Focus
- การเมืองไทยที่ดูจะยังคงติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ของเผด็จการอำนาจนิยม แสดงให้เห็นอีกครั้ง เมื่อผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 ที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิถึงร้อยละ 75.71 แต่พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมการร่วมมือกับพันธมิตรพรรคการเมืองจำนวนหนึ่ง จนได้เสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร กลับไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามครรลองของประชาธิปไตย
- ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะอำนาจของประชาชนที่เป็นผลจากการเลือกตั้ง ได้รับการเหนี่ยวรั้งจากวุฒิสมาชิก และสถาบันหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และการอาศัยกติกาในระดับข้อบังคับรัฐสภาให้เหนือกว่าตัวบทของรัฐธรรมนูญ สภาวะเช่นนี้จึงมิใช่ “ความชอบธรรมทางการเมือง” (political legitimacy) แต่อย่างใด
- “ความชอบธรรมทางการเมือง” อันหมายถึงสิทธิอันชอบธรรมพื้นฐานที่รองรับอำนาจการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนที่แสดงออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ย่อมเป็นพลังในการผลักดันสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายในการรักษาหลักการทางการเมืองการปกครอง คือความชอบธรรมทางการเมืองดังกล่าวนี้ ให้เป็นหัวใจของบ้านเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านของสังคม
ดูเหมือนว่าการเมืองไทยจะยังคงติดอยู่ในวงจรอุบาทว์เผด็จการอำนาจนิยมต่อไป วิกฤติที่เริ่มขึ้นมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 หรือเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา นั่นคือสังคมไทยว่ายเวียนกับการรัฐประหาร - ร่างรัฐธรรมนูญ - จัดการเลือกตั้ง - ยุบพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งอันดับหนึ่ง - การจับมือกันของพรรคการเมืองระดับรอง - การปราบปรามประชาชน ฯลฯ หมุนวนเป็นกงล้อแห่งความถดถอยทางการเมืองไม่รู้จบ
เยาวชนที่มีอายุ 18-25 ปี ต่างเกิดและเติบโตขึ้นมาเป็นพยานพบเห็นทุกขั้นตอนในวงจรอุบาทว์นี้ โดยที่เขายังไม่พานพบบรรยากาศประชาธิปไตย ตรงกันข้ามบ้างต้องพบเห็น เข้าร่วมการชุมนุมประท้วง จำนวนไม่น้อยคนถูกจับกุมคุมขังอันมาจากความเห็นต่างทางการเมือง
เสียงประชาชนที่ไม่ได้รับการเคารพ
แม้ว่าผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 แสดงให้เห็นชัดเจนถึงเจตจำนงของประชาชน ที่ออกมาใช้เสียงมากเป็นประวัติศาสตร์การเลือกตั้งไทยจากจำนวนทั้งหมด 27 ครั้ง นั่นคือร้อยละ 75.71[1]
ทว่ากว่า 2 เดือนที่ผ่านมา กระบวนการทางการเมืองที่ดูเหมือนปกติกลับหมุนกงล้อกลับไปยังจุดที่สังคมไทยเคยเผชิญ นั่นคือการที่พรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามครรลองของประชาธิปไตย แม้ว่าพรรคการเมืองดังกล่าวได้ร่วมมือกับพรรคอื่นๆ จนสามารถรวมกันเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราฎรได้แล้วก็ตาม หากถูกขัดขวางจากกลุ่มอำนาจที่ตกค้างมาจากการรัฐประหาร 2557 ไม่ว่าจะเป็น องค์กรอิสระ วุฒิสภา หรือศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ
ผลการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีของที่ประชุมรัฐสภา ร่วมกันทั้ง สส. และ สว. เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ยืนยันให้เห็นว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย อีกด้านหนึ่งก็แตกต่างจากระบอบผสม (mixed regime)[2] หมายถึง การที่อำนาจของประชาชนยังได้รับการยอมรับผ่านการเลือกตั้ง เพียงแต่ว่ายังมีสถาบันหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญคอยเหนี่ยวรั้งทานอำนาจนั้น
กรณีการพยายามจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นราว 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 สะท้อนให้เห็นว่าเสียงจากการเลือกตั้ง ไม่ได้รับการเคารพ โดยเห็นได้จากท่าทีของวุฒิสมาชิกบางคนที่แสดงบทบาทที่มากกว่าการรับรองผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี กลับอภิปรายระบุไปถึงว่านโยบายอะไรที่ สส. ควรทำหรือไม่ควรทำ พรรคร่วมรัฐบาลควรจะประกอบไปด้วยพรรคการเมืองลักษณะอย่างไร
ที่สุดการลงมติในวันที่ 19 ก.ค. 2566 ว่าด้วยญัตติการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ก็นำมาสู่ความผิดพลาดครั้งสำคัญของรัฐสภา นั่นคือการตีความให้ข้อบังคับรัฐสภาเหนือกว่าตัวบทรัฐธรรมนูญ เพื่อมิให้มีการเสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้รับการเสนอชื่อเพื่อลงมติเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่สอง ในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำสั่งให้นายพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่จากการรับคำร้องของ กกต. ในกรณีมีหุ้นในกิจการสื่ออันเป็นไปด้วยข้อกังขาถึงความโปร่งใสและกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง
แม้ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม อันได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่ จะสามารถรวมจำนวน สส. ได้ถึง 312 คน คิดเป็นสัดส่วนที่นั่งร้อยละ 62.4 เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพ ซึ่งมากกว่ารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในปี 2562 อย่างชัดเจน แต่ทว่ากลับถูกขัดขวางด้วยจำนวนเสียงวุฒิสมาชิกที่มีผู้สนับสนุนมติมหาชนเพียง 13 คน จาก สว. ทั้งสิ้น 250 คน ทำให้มีจำนวนไม่เกิน 375 คน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
เราคงไม่ต้องกล่าวถึงที่มาของวุฒิสภา ที่ถูกออกแบบอย่างแสนประหลาด เพราะการอนุญาตให้วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีสิทธิลงมติรับรองนายกรัฐมนตรี เป็นสิ่งที่ประเทศที่ปกครองด้วยระบบรัฐสภาทั่วโลกไม่ทำ จึงเป็นที่จับตาว่า รัฐบาลที่ยังไม่เกิดหลังการเลือกที่มีประชาชนออกมาใช้สิทธิมากเป็นประวัติการณ์ครั้งนี้จะลงเอยเช่นไร
ปกป้องความชอบธรรมทางออกของประเทศ
กล่าวกันว่าหัวใจสำคัญในการปกครองของระบบรัฐสภา อันเป็นหลักการหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้ในทางการเมืองยุคสมัยใหม่ นั่นคือ “ความชอบธรรมทางการเมือง” (political legitimacy) ซึ่งหมายถึงสิทธิอันชอบธรรม อันเป็นพื้นฐานในการยอมรับสิทธิอำนาจในทางปกครอง[3] ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีรูปแบบรัฐสภานี้ การเลือกตั้งนับว่าเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่มีพัฒนาการนับร้อยปี ก่อนจะมีพัฒนาการต่อเนื่องและขยายสิทธิก้าวหน้าไปถึงคนทุกกลุ่มในสังคม
และแม้ว่าสังคมไทยจะติดอยู่กับกับดักของการรัฐประหาร 13 ครั้ง หรือการปกครองในระบอบเผด็จการที่มีระยะถึง 2 ใน 3 แต่ถึงอย่างไรก็ตามนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา การเลือกตั้งก็นับเป็นกิจกรรมที่ขาดไม่ได้ เพื่อให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยเลือกรัฐบาลของตัวเองขึ้นมาบริหารประเทศ[4]
ตารางที่ 1 คะแนนระบบบัญชีรายชื่อ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566[5]
รายชื่อบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี | พรรคการเมือง | คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อ |
---|---|---|
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | ก้าวไกล | 14,438,851 |
แพทองธาร ชินวัตร เศรษฐา ทวีสิน ชัยเกษม นิติสิริ |
เพื่อไทย | 10,962,522 |
ประยุทธ์ จันทร์โอชา พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค |
รวมไทยสร้างชาติ | 4,766,408 |
อนุทิน ชาญวีรกูล | ภูมิใจไทย | 1,138,202 |
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ | ประชาธิปัตย์ | 925,349 |
ประวิตร วงษ์สุวรรณ | พลังประชารัฐ | 537,625 |
ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่ามีประชาชนออกมาใช้สิทธิมากที่สุดในการเลือกตั้งที่เคยเกิดขึ้นในไทยแล้ว ผลการเลือกตั้งยังแสดงให้เห็นถึงมติมหาชนที่ชี้ตรงกันว่า ประชาชนปฏิเสธพรรคการเมืองในกลุ่มรัฐบาลเดิมที่สืบทอดอำนาจต่อเนื่องจากการเลือกตั้งในปี 2562
จึงทำให้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมจากสองพรรคใหญ่ (grand coalition) ที่ชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 และ 2 กลายเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากในกระบวนการทางการเมืองของระบบรัฐสภา แต่เคยเกิดขึ้นเช่นกันในหลายประเทศที่ต้องการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
ความชอบธรรมทางการเมืองของเสียงข้างมากในรัฐสภาเช่นนี้ ย่อมกลายไปเป็นพลังในการผลักดันสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า อย่างไรก็ตามท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐของสังคม ข้อจำกัดของการเปลี่ยนผ่านก็ได้เกิดขึ้นระหว่างสิ่งเก่าและสิ่งใหม่ ดังที่ปรากฏในภาษาของอันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci)[6] ที่ว่า
“เมื่อสิ่งเก่ากำลังจะตายไป ขณะที่สิ่งใหม่จะเกิดก็ยังเกิดไม่ได้ ในช่วงผลัดเปลี่ยนเช่นนี้ อาการวิปลาสนานัปการจะปรากฏตัวให้เห็น”
ด้วยความที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะรักษาหลักการทางการเมืองการปกครอง คือความชอบธรรม อันเป็นหัวใจของบ้านเมืองในระยะเปลี่ยนผ่าน
บรรณานุกรม
สื่อออนไลน์
- คณะกรรมการการเลือกตั้ง, รายงานผลการเลือกตั้ง ส.ส. ปี พ.ศ.2566 อย่างเป็นทางการ, [ออนไลน์] เข้าถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
วิทยานิพนธ์
- Prajak Kongkirati. “Bosses, Bullets and Ballots: Electoral Violence and Democracy in Thailand, 1975-2011” Unpublished Ph.D. thesis, Department of Political and Social Change, School of International, Political and Strategic Studies, The Australian National University, 2013
หนังสือภาษาอังกฤษ
- Marc Askew.ed. Legitimacy Crisis in Thailand. (Chiangmai: Silkworm Books, 2010), 1-2.
- Samuel Issacharoff. Fragile Democracies: Contested Power in the Era of Constitutional Courts. (Cambridge: Cambridge University Press, 2015).
[1] จำนวนนี้มาจากรายงานผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของเว็บไซต์คณะกรรมการการเลือกตั้ง โปรดดู คณะกรรมการการเลือกตั้ง, รายงานผลการเลือกตั้ง ส.ส. ปี พ.ศ.2566 อย่างเป็นทางการ, [ออนไลน์] เข้าถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
[2] โดยการอภิปรายกรณีบทบาทของศาลรัฐธรรมนุญเปรียบเทียบทั่วโลก ซึ่งหลายประเทศมีแนวโน้มหันไปสู่ระบอบผสม โดยเฉพาะกรณีของไทยได้ที่ Samuel Issacharoff, Fragile Democracies: Contested Power in the Era of Constitutional Courts, (Cambridge: Cambridge University Press, 2015).
[3] Marc Askew.ed, Legitimacy Crisis in Thailand. (Chiangmai: Silkworm Books, 2010), 1-2.
[4] ประจักษ์ ก้องกีรติ เสนอว่าระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งของไทยเริ่มลงหลักปักฐานจริงๆ นับตั้งแต่ทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา และตำแหน่งทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งกลายมาเป็นช่องทางสำคัญในการขึ้นมามีอำนาจทางการเมือง, โปรดดู Prajak Kongkirati. “Bosses, Bullets and Ballots: Electoral Violence and Democracy in Thailand, 1975-2011” Unpublished Ph.D. thesis, Department of Political and Social Change, School of International, Political and Strategic Studies, The Australian National University, 2013
[5] คณะกรรมการการเลือกตั้ง, รายงานผลการเลือกตั้ง สส. ปี พ.ศ.2566 อย่างเป็นทางการ, https://official.ectreport.com/overview, เข้าถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
[6] นักทฤษฎีการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์การเมืองมาร์กซิสม์ชาวอิตาเลียน
- เลือกตั้ง 2566
- รัฐบาล
- การเมือง
- ภีรดา
- รัฐสภา
- เผด็จการ
- อำนาจนิยม
- รัฐประหาร 2549
- ประชาธิปไตย
- รัฐประหาร 2557
- พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
- พรรคก้าวไกล
- พรรคเพื่อไทย
- พรรคประชาชาติ
- พรรคไทยสร้างไทย
- พรรคเสรีรวมไทย
- พรรคเพื่อไทยรวมพลัง
- พรรคเป็นธรรม
- พรรคพลังสังคมใหม่
- ประยุทธ์ จันทร์โอชา
- เลือกตั้ง 2562
- คณะกรรมการการเลือกตั้ง
- กกต.
- คณะรักษาความสงบแห่งชาติ
- คสช.
- สมาชิกวุฒิสภา
- สว.
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
- สส.
- การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
- ประจักษ์ ก้องกีรติ
- Marc Askew
- Samuel Issacharoff