ความคิดในทางอภิวัฒน์ของข้าพเจ้ามีพื้นฐานอยู่บนเศรษฐกิจ
ปรีดี พนมยงค์, รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ชี้ทางรอดของไทย, น. 76.
![คณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลคณะราษฎร พ.ศ. 2482](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-01.jpg)
คณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลคณะราษฎร พ.ศ. 2482
การวิพากษ์คณะราษฎรทั้งจากวาทกรรม แบบเรียน และงานวิชาการนับตั้งแต่ทศวรรษ 2490 - 2520 มุ่งเน้นใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การชิงสุกก่อนห่าม ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการอภิวัฒน์ ความขัดแย้งภายในทำให้คณะราษฎรไม่ประสบความสำเร็จ และขาดการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยใน 3 ประเด็นแรกมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และงานวิชาการที่ค้นคว้าข้อมูลอีกด้านเสนอให้เห็นผลงานของคณะราษฎรและความเดือดร้อนของประชาชนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้แล้วจำนวนหนึ่ง แต่ในประเด็นที่ 4 เรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจของคณะราษฎรยังไม่ค่อยมีการค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้มากนัก
ดังนั้น เนื่องด้วย พ.ศ. 2566 เป็นปีที่ 91 ของการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และครบวาระของการประกาศใช้พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 ฉบับแรก ในสมัยที่นายปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เขียนได้ค้นคว้าและพบว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจของคณะราษฎรชิ้นสำคัญเรื่อง ไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482 ที่รัฐบาลจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่นโยบายเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งแสดงถึงผลการดำเนินงานของรัฐบาลคณะราษฎรภายหลังประกาศใช้ประมวลรัษฎากรครบรอบ 1 ปีที่เวียนมาบรรจบในเดือนเมษายน พ.ศ. 2482 บทความนี้จึงขอนำเสนอการปฏิรูปเศรษฐกิจของคณะราษฎรเปรียบเทียบกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ผ่านสถิติและข้อมูลจากหลักฐานชั้นต้นชิ้นนี้ซึ่งพบว่าเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงเวลาราว 7 ปี หลังการอภิวัฒน์สยาม
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 ฉบับแรกของสยาม
![พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-02.jpg)
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481
การเสนอร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 มีขึ้นครั้งแรกในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันอังคารที่ 7 มีนาคม พุทธศักราช 2481 โดยนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งรั้งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขณะนั้นได้แถลงว่า
“รัฐบาลขอเสนอร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร การที่ได้เสนอขึ้นมานี้ก็ได้แถลงไว้โดยละเอียดในเหตุผลนั้นแล้ว
เนื่องจากรัฐบาลได้รับรองต่อสภาฯ ว่าจะปรับปรุงภาษีอากรให้เป็นธรรมต่อสังคมโดยเร็วและถ้าสามารถเป็นไปในสมัยประชุมนี้ก็จะนำมาเสนอ และบัดนี้ก็ได้ทำมาเสร็จแล้ว จึงได้นำมาเสนอท่านสมาชิกทั้งหลายและในการที่เสนอร่างพระราชบัญญัติฉะบับนี้นั้น รัฐบาลมีความปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะกระทำการร่วมมือกับท่านสมาชิก…”
นายปรีดียังชี้ว่าหลักการสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ แห่งประมวลรัษฎากรคือ เพื่อปรับปรุงภาษีอากรให้เป็นธรรมแก่สังคมที่เป็นประโยชน์แก่ราษฎรและยังปลุกสำนึกให้ตระหนักถึงหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
“ในการเสนอร่างพระราชบัญญัติขึ้นมานี้ก็เปรียบประดุจว่าข้าพเจ้าได้นำแผ่นกระดาษขาวแผ่นหนึ่งมายื่นให้ท่านทั้งหลาย เมื่อท่านเห็นว่าจะปรับปรุงภาษีอากรให้เป็นธรรมแก่สังคมแล้ว การที่จะเป็นธรรมแก่สังคมอย่างไร ท่านก็ควรจะเขียนลงไปในแผ่นกระดาษขาวนั้น ข้าพเจ้ายอมทั้งหมด
ขอให้ในเรื่องนี้เราได้ทำด้วยความเป็นธรรมจริง ไม่ใช่ว่าเราปล่อยปละละเลยตามใจ หาแต่พระคุณอย่างเดียว มีบางสิ่งบางอย่างจะต้องทำให้ราษฎรได้รู้สึกถึงหน้าที่ของตนตามรัฐธรรมนูญ รู้สึกถึงความเสียสละ ให้รู้สึกรักประเทศชาติด้วย…”[1]
และได้จัดตั้งกรรมาธิการจัดทำประมวลรัษฎากรขึ้น 36 คน โดยมี 18 คน ที่มาจากการเสนอของรัฐบาล และอีก 18 คน มาจากการเสนอของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายปรีดีเป็นประธานกรรมาธิการฯ ซึ่งการประชุมร่างพระราชบัญญัติฯ ของกรรมาธิการชุดนี้จะเป็นการประชุมลับ[2] เมื่อประชุมฯ เสร็จสิ้นลงจึงนำร่างพระราชบัญญัติฯ ประมวลรัษฎากรมาแปรญัตติและแก้ไขเพิ่มเติมในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันพุธที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2481 นายปรีดีกล่าวว่าคณะกรรมาธิการฯ ทั้ง 36 คนทำงานกัน “หามรุ่ง หามค่ำ”[3] กว่าจะตรากฎหมายออกมาเป็นประมวลรัษฎากรฉบับแรก โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2482 ในชื่อว่า พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481[4]
![นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2482แจกหนังสือข่าวโฆษณาการฉบับพิเศษ ซึ่งลงคำชี้แจงเรื่องประมวลรัษฎากรให้แก่ราษฎร](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-03.jpg)
นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2482แจกหนังสือข่าวโฆษณาการฉบับพิเศษ ซึ่งลงคำชี้แจงเรื่องประมวลรัษฎากรให้แก่ราษฎร
ภายหลังประกาศใช้พระราชบัญญัติฯ ประมวลรัษฎากรแล้วทางรัฐบาลคณะราษฎรได้ดำเนินงานทั้งจัดทำข้อมูลพื้นฐาน จัดทำฐานข้อมูลการประกอบธุรกิจ ด้วยการขอข้อมูลการทำงาน และรายชื่อของผู้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้จากหน่วยงานราชการทั้งในพระนครและต่างจังหวัด[5] และจัดทำคู่มือประมวลรัษฎากรออกจำหน่ายในราคาย่อมเยา รวมทั้งมีการเผยแพร่ผ่านการปาฐกถาและอบรมข้าราชการเกี่ยวกับประมวลรัษฎากรในจังหวัดต่างๆ[6] และสำนักงานโฆษณาการยังจัดทำการ์ตูนเกี่ยวกับการจ่ายภาษีอากรใหม่ขึ้นเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2482[7] โดยเปรียบเทียบก่อนและหลังการประกาศใช้ประมวลรัษฎากรไว้ให้ราษฎรเข้าใจได้ง่ายๆ ดังนี้
![การ์ตูนเปรียบเทียบเรื่องภาษีอากรก่อนและหลังประกาศใช้ประมวลรัษฎากร จัดทำโดยสำนักงานโฆษณาการ 11 เมษายน พ.ศ. 2482](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-04.jpg)
การ์ตูนเปรียบเทียบเรื่องภาษีอากรก่อนและหลังประกาศใช้ประมวลรัษฎากร
จัดทำโดยสำนักงานโฆษณาการ 11 เมษายน พ.ศ. 2482
ก่อนใช้ประมวลรัษฎากร |
ภายหลังใช้ประมวลรัษฎากร |
---|---|
กรรมกรซึ่งมีรายได้ต่ำกว่าปีละ ๖๐๐ บาท เสียเงินรัชชูปการปีละ ๕ บาท (มีอัตรา ๓ ๒ และ ๑ บาทในบางท้องที่) |
กรรมกรซึ่งมีรายได้ต่ำกว่าปีละ ๖๐๐ บาท ไม่เสียเงินรัชชูปการ แต่เสียเงินช่วยการประถมศึกษาปีละ ๑ บาท |
ชาวนามีนา ๔๐ ไร่ ราคาไร่ละ ๑ บาท มีเงินได้สุทธิหรือกำไรจากการทำนา ต่ำกว่าปีละ ๖๐๐ บาท เสียเงินรัชชูปการปีละ ๕ บาท เสียอากรค่านาปีละ ๘ บาท รวม ๑๓ บาท |
ชาวนามีนา ๔๐ ไร่ ราคาปานกลางไร่ละ ๖ บาท มีเงินได้สุทธิหรือกำไรจากการทำนาต่ำกว่าปีละ ๖๐๐ บาท ไม่เสียเงินรัชชูปการ แต่เสียเงินช่วยการประถมศึกษาปีละ ๑ บาท ไม่เสียอากรค่านา แต่เสียเงินช่วยบำรุงท้องที่ปีละ ๔ บาท รวม ๕ บาท |
ชาวสวนมีสวนทุเรียนรวง ๑ ขนัด เป็นเนื้อที่ ๑ ไร่ อยู่ในเขตเทศบาล ราคารวมทั้งค่าต้นไม้บนที่ดินไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท มีเงินได้สุทธิหรือกำไรจากการทำสวนต่ำกว่าปีละ ๖๐๐ บาท เสียเงินรัชชูปการปีละ ๕ บาท เสียอากรสวนใหญ่ปีละ ๘ บาท รวม ๑๓ บาท
|
ชาวสวนมีสวนทุเรียนรวง ๑ ขนัด เป็นเนื้อที่ ๑ ไร่ อยู่ในเขตเทศบาล ขนาดปานกลางไม่รวมค่าต้นไม้และสิ่งปลูกสร้างและที่ดินไร่ละ ๖๐๐ บาท มีเงินได้สุทธิหรือกำไรจากการทำสวนต่ำกว่าปีละ ๖๐๐ บาท ไม่เสียเงินรัชชูปการ แต่เสียเงินช่วยการประถมศึกษา ปีละ ๑ บาท ไม่เสียอากรสวนใหญ่แต่เสียเงินช่วยบำรุงท้องที่ ปีละ ๑ บาท ๑๓ สตางค์ รวม ๒ บาท ๑๓ สตางค์ |
คนชั้นกลางมีรายได้ ปีละ ๓,๐๐๐ บาท มีบ้านอยู่ ๑ ไร่ อยู่ในเขตเทศบาล ราคารวมทั้งบ้าน ๓,๖๐๐ บาท มีรถยนต์ยี่ห้อออสติน ๗ แรงม้า ๑ คัน มีภริยาและมีบุตร ๔ คน ภาษีอากรที่ต้องเสีย (๑) ภาษีเงินได้ ปีละ ๒๔ บาท (๒) ภาษีเขต ปีละ ๓๐ บาท (๓) เงินรัชชูปการ ปีละ ๕ บาท รวม ๕๙ บาท |
คนชั้นกลางมีรายได้ ปีละ ๓,๐๐๐ บาท มีบ้านอยู่ ๑ ไร่ อยู่ในเขตเทศบาล ราคาปานกลางของที่ดินไม่รวมบ้าน ๑,๖๐๐ บาท มีรถยนต์ยี่ห้อออสติน ๗ แรงม้า ๑ คัน มีภริยาและมีบุตร ๔ คน เงินที่ต้องเสียตามประมวลรัษฎากร (๑) ภาษีเงินได้ ปีละ ๑๔ บาท (๒) ภาษีเขต ปีละ ๑๕ บาท (๓) เงินช่วยการประถมศึกษา ปีละ ๑ บาท (๔) เงินช่วยบำรุงท้องที่เมื่อยินยอมให้หักตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๕๐ แล้วไม่ต้องเสีย รวม ๓๐ บาท |
คนมีเงินมีรายได้จากค่าเช่าในการให้เช่าโรงเรือนปีละ ๒,๔๐๐ บาท มีบ้านอยู่ ๓ ไร่ อยู่ในเขตเทศบาล ราคารวมทั้งบ้าน ๓๐,๐๐๐ บาท มีรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดซ์เบ็นซ์เก๋ง ๑ คัน มีภริยาและบุตร ๔ คน ภาษีอากรที่ต้องเสีย (๑) ภาษีโรงเรือน ปีละ ๓,๐๐๐ บาท (๒) ภาษีเงินได้ส่วนการศึกษา ไม่ต้องเสียตามกฎหมาย (๓) ภาษีเสริม ปีละ ๖๒๐ บาท (๔) ภาษีรถยนต์ ปีละ ๕๐ บาท (๕) เงินรัชชูปการ ปีละ ๕ บาท รวม ๓,๖๗๕ บาท
|
คนมีเงินมีรายได้จากค่าเช่าในการให้เช่าโรงเรือนปีละ ๒,๔๐๐ บาท มีบ้านอยู่ ๓ ไร่ อยู่ในเขตเทศบาล ราคารวมทั้งบ้าน ๓๐,๐๐๐ บาท มีรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดซ์เบ็นซ์เก๋ง ๑ คัน มีภริยาและบุตร ๔ คน ภาษีอากรที่ต้องเสีย (๑) ภาษีโรงเรือน ปีละ ๓,๐๐๐ บาท (๒) ภาษีเงินได้ส่วนภาษีปกติ ไม่ต้องเสียตามประมวลรัษฎากร (๓) ภาษีเสริมคำนวณจากเงินได้ซึ่งได้หักค่าลดหย่อนค่าใช้ง่าย และค่าภาษีโรงเรือนออกแล้ว ปีละ ๑๕๐ บาท (๔) ภาษีรถยนต์ ปีละ ๒๕ บาท (๕) เงินช่วยการประถมศึกษา ปีละ ๑ บาท (๖) เงินช่วยบำรุงท้องที่ เมื่อได้ยินยอมให้หักตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๕๐ แล้ว ปีละ ๑๖ บาท รวม ๓,๑๙๒ บาท |
จัดทำโดยสำนักงานโฆษณาการ 11 เมษายน พ.ศ. 2482
จะเห็นได้ว่าประชาชนในระบอบใหม่ได้ประโยชน์จากการประกาศใช้ประมวลรัษฎากรฉบับแรก เพราะมีระบบภาษีอากรที่เป็นธรรมขึ้นกว่าระบอบเก่า จากนั้นรัฐบาลก็ได้รวบรวมข้อมูลผลงาน สถิติ และนโยบายเศรษฐกิจที่ดำเนินงานช่วง พ.ศ. 2475 - 2481 แล้วจัดพิมพ์เป็นหนังสือไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482 เพื่อเผยแพร่แก่ประชาชน
ไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482 : การเผยแพร่นโยบายและการปฏิรูปเศรษฐกิจของคณะราษฎร
![ภาพการประชุมของคณะรัฐมนตรี คณะที่ 9 เมื่อ พ.ศ. 2481](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-05.jpg)
ภาพการประชุมของคณะรัฐมนตรี คณะที่ 9 เมื่อ พ.ศ. 2481
7 ปี หลังการอภิวัฒน์สยาม เมื่อ พ.ศ. 2482 มีรัฐบาลคณะราษฎรคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งปกครองภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ ระบบรัฐสภาแบบประชาธิปไตย และหลัก 6 ประการ
![ความเป็นมาแห่งหลัก 6 ประการ ในบันทึกประกอบคำประท้วงของปรีดี พนมยงค์ ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-06.jpg)
ความเป็นมาแห่งหลัก 6 ประการ ในบันทึกประกอบคำประท้วงของปรีดี พนมยงค์
ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี
![รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญ) ครั้งที่ 1/2475 วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-07.jpg)
รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญ) ครั้งที่ 1/2475
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
หลัก 6 ประการของคณะราษฎรเป็นแนวคิดที่ริเริ่มขึ้นตั้งแต่การประชุมก่อตั้งคณะราษฎร[8] แล้วนำมาเผยแพร่ในประกาศคณะราษฎรและยังเป็นคำปฏิญาณของสมาชิกผู้แทนราษฎรนับตั้งแต่การประชุมสภาฯ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยนายปรีดีเป็นผู้นำปฏิญาณและให้สมาชิกสภาฯ ปฏิญาณพร้อมกันว่า
“ข้าพเจ้า (ออกนามผู้ปฏิญาณ) ขอให้คำปฏิญาณว่าจะซื่อสัตย์ต่อคณะราษฎรและจะช่วยรักษาหลัก 6 ประการของราษฎรไว้ให้มั่นคง
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงมาก
3. จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะพยายามหางานให้ราษฎรทุกคนทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอกัน
5. จะต้องให้ราษฎรมีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น
6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร…”
เมื่อพิจารณาหลักข้อ 3 เรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจพบว่าในระยะ 10 ปีแรกหลังการอภิวัฒน์ รัฐบาลคณะราษฎรมีการเสนอโครงการเศรษฐกิจประมาณ 10 โครงการฯ เข้าสู่การประชุมสภาฯ และบางโครงการฯ ยังแปรจากนโยบายไปเป็นการปฏิบัติในเวลาต่อมา[9]
![ไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-08.jpg)
ไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482
จนกระทั่งใน พ.ศ. 2482 ทางรัฐบาลคณะราษฎรจึงจัดพิมพ์หนังสือไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482 ขึ้นเพื่อเผยแพร่นโยบายเศรษฐกิจสังคมเปรียบเทียบทางสถิติและข้อมูลระหว่างสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสมัยคณะราษฎรโดยครอบคลุมหลัก 6 ประการ ทั้งด้านการรักษาเอกราช เศรษฐกิจ การศึกษา และการสาธารณสุข ในที่นี้ผู้เขียนจะเสนอหลักเศรษฐกิจข้อ “3. จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะพยายามหางานให้ราษฎรทุกคนทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก” เพื่อให้เห็นผลงานด้านนโยบายเศรษฐกิจในรอบ 7 ปีของรัฐบาลคณะราษฎร
![หลัก 6 ประการในไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-09.jpg)
หลัก 6 ประการในไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482
ผลการดำเนินงานตามนโยบายเศรษฐกิจ
ด้านการพัฒนา ธุรกิจการค้า และอุตสาหกรรม
![เครื่องจักรในโรงงานทอผ้า เขตพระนคร](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-10.jpg)
เครื่องจักรในโรงงานทอผ้า เขตพระนคร
![เครื่องจักรภายในโรงงานทำน้ำตาล จังหวัดลำปาง](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-11.jpg)
เครื่องจักรภายในโรงงานทำน้ำตาล จังหวัดลำปาง
![โรงงานทำกระดาษ จังหวัดกาญจนบุรี](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-12.jpg)
โรงงานทำกระดาษ จังหวัดกาญจนบุรี
![สถิติราคารวมสินค้าฝ้ายออกของประเทศ พ.ศ. 2474 - 2480](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-13.jpg)
สถิติราคารวมสินค้าฝ้ายออกของประเทศ พ.ศ. 2474 - 2480
![เนื้อที่ปลูกถั่วเหลือง พ.ศ. 2474 - 2480](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-14.jpg)
เนื้อที่ปลูกถั่วเหลือง พ.ศ. 2474 - 2480
ในด้านเศรษฐกิจช่วงแรกทางรัฐบาลได้วางโครงการสร้างถนนสายต่างๆ ด้วยงบประมาณในการลงทุนเป็นจำนวนเงินหลายสิบล้านบาท ส่วนในด้านอุตสาหกรรมยังได้สร้างโรงงานทำกระดาษ โรงงานทำน้ำตาล โรงงานทอผ้า โรงงานไหม และสนับสนุนบำรุงอุตสาหกรรมพื้นเมือง นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเกษตรกรรม เช่น การปลูกฝ้าย การปลูกถั่วเหลือง และการพัฒนาและอนุรักษ์ป่าไม้ การชลประทาน รวมทั้งยังขยายจำนวนสหกรณ์ให้กู้ยืมเงิน การขยายขนส่งทางเครื่องบิน ส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และส่งเสริมการรถไฟกับการไปรษณีย์โทรเลขให้ทันสมัย
![นายปรีดี พนมยงค์ กระทำพิธีขุดคลองเพื่อบำรุงการทำนาเกลือ ณ ตำบลวัดใต้คลองรุ่ย จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2482](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-15.jpg)
นายปรีดี พนมยงค์ กระทำพิธีขุดคลองเพื่อบำรุงการทำนาเกลือ
ณ ตำบลวัดใต้คลองรุ่ย จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2482
ส่วนในด้านธุรกิจการค้าทางรัฐบาลยังเข้าคุ้มครองสินค้าบางประเภท อาทิ ยาสูบและเกลือรวมถึงได้มีนโยบายให้ผู้ที่ส่งสินค้ายาสูบและเกลือออกไปจำหน่ายออกนอกประเทศได้รับรางวัลตามสมควร และได้มีการแก้ไขปัญหาเงินกู้โดยทางรัฐบาลคณะราษฎรตามความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรได้จัดการออกพระราชบัญญัติจัดการกู้เงินในประเทศอีก 20 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
ด้านการคลังของประเทศ
จากสถิติและตารางภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังการอภิวัฒน์แสดงให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายทางการคลังของรัฐบาลคณะราษฎร ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูงที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางการคลัง ตามรายงานเงินรายได้และรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2474 ของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังปรากฏให้เห็นว่า รัฐบาลในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ตั้งรายได้ไว้ 94,809,713 บาท และรายจ่าย 94,346,979 บาท ซึ่งเมื่อรวบรวมตัวเลขเงินได้จริงและเงินจ่ายจริงเสร็จแล้ว ปรากฏรายได้เป็นจำนวนเพียง 78,948,232 บาท 62 สตางค์ โดยรายได้ต่ำกว่างบประมาณถึง 15,860,480 บาท 94 สตางค์
ส่วนรายจ่ายจริงเป็นจำนวน 89,082,358 บาท 06 สตางค์ และแม้รัฐบาลจะได้โอนเงินดอกเบี้ยของทุนสำรองเงินตราที่เหลือจ่ายมาช่วยชดเชยในรายจ่ายเป็นเงิน 1,600,235 บาท 28 สตางค์แล้ว ก็ยังมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ถึง 8,533,890 บาท 16 สตางค์ ทำให้รัฐบาลในสมัยนั้นต้องดึงเงินสะสมไว้เป็นเงินคงคลังออกมาชดใช้ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2481 ปรากฏว่ารัฐบาลปัจจุบันมีรายได้ 109,425,940 บาท เพิ่มขึ้นถึง 30,477,708 บาท โดยตัวเลขเงินรายได้นี้เป็นรายได้ที่กำหนดตามงบประมาณและเงินที่เก็บได้จริงอาจจะสูงกว่านี้อีกถึง 3,000,000 บาท ซึ่งกระทรวงการคลังภายใต้ขุนคลังคือนายปรีดี ณ ขณะนั้นระบุว่ากำลังดำเนินการตรวจสอบรายได้ที่แน่ชัด
รัฐบาลในระบอบรัฐธรรมนูญได้พยายามแก้ไขฐานะการคลังของประเทศให้ดีขึ้นและเปลี่ยนแปลงงานคลังเพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของบ้านเมืองในสามเรื่องหลัก ได้แก่
“๑. ยกเลิกภาษีอากรบางอย่างที่ไม่เหมาะสมเพื่อเป็นการปลดเปลื้องภาระแก่ราษฎร คือ
(๑) ภาษีเงินรัชชูปการ ..... คิดเป็นเงิน ราว ..... ๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) อากรค่านา ............... ” ............... ๕,๔๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) อากรสวน ............... ” ............... ๓๒๐,๐๐๐ บาท
(๔) ภาษีไร่อ้อย ............... ” ............... ๑๘,๕๐๐ บาท
(๕) ภาษีไร่ยาสูบ ............... ” ............... ๖๐,๐๐๐ บาท
นอกจากนี้ยังลดภาษีอากรบางอย่างลงอีกเป็นเงินราว ..... ๔๕๐,๐๐๐ บาท
รวมเงินค่าภาษีอากรที่ยกเลิกและลดไปเป็นเงินประมาณ ..... ๑๓,๐๔๔,๕๐๐ บาท
๒. กำหนดปีงบประมาณแผ่นดินเสียใหม่ ซึ่งเดิมปีงบประมาณเป็นตามปีปฏิทิน แต่วิธีนี้ไม่อำนวยความสะดวกและคุณประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินได้เพียงพอ เพราะในเวลาที่กำลังเตรียมงบประมาณนั้นควรจะเป็นระหว่างฤดูฝน เมื่อฤดูแล้งมาถึงจะได้ลงมือทำงานได้เต็มที่ตามงบประมาณที่ได้รับ ด้วยเหตุฉะนี้ รัฐบาลจึ่งได้เปลี่ยนปีงบประมาณเสียใหม่ เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ไปสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๐ กันยายนเพื่อให้เหมาะสมแก่ฤดูกาล
๓. ปรับปรุงภาษีอากรใหม่ ทั้งนี้เพราะว่า วิธีเก็บภาษีอากรของเราได้ถูกปล่อยทอดทิ้งมานานแล้ว ไม่มีการชำระสะสางยกเลิกภาษีที่ไม่เป็นธรรมแก่สังคม ไม่มีการแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสมแก่ความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง รัฐบาลชุดปัจจุบันจึ่งได้ลงมือชำระสะสางและรวบรวมการเก็บภาษีอากรต่างๆ เข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สะดวกแก่การที่จะทราบและค้นหา ทั้งได้วางหลักแก้ไขให้เป็นธรรมแก่สังคมในการเก็บด้วย คือผู้มีมากเสียมาก ผู้มีน้อยเสียน้อย ผู้ใช้มากเสียมาก ฯลฯ ตามส่วนแห่งความสามารถในการเสียภาษีอากรของราษฎร และบัดนี้ก็ได้ประกาศใช้กฎหมายภาษีอากรใหม่นี้แล้วเรียกว่า “ประมวลรัษฎากร”
โดยวิธีใช้ประมวลรัษฎากรนี้ รายได้ของแผ่นดินจะค่อยเขยิบสูงขึ้นทุกที เป็นโอกาสให้รัฐบาลหาเงินมาบำรุงประเทศได้มากขึ้น”
![รายได้ของประเทศเปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-16.jpg)
รายได้ของประเทศเปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481
![เงินคงคลังเปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-17.jpg)
เงินคงคลังเปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481
จากความพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจ การคลัง และภาษีอากรโดยประกาศใช้ประมวลรัษฎากรฉบับแรกของสยามและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของข้อมูลสถิติข้างต้น ชี้เห็นได้ว่ารายได้ของประเทศสยาม พ.ศ. 2481 เพิ่มขึ้นกว่า 30,000,000 บาท เป็น 109,425,940 บาท จากรายได้เดิมเมื่อ พ.ศ. 2474 คือ 78,948,232 บาท เช่นเดียวกับเงินคงคลัง พ.ศ. 2481 ที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมราว 28,000,000 บาทเป็น 67,582,020 บาท จากเงินคงคลังเดิมเมื่อ พ.ศ. 2474 คือ 39,700,898 บาท
![รายจ่ายของประเทศ พ.ศ. 2474 - 2481](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-18.jpg)
รายจ่ายของประเทศ พ.ศ. 2474 - 2481
![หนี้ของรัฐบาลเปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-19.jpg)
หนี้ของรัฐบาลเปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481
![ทุนสำรองธนบัตรเปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-20.jpg)
ทุนสำรองธนบัตรเปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481
![ธนบัตรออกใช้เปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481](/sites/default/files/users/2023-0406/2023-04-27-001-21.jpg)
ธนบัตรออกใช้เปรียบเทียบ พ.ศ. 2474 และ พ.ศ. 2481
นอกจากรายได้ของประเทศและเงินคงคลังที่เพิ่มขึ้นแล้ว ในสมัยรัฐบาลคณะราษฎรนี้ หนี้ของรัฐบาลยังลดลงจากเดิมเมื่อ พ.ศ. 2474 ที่รัฐบาลมีหนี้ 118,638,796 บาท แต่ถึง พ.ศ. 2481 รัฐบาลมีหนี้ 73,003,499 บาท โดยหนี้ของรัฐบาลลดลงประมาณ 45,000,000 บาท แม้การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลในระบอบใหม่จะมีรายจ่ายของประเทศและการผลิตธนบัตรออกใช้เพิ่มขึ้น แต่หนี้กลับลดลงรวมถึงทุนสำรองธนบัตรใน พ.ศ. 2481 ยังเพิ่มขึ้นกว่ารัฐบาลสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถึง 65,000,000 บาท จากเดิมเมื่อ พ.ศ. 2474 สยามมีทุนสำรองธนบัตร 105,629,223 บาท พอล่วงมาถึง พ.ศ. 2481 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 170,456,036 บาท
ข้อมูลใหม่ของสถิติทางเศรษฐกิจและการคลัง พ.ศ. 2474 - 2481 ในหนังสือ ไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482 และการประกาศใช้พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481 ฉบับแรก เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2482 สมัยที่นายปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ช่วยเติมเต็มความรู้ทางวิชาการและโต้แย้งข้อวิพากษ์เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจสมัยคณะราษฎรที่ขาดหายไปในช่วง 7 ปีแรกหลังการอภิวัฒน์ แม้จะเป็นข้อมูลสำคัญแต่ผู้เขียนยังคาดหวังและปรารถนาว่าจะมีการศึกษาข้อมูลที่ครบถ้วน รอบด้าน และค้นพบเอกสารรายงานการเศรษฐกิจที่ละเอียดในยุคนี้เพิ่มเติม บทความชิ้นนี้จึงเป็นการเปิดเผยหลักฐานชั้นต้นของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยสมัยคณะราษฎรชิ้นเล็กๆ ที่รอการค้นคว้าต่อยอดให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ในทางวิชาการและการศึกษาวิธีกำหนดนโยบายเศรษฐกิจในเชิงอุดมคติเพื่อประชาชนต่อไปในอนาคต
ภาพประกอบ : ราชกิจจานุเบกษา หอจดหมายเหตุแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ สถาบันปรีดี พนมยงค์ และหนังสือไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482
บรรณานุกรม
เอกสารชั้นต้น :
- ราชกิจจานุเบกษา. ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481, ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 13 มีนาคม 2481, เล่ม 55, ตอน ง, หน้า 1-3.
- ราชกิจจานุเบกษา. พระราชบัญญัติให้ใช้บัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481, ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 เมษายน 2482, เล่ม 56 หน้า 1-4.
- สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญ) ครั้งที่ 1/2475 วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, หน้า 1-14.
- สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) วันอังคารที่ 7 มีนาคม พุทธศักราช 2481 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, หน้า 942-1043.
- สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 30 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) วันพุธที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2481 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, หน้า 1826-1933.
- หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (2) ศธ. 15/2 กล่อง 1 เอกสารสำนักงานกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้ส่งหลักฐานที่ผู้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 (8 เมษายน 2482)
- หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. มท. 5.16.12/31 กล่อง 1 เอกสารกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การหารือสงสัยเกี่ยวกับประมวลรัษฎากร จังหวัดปราจีนบุรี (พ.ศ. 2482)
- หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. มท. 2.2.5/6 กล่อง 1 เอกสารกระทรวงมหาดไทย เรื่อง คณะกรมการจังหวัดกาญจนบุรี รายงานการรับรองเจ้าหน้าที่แห่งสำนักงานโฆษณาซึ่งออกไปแสดงปาฐกถา เรื่อง นโยบายของรัฐบาล และประมวลรัษฎากร (พ.ศ. 2482)
- หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. มท. 2.2.5/93 กล่อง 4 เอกสารกระทรวงมหาดไทย เรื่อง คณะกรมการจังหวัดฉะเชิงเทรา รายงานการอบรมข้าราชการให้เข้าใจในบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร (พ.ศ. 2482)
- หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. บันทึกประกอบคำประท้วงของปรีดี พนมยงค์, (มปท., มปป.)
- หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (2) สร 0201.22(1-18) กล่อง 1-2. เอกสารสำนักนายกรัฐมนตรี กองกลางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (การเศรษฐกิจ) (พ.ศ. 2473-2492)
หนังสือภาษาไทย :
- เจมส์ ซี. อินแกรม, การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศไทย 1850-1970, แปลโดย ชูศรี มณีพฤกษ์ และเฉลิมพจน์ เอี่ยมกมลา (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552).
- ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, ไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482 (พระนคร: โรงพิมพ์พานิชศุภผล, 2482).
- ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2526).
- เอนก นาวิกมูล, สมุดภาพยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม 2482 (กรุงเทพฯ: โนรา, 2544).
หนังสือภาษาอังกฤษ :
- Akira, Suehiro, Capital Accumulation in Thailand 1855-1985 (Chiang Mai: Silkworm Book, 1996).
บทความในหนังสือ :
- ไสว สุทธิพิทักษ์, “ประมวลรัษฎากร” ใน ดร.ปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ สอง (กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2526), น. 488-498.
วิทยานิพนธ์ :
- ชวลิต วายุภักตร์, “การปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศไทย พ.ศ. 2475-2485,” (วิทยานิพนธ์เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2519).
- สมศักดิ์ มหาทรัพย์สกุล, “การเก็บเงินรัชชูปการและผลกระทบต่อสังคมไทย ระหว่าง พ.ศ. 2444-2482,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2534).
สื่ออิเล็กทรอนิกส์ :
- เขมภัทร ทฤษฎิคุณ. (10 ตุลาคม 2563). ประมวลรัษฎากร: การปรับปรุงระบบภาษีอากรที่เป็นธรรม.
- สถาบันปรีดี พนมยงค์. (25 มิถุนายน 2564). สรุปประเด็นสำคัญจาก PRIDI Talks #11 “89 ปีแห่งการอภิวัฒน์สยาม: สวัสดิการและบทบาทของรัฐในการสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจแก่ประชาชน”.
- อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. (2 มิถุนายน 2563). ท่านปรีดีฯ กับการริเริ่มเสริมสร้างอำนาจทางการคลังของรัฐสภา.
[1] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง), วันอังคารที่ 7 มีนาคม พุทธศักราช 2481 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม.
[2] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481, ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 13 มีนาคม 2481, เล่ม 55, ตอน ง, หน้า 1-3.
[3] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 30 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง), วันพุธที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2481 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม.
[4] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติให้ใช้บัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พุทธศักราช 2481, ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 เมษายน 2482, เล่ม 56, หน้า 1-4.
[5] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, (2) ศธ. 15/2 กล่อง 1 เอกสารสำนักงานกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้ส่งหลักฐานที่ผู้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 (8 เมษายน 2482).
[6] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, มท.2.2.5/6 กล่อง 1 เอกสารกระทรวงมหาดไทย เรื่อง คณะกรมการจังหวัดกาญจนบุรี รายงานการรับรองเจ้าหน้าที่แห่งสำนักงานโฆษณาซึ่งออกไปแสดงปาฐกถา เรื่อง นโยบายของรัฐบาล และประมวลรัษฎากร (พ.ศ. 2482) และหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. มท. 2.2.5/93 กล่อง 4 เอกสารกระทรวงมหาดไทย เรื่อง คณะกรมการจังหวัดฉะเชิงเทรา รายงานการอบรมข้าราชการให้เข้าใจในบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร (พ.ศ. 2482)
[7] เอนก นาวิกมูล, สมุดภาพยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม 2482 (กรุงเทพฯ: โนรา, 2544), น. 68.
[8] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. บันทึกประกอบคำประท้วงของปรีดี พนมยงค์, (มปท., มปป.)
[9] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, (2) สร0201.22(1-18) กล่อง 1-2. เอกสารสำนักนายกรัฐมนตรี กองกลางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (การเศรษฐกิจ) (พ.ศ. 2473-2492)