชอาณาจักร ลงวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488[10] และเป็นโทรเลขฉบับสำคัญอันเป็นที่มาของการประกาศสันติภาพ ผู้เขียนจึงขอคัดลอกเอกสารประวัติศาสตร์และสำนวนการแปลของปรีดี พนมยงค์ ทั้งฉบับ[11] มาไว้ดังต่อไปนี้
เลขที่ 740.0011 PW/S-1545 : โทรเลข
ร.ม.ต. การต่างประเทศถึงเอกอัครรัฐทูตในสหราชอาณาจักร
(ไวแนนห์)
วอชิงตัน, 15 สิงหาคม 1945 เวลาบ่ายสามโมง
(ตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม 1945 เวลา 3 น. กรุงเทพฯ)
6922. สถานเอกอัครราชทูตบริติชแจ้งเราว่า
(ก) กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้อนุญาตเมาน์ทแบทเตน แนะนําเป็นส่วนตัวมายัง “รูธ” ให้ประกาศโดยเร็วที่สุดที่จะเป็นได้ภายหลังญี่ปุ่นยอมจํานนในที่สุดแล้วนั้น บอกปฏิเสธการประกาศสงครามของไทยต่อบริเตนใหญ่และ ส.ร.อ. อีกทั้งมาตรการทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากการนั้นที่ดําเนินไปเป็นที่เสียหายแก่สัมพันธมิตร ยกเลิกการเป็นพันธมิตรและข้อตกลงอย่างอื่นทั้งสิ้นกับญี่ปุ่น ให้ประเทศไทยและกองกําลังทหารไทยบริการสัมพันธมิตรและแถลงว่าพร้อมที่จะส่งผู้แทนไปยังนครแคนดีทันทีเพื่อติดต่อกับสัมพันธมิตร บริติชได้เสนอว่าประกาศนั้นอาจกล่าวด้วยว่า “รูธ” ได้แจ้งแก่รัฐบาลบริติชและอเมริกาตั้งแต่ระยะเนิ่นๆ แล้วว่าขบวนต่อต้านต้องการริเริ่มปฏิบัติการต่อสู้ศัตรูอย่างเปิดเผยและยับยั้งไว้ก็เพราะคําร้องขอโดยเฉพาะเจาะจงของสัมพันธมิตรเพื่อการปฏิบัติทางการทหาร
(ข) ให้เมาน์แบทเตนแจ้งด้วยว่า ถ้า “รูธ” ริเริ่มที่จําเป็นตามคำแนะนำนั้น บริเตนก็พร้อมแล้วเพราะความอุปการะของขบวนการต่อต้านของไทยและคําร้องขอของสัมพันธมิตรที่มิให้ลงมือปฏิบัติการเปิดเผยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่แล้วมา ในการที่ (บริติช) ไม่ดําเนินต่อไปซึ่งการบังคับให้ (ไทย) ทําเอกสารการยอมจํานน (ยอมแพ้) โดยไม่มีเงื่อนไขซึ่งตามสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ก็เป็นวิธีธรรมดา (ที่ต้องทําเช่นนั้น) และ (บริติช) จะปรับปรุงนโยบายของตนตามที่ไทยพร้อมจะคืนให้ซึ่งสิ่งที่แล้วมาในอดีตและที่จะร่วมมือในภายหน้า
(ค) ถ้า “รูธ” ทำตามคําแนะนำและส่งผู้แทนไปยังนครแคนดี บริติชเสนอที่จะติดต่อกับกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันก่อนที่จะตั้งต้นเจรจาเกี่ยวกับข้อความที่เขา (ไทย) เตรียมทำให้สถานะสงครามสุดสิ้นลง
(ลงนาม) เบิร์นส์
(ร.ม.ต. กระทรวงการต่างประเทศ)
หมายเหตุ : ส.ร.อ. ย่อมาจากสหรัฐอเมริกา
ทันทีที่ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้รับโทรเลขฉบับนี้แล้วได้เชิญ ควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี และ ทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีสั่งราชการนายกรัฐมนตรีเข้ามาปรึกษาเพื่อจะประกาศสันติภาพ ปรีดียังเห็นควรว่าทวีเป็นผู้เหมาะสมที่จะลงนามสนองพระบรมราชโองการในประกาศสันติภาพ วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และตามทัศนะของปรีดี การประกาศสันติภาพที่ทำให้เกิดผลโมฆสงครามต่อบริเตนใหญ่ สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นที่เกี่ยวข้องนั้นมิใช่ “การตีหัวเขาแล้วเห็นท่าว่าสู้เขาไม่ได้ก็วิ่งหลบเข้าบ้าน” แต่เป็นผลจากที่เสรีไทยทั้งหลายได้เสียสละชีวิตและความเหนื่อยยากในการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของขบวนการเสรีไทย[12]
ที่มาของภาพ : หนังสือโมฆสงครามฯ หนังสือจดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิทฯ และเพจ Wartime Asia เอเชียยามสงคราม
บรรณานุกรม
เอกสารชั้นต้น :
- ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศตั้งซ่อมคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484, เล่มที่ 58, หน้า 1821-1823.
หนังสือภาษาไทย:
- กนต์ธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, (กรุงเทพฯ: คณะอนุกรรมการเอกสารและหนังสือที่ระลึกในคณะกรรมการกึ่งศตวรรษธรรมศาสตร์, 2527)
- นายฉันทนา, X.O. Group เรื่องภายในขบวนการเสรีไทย พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: เชษฐบุรุษ, 2522)
- ปรีดี พนมยงค์, เบื้องหลังการก่อตั้งขบวนการเสรีไทย, (กรุงเทพฯ: สันติธรรม, 2516)
- ปรีดี พนมยงค์, จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิทเรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2522)
- ปรีดี พนมยงค์, จดหมายเหตุจากหัวหน้าเสรีไทย, (กรุงเทพฯ: วารสารหมอความยุติธรรม, 2531)
- ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558)
- ไพศาล ตระกูลลี้, วีรบุรุษนิรนาม, (กรุงเทพฯ: เรืองศิลป์, 2521)
- วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ บรรณาธิการ, เสรีไทย: อุดมการณ์ที่ไม่ตาย, (คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือที่ระลึก คณะกรรมการดำเนินงานเปิดอาคารเสรีไทยอนุสรณ์, 2546)
- วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ตำนานเสรีไทย, (กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2546)
- แสงประทีป, ขบวนการเสรีไทยของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์, (กรุงเทพฯ: ทวีการพิมพ์, 2516)
วิทยานิพนธ์ :
- อัญชลี สุขดี. ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นของไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484-2488). วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย, 2525.
[1] ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558), หน้า 137-140.
[2] เรื่องเดียวกัน, หน้า 146-147.
[3] กนต์ธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, (กรุงเทพฯ: คณะอนุกรรมการเอกสารและหนังสือที่ระลึกในคณะกรรมการกึ่งศตวรรษธรรมศาสตร์, 2527), หน้า 57.
[4] ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558), หน้า 167-173.
[5] ปรีดี พนมยงค์, จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิทเรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2522), หน้า 24-28.
[6] นามในขบวนการเสรีไทยของปรีดี พนมยงค์
[7] พระพิศาลสุขุมวิทและหลวงสุขุมนัยประดิษฐ ใช้เวลา 27 วัน เดินทางโดยเสี่ยงอันตรายถึงยังสหรัฐอเมริกาในวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2488 และได้พิจารณาแผนการที่จะดำเนินตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้นอย่างถูกต้องเหมาะสม โปรดดูเพิ่มเติม ปรีดี พนมยงค์, จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิทเรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2522), หน้า 47.
[8] ปรีดี พนมยงค์, จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิทเรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2522), หน้า 36-40.
[9] เรื่องเดียวกัน, หน้า 41.
[10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 49.
[11] เรื่องเดียวกัน, หน้า 50-51.
[12] เรื่องเดียวกัน, หน้า 54.
- ขบวนการเสรีไทย
- รวินทร์ คำโพธิ์ทอง
- ปรีดี พนมยงค์
- โมฆสงคราม
- สงครามโลกครั้งที่ 2
- อดุล อดุลเดชจรัส
- ดิเรก ชัยนาม
- พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร
- วนิช ปานะนนท์
- ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
- รัชกาลที่ 8
- กรี เดชาติวงศ์
- Wartime Asia
- คอร์เดลล์ ฮัลล์
- Cordell Hull
- เสนีย์ ปราโมช
- หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
- จอมพล ป. พิบูลสงคราม
- หลวงประดิษฐ์
- พระพิศาลสุขุมวิท
- หลวงสุขุมนัยประดิษฐ
- ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบทเตน
- Louis Mountbatten
- กนต์ธีร์ ศุภมงคล
- ไพศาล ตระกูลลี้
- วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
- วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร