ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ฐานะของสมุดปกเหลือง วิวาทะ และผลลัพธ์ทางการเมือง

16
เมษายน
2567

ฐานะของ “สมุดปกเหลือง” หรือ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” มีความน่าสนใจทั้งในบริบทประวัติศาสตร์และปัจจุบัน โดยมีการวิเคราะห์ทั้งในเชิงคุณูปการต่อสังคมและเชิงลบต่อระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไทย แต่เมื่อพิจารณามาถึงผลทางเศรษฐกิจและการเมืองกลับพบว่า สมุดปกเหลืองมีคุณูปการต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาแนวคิดสังคมนิยมเศรษฐกิจไปจนถึงการนำหลักเศรษฐกิจบางประการมาวิเคราะห์ว่ามีลักษณะสอดรับกับแนวทางรัฐสวัสดิการ แล้วปรับใช้กับนโยบายของพรรคการเมือง

บทความนี้จะชี้ให้เห็นการวิเคราะห์ วิวาทะ และผลของเค้าโครงการเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างเปิดกว้างเพื่อให้มีการนำไปศึกษาหรือกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจว่าอะไรคือ “สมุดปกเหลือง” ผ่านบริบททางการเมืองและประวัติศาสตร์นิพนธ์เป็นหลัก

ฐานะของสมุดปกเหลือง  : หลักการ เจตนารมณ์ และข้อควรสังเกต

ฐานะของสมุดปกเหลืองเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์สำคัญในยุคระบอบใหม่ภายหลังการอภิวัฒน์ 2475 ถือเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกและฉบับเดียวที่จัดทำขึ้นภายใต้หลักการแบบสังคมนิยมจึงทำให้เกิดวาทกรรมเกี่ยวกับสมุดปกเหลืองแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม 

กลุ่มที่ 1 คือ สมาชิกคณะราษฎรหัวก้าวหน้าที่มีแนวทางการวางแผนเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญและระบบรัฐสภา เช่น นายปรีดี พนมยงค์ นายทวี บุณยเกตุ และ ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ เป็นต้น

กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มอำนาจเดิม ชนชั้นนำ และทหารที่สนใจแนวทางเศรษฐกิจแบบระบอบเก่าและทุนนิยมเสรี เช่น พระยามโนปกรณ์นิติธาดา และพระยาทรงสุรเดช

สมุดปกเหลืองจึงเป็นเค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับแรกและฉบับเดียวในสังคมไทยที่ทำให้เกิดการปะทะทางอุดมการณ์ระหว่างสังคมนิยมและทุนนิยมทางเศรษฐกิจ และการสร้างวาทกรรมว่าสังคมนิยมคือคอมมิวนิสต์ หรือมีแนวปฏิบัติเดียวกันกับคอมมิวนิสต์ และความคิดสังคมนิยมทุกประเภทล้วนเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งสิ้นซึ่งไม่เหมาะกับสังคมไทยจนนำไปสู่การรัฐประหารด้วยพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎรของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พุทธศักราช 2476 ขึ้นเป็นครั้งแรกที่มีความตั้งใจหลักคือ กำจัดนายปรีดี พนมยงค์ แต่วาทกรรมนี้กลับมีผลจนถึงปัจจุบันนั่นคือ การเหมาะรวมว่าอุดมการณ์สังคมนิยมทุกประเภทคือแนวทางเดียวกับความคิดแบบพรรคคอมมิวนิสต์

เจตนารมณ์ของสมุดปกเหลืองยังเป็นการวางแผนเศรษฐกิจของรัฐบาลสมัยคณะราษฎรที่ให้ความสำคัญกับการปูทางให้ราษฎรเข้ามามีสิทธิ์และมีส่วนรวมในการจัดการเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติที่สำคัญคือ ต้องการให้สยามมีเอกราชทางเศรษฐกิจโดยจัดกสิกรรมและอุตสาหกรรมให้มีขึ้นภายในประเทศอย่างเพียงพอ และสอดรับกับปณิธานของนายปรีดีที่แถลงไว้ในหมวดที่ 1 ของสมุดปกเหลืองว่า

“ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาที่จะเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์ ซึ่งเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแต่เปลือกนอกเท่านั้น ข้าพเจ้ามุ่งสาระสำคัญคือ ‘บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร’ และถือว่ารัฐธรรมนูญเปรียบประดุจกุญแจที่ไขประตูเปิดช่องทางให้ราษฎรได้มีส่วนมีเสียงในการปกครองให้จัดถูกต้องตามความต้องการของตนและเมื่อประตูที่กีดกั้นอยู่ได้เปิดออกแล้ว รัฐบาลก็จะต้องนำราษฎรผ่านประตูนั้น เข้าไปสู่ชัยภูมิแห่งความสมบูรณ์” 

และสมุดปกเหลืองยังมีข้อควรสังเกตเรื่องวัตถุประสงค์ที่สำคัญนอกจากการบรรลุภารกิจตามหลัก 6 ประการแล้วยังมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การวางรากฐานเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง

จุดตั้งต้นและบริบทการเมืองของเค้าโครงการเศรษฐกิจ หรือสมุดปกเหลือง

ระบอบใหม่หลังการอภิวัฒน์ 2475 ของคณะราษฎรได้ปกครองโดยยึดหลัก 6 ประการที่ระบุไว้ในประกาศคณะราษฎร และผู้แทนราษฎรต้องกล่าวคำปฏิญาณตามหลักนี้ตั้งแต่ในการประชุมสภาผู้แทนครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475[1] โดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ให้ความสำคัญแก่หลักข้อที่ 3 “จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”[2] ค่อนข้างมาก และได้กล่าวไว้ว่า “ความคิดในทางอภิวัฒน์ของข้าพเจ้ามีพื้นฐานอยู่บนเศรษฐกิจ”

จากแนวคิดของคณะราษฎรและนายปรีดีที่มุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่สังคมเผชิญอยู่ในสมัยรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นพื้นฐานทำให้หลังการอภิวัฒน์รัฐบาลมีความตื่นตัวการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ตกค้างมาจากระบอบเก่าทันทีนับตั้งแต่ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2475 มีการลดภาษีที่ดินสำหรับปลูกข้าวลง 50 เปอร์เซ็นต์ ยกเลิกการเก็บภาษีอากรบางประเภท ประกาศพระราชบัญญัติยกเลิกอากรนาเกลือ ประกาศพระราชบัญญัติยกเลิกภาษีสมพัตสร ปรับปรุงภาษีการธนาคารและประกันภัย ประกาศลดพิกัดเก็บเงินค่านา ลดภาษีโรงเรียนในที่ดิน ประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกร การลดและเลิกอัตราเก็บเงินค่าสวน การออกพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา และพระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางาน

กระทั่งมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลจัดทำโครงการเศรษฐกิจ มีกระทู้ถามถึงโครงการเศรษฐกิจทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชนจนต่อมานายมังกร สามเสน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอ “โครงการณ์ เศรษฐกิจ พาณิชยการ กสิกรรม และอุตสาหกรรม”[3] ต่อสภาฯ แต่รัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาไม่ได้ตอบรับโครงการฯ ดังกล่าว

 


คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับที่นายปรีดี พนมยงค์ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีครั้งแรก จำนวน 200 ฉบับ

 

ต่อมารัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้นายปรีดีเป็นผู้ร่างโครงการเศรษฐกิจมาเสนอแก่รัฐบาล[4] เมื่อนายปรีดีจัดทำคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจแล้วเสร็จจึงส่งให้แก่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาและนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารับรองก่อนเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

การประชุมเรื่องคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีมีขึ้นสองครั้ง ดังนี้

การประชุมเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้รับคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) ก็เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีบางคนอย่างไม่เป็นทางการและไม่ครบองค์ประชุมฯ หลังการหยั่งเสียงและถกเถียงแล้ว ปรากฏผลว่าพระยามโนปกรณ์นิติธาดา, พระยาศรีวิสารวาจา และพระยาราชวังสัน ไม่เห็นด้วยกับคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีจึงเก็บร่างฯ นี้ไว้ และเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) คณะรัฐมนตรีจึงประชุมปรึกษากันเพื่อลงมติให้ตั้งกรรมาธิการพิจารณาคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจ โดยให้นายปรีดีเข้าชี้แจ้งและนำเสนอในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า)

 

กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี วังปารุสกวัน

วันที่ 9 มีนาคม พุทธศักราช 2475

เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรียน พระยามโนปกรณ์นิติธาดา

ด้วยคณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ศกนี้ ลงมติให้ตั้งกรรมาธิการพิจารณาโครงการณ์เศรษฐกิจซึ่งหลวงประดิษฐ์มนูธรรมจะได้เป็นผู้เสนอ มีรายนามดั่งต่อไปนี้ คือ

  1. พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
  2. พระยาศรีวิสารวาจา
  3. นายพลเรือโท พระยาราชวังสัน
  4. นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช
  5. หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
  6. หลวงเดชสหกรณ์
  7. นายประยูร ภมรมนตรี
  8. นายแนบ พหลโยธิน
  9. หม่อมเจ้าสกลวรรณกร วรวรรณ
  10. หลวงเดชาติวงศ์วรารักษ์
  11. หลวงคหกรรมบดี
  12. นายทวี บุณยเกตุ
  13. นายวิลาศ โอสถานนท์
  14. หลวงอรรถสารประสิทธิ์ เลขานุการ

กำหนดการประชุมครั้งแรก วันอาทิตย์ 12 มีนาคม ศกนี้ เวลา 8 นาฬิกา ณ วังปารุสกวัน

ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(ลงนาม) หลวงเดชสหกรณ์
รั้งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี”[5]

 

การประชุมเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2 แต่เป็นการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 1 ในวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พุทธศักราช 2475 (นับตามปฏิทินเก่า)[6] โดยเปิดการประชุมเวลา 8.20 น. มีผู้เข้าประชุมคือ กรรมาธิการพิจารณาโครงการเศรษฐกิจจำนวน 14 ราย ตามที่ตั้งขึ้นในการประชุมฯ ครั้งที่ 1 และนายปรีดีได้แถลงที่มาและข้อควรระลึกจากเอกสารคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจในการประชุมฯ ครั้งนี้ไว้อย่างละเอียด

 


ข้อที่ควรระลึกในการอ่านคำชี้แจงนี้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับที่นายปรีดี พนมยงค์
นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี

 

จากการประชุมฯ ครั้งนี้ทางนายปรีดีถามเชิงรุกให้ที่ประชุมตกลงว่า จะเอาอย่างไรให้แน่นอนแต่ฝ่ายพระยามโนปกรณ์นิติธาดาก็เบี่ยงบ่ายด้วยความคิดที่ว่าโครงการนั้นจะดำเนินการไม่ได้ และพระยาทรงสุรเดชระบุว่าถ้าหากนายปรีดีจะประกาศโครงการเศรษฐกิจในนามของตนเองจะเหมาะสมกว่าโดยอย่าทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าเป็นของรัฐบาล

และผู้เข้าร่วมประชุมฯ มีความเห็นแบ่งออกเป็นสองทางคือ ฝ่ายสนับสนุนเค้าโครงการเศรษฐกิจ และ ฝ่ายที่คัดค้าน โดยมีผู้ลงมติเห็นชอบต่อเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติของนายปรีดี จำนวน 8 เสียง ได้แก่ นายปรีดี, หลวงเดชสหกรณ์, นายแนบ พหลโยธิน, ม.จ.สกลวรรณกร วรวรรณ, หลวงคหกรรมบดี, หลวงเดชาติวงศ์วราวัฒน์, นายทวี บุณยเกตุ และนายวิลาศ โอสถานนท์ และมีผู้ที่คัดค้าน จำนวน 4 เสียง ได้แก่ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พล.ร.ท.พระยาราชวังสัน, พระยาศรีวิสารวาจา และพ.อ.พระยาทรงสุรเดช กลุ่มนี้ยังเสนอร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่เตรียมไว้อย่างคร่าวๆ ต่อที่ประชุมอีกด้วย และมีอีก 2 เสียง คือนายประยูร ภมรมนตรี และหลวงอรรถสารประสิทธิ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการจึงมิได้ออกเสียง

ในวันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) พระยานิติศาสตร์ไพศาลได้สอบถามถึงเรื่องโครงการเศรษฐกิจและคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี โดยพระยาราชวังสันหนึ่งในกรรมานุการฯ ที่เข้าร่วมการประชุมฯ พิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจกล่าวตอบว่ากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาและจะมีการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง[7]

ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจครั้งแรกในวันที่ 25 มีนาคม 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) นั้นนายปรีดีมีหนังสือไปถึงพระยาทรงสุรเดชลงวันที่ 24 มีนาคม 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) เพื่อยินยอมให้มีการผ่อนผันในเค้าโครงการเศรษฐกิจของตนตามข้อตำหนิของพระยาทรงสุรเดช 3 ประการ ได้แก่

1. ไม่ประสงค์ให้มีการบังคับซื้อที่ดิน คือประสงค์ให้ซื้อโดยสมัคร หรือ โดยขึ้นภาษีทางอ้อม

2. ไม่ประสงค์บังคับให้คนเข้ามาเป็นลูกจ้างของสหกรณ์ทั้งหมด คือ ประสงค์ให้เป็นโดยสมัคร

3. ประสงค์ให้ทำเป็นส่วนๆ ตามกำลังของเราที่มีซึ่งจะทำได้

นายปรีดีชี้แจงว่า “ผมได้ยอมผ่อนและได้ชี้แจงไว้แล้ว ฉะนั้น เมื่อประสงค์จะใช้โครงการเศรษฐกิจที่ผมได้เสนอไว้ และแก้ข้อความ 3 ประการนี้ ผมก็ยอมรับและขอให้ได้ประกาศตามที่แก้ไขให้อยู่ในเค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ เมื่อแก้แล้ว เราจะได้ให้หลักการแก่สภาเศรษฐกิจแห่งชาติถูกเพื่อสภาจะได้ยกร่างโครงการพิสดารขึ้น และตั้งหน้าทำงานไปในหลักอันเดียวกัน มิฉะนั้น จะต้องโต้เถียงหลักการกันเรื่อยไปทำให้การงานเดินไปไม่เรียบร้อย”

หากทางคณะรัฐมนตรีได้จัดการประชุมเพื่อพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจขึ้นอีกในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) แต่เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นโดยไม่มีการลงมติเพราะว่าที่ประชุมฯ ให้รอการกลับมาของพระยาพหลพลพยุหเสนาเสียก่อนเพื่อหวังผลว่าจะมีการประนีประนอมกันได้แต่ความขัดแย้งเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจกลับยกระดับไปสู่จุดแตกร้าวจนถึงขึ้นที่นายปรีดีขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีแต่พระยามโนปกรณ์คัดค้าน ทำให้นายปรีดีเสนอทางเลือกว่าจะอยู่ร่วมรัฐบาลแต่ขอให้เค้าโครงการเศรษฐกิจของตนเผยแพร่ในทางใดทางหนึ่งโดยมีพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเข้ามาไกล่เกลี่ยว่าไม่ต้องประกาศนโยบายเศรษฐกิจของทุกฝ่ายและให้เลือกนโยบายที่ดีไปจัดทำแผนเศรษฐกิจ

สามวันถัดมาในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจนี้อีกครั้งและทางพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้นำบันทึกพระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7 เกี่ยวกับเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ มาเสนอต่อที่ประชุมทำให้ความขัดแย้งยุติลงในท้ายที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ลงมติรับเอานโยบายเศรษฐกิจของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนโยบายของรัฐบาล โดยมีผู้ออกเสียงสนับสนุน 11 เสียง

และลงมติว่าจะไม่ประกาศต่อสาธารณะว่า นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลคือ นโยบายเศรษฐกิจของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาจะเห็นได้ว่าข้อยุติเรื่องนโยบายเศรษฐกิจและเค้าโครงการเศรษฐกิจได้มีการลงมติในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) ซึ่งเป็นไปตามเสียงข้างมากและนายปรีดียังไม่ได้ลาออกจากรัฐมนตรีหรือเคลื่อนไหวอื่นอีกจนถึงวันที่ 31 มีนาคม กลับเป็นฝ่ายของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาที่นำทหารเข้ามาคุมสภาฯ และรัฐประหารครั้งแรกด้วยการปิดสภาฯ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476[8]

 

ฐานะและสาระสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจหรือสมุดปกเหลือง

 


เค้าโครงการเศรษฐกิจหรือสมุดปกเหลืองจัดพิมพ์ในทศวรรษ 2490

 

ฐานะของเค้าโครงการเศรษฐกิจหรือสมุดปกเหลืองในสังคมไทยคือ การเสนอความคิดเศรษฐกิจแบบโซเชียลลิสม์โดยนายปรีดีมีพื้นฐานความคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองมาจาก Charles Gide และ Charles Rist. นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส[9]จากครั้งที่ลงเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ในปารีส ประเทศฝรั่งเศส

“สมุดปกเหลือง” มีเนื้อหา 3 ส่วน ส่วนแรกคือ เค้าโครงการเศรษฐกิจ ส่วนที่สองคือ เค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (Assurance Sociale) และส่วนที่สามคือ เค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ พุทธศักราช...

และ แบ่งเนื้อหาออกเป็น 11 หมวด ได้แก่

  1. ประกาศของคณะราษฎร เน้นข้อที่ 3 ของหลัก 6 ประการ
  2. ความไม่เที่ยงแท้แห่งการเศรษฐกิจ
  3. การประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร
  4. แรงงานที่สูญเสียไปและพวกหนักโลก
  5. วิธีซึ่งรัฐบาลจะหาที่ดิน แรงงาน เงินทุน
  6. การจัดทำให้รายได้และรายจ่ายของรัฐบาลเข้าสู่ดุลยภาพ
  7. การแบ่งงานออกเป็นสหกรณ์
  8. รัฐบาลจะจัดให้มีการเศรษฐกิจชนิดใดบ้างในประเทศ
  9. การป้องกันความยุ่งยากในปัญหาเรื่องนายจ้างกับลูกจ้าง
  10. แผนเศรษฐกิจแห่งชาติ และ
  11. ผลสำเร็จอันเกี่ยวแก่หลัก 6 ประการ

อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ ได้ชี้ให้เห็นถึงสาระสําคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจไว้ 10 ประการ[10] ดังนี้

 

สาระสําคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจ

อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ

  1. ด้วยเหตุแห่งความไม่เที่ยงแท้แห่งการดํารงชีวิต เช่น การเจ็บป่วยหรือพิการ ทํางานไม่ได้ ทําให้ราษฎรทุกคนควรได้รับการประกันความสุขสมบูรณ์จากรัฐบาลตั้งแต่เกิดจนสิ้นชีพว่าจะได้ปัจจัยแห่งการดํารงชีวิต เนื่องจากเหลือวิสัยที่เอกชนจะทําได้หรือหากทําได้ราษฎรจะต้องเสียค่าประกันแพงจึงจะคุ้ม โดยรัฐบาลไม่ต้องเก็บเบี้ยประกันภัยจากราษฎรโดยตรง แต่อาจจัดให้แรงงานใช้ประโยชน์มากขึ้น หรือการเก็บภาษีทางอ้อม
  2. การประกันความสุขสมบูรณ์ ต้องออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกัน ความสุขสมบูรณ์ของราษฎรกําหนดให้เป็นหน้าที่รัฐที่จะต้องจ่ายเงินให้ราษฎรทุกคนเป็นจํานวนพอที่จะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการในการดํารงชีวิต (มีการเขียนรายละเอียดในเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร)
  3. การที่รัฐบาลจ่ายเงินเดือนเพื่อประกันความสุขสมบูรณ์ให้ราษฎรนั้นจําเป็นที่รัฐบาลจะต้องเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง (มีการเขียนรายละเอียดในเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบการเศรษฐกิจ) และมีข้อยกเว้นให้เอกชนประกอบการ เศรษฐกิจกรณีได้รับสัมปทานจากรัฐบาล ทั้งนี้เนื่องจากราษฎรไม่มีทุนและที่ดินเพียงพอ “แรงงานเสียไปไม่ได้ใช้เต็มที่” (ชาวนาทํางานปีหนึ่งไม่เกิน 6 เดือน ทําให้เวลาที่เหลือสูญเสียไป) และการปล่อยให้เอกชนต่างคนต่างทําจะทําให้ใช้แรงงานสิ้นเปลืองกว่าการรวมกันทำ และหากรัฐประกอบการเศรษฐกิจโดยนําเครื่องจักรกลมาใช้จะส่งผลดี ไม่ส่งผลเสียดังเช่นให้เอกชนประกอบการที่การนําเครื่องจักรกลนํามาใช้จะส่งผลให้คนไม่มีงานทําหากรัฐประกอบการเองจะสามารถสร้างงานอื่นให้กับผู้ไม่มีงานทําได้
  4. วิธีการจัดหาที่ดิน แรงงาน และทุน เพื่อใช้ในการประกอบการเศรษฐกิจของรัฐ

    ที่ดิน รัฐบาลจะซื้อที่ดินกลับคืนจากเจ้าของที่ดิน (เฉพาะที่ดิน ที่นา ที่ใช้ ประกอบการเศรษฐกิจ ไม่รวมที่อยู่อาศัย) รัฐบาลอาจออกใบกู้ให้เจ้าของที่ดินตามราคาที่ดิน และรัฐบาลกําหนดให้เงินผลประโยชน์แทนดอกเบี้ย โดยเจ้าของที่ดินยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน การซื้อที่ดินกลับมานี้เป็นวิธีที่ต่างกับวิธีริบทรัพย์ของคอมมิวนิสต์ เมื่อรัฐบาลได้ที่ดินกลับคืนมาจะได้สามารถวางแผนการใช้ที่ดิน การใช้เครื่องจักรกล การทําคูน้ําทําได้ง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก

    แรงงาน รัฐบาลให้ราษฎรที่อยู่ในวัยแรงงาน (18 ปี ขึ้นไป) เป็นข้าราชการเพื่อให้ แรงงานใช้ประโยชน์ได้ตลอดปี รัฐบาลกําหนดให้ราษฎรทํางานตามคุณวุฒิและความสามารถเงินเดือนแตกต่างกันตามคุณวุฒิแต่กําหนดเงินเดือนขั้นต่ําสุดที่พอเพียงแก่การดํารงชีพ และยกเว้นให้บางคนไม่ต้องรับราชการ เมื่อแสดงให้เห็นว่าสามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้

    ทุน รัฐบาลจัดหาทุน โดยไม่ริบทรัพย์ของเอกชน แต่จะหาทุนโดยวิธีอื่น ได้แก่ การเก็บภาษี เช่น ภาษีมรดก ภาษีรายได้ หรือภาษีทางอ้อม การออกสลากกินแบ่ง การกู้เงิน และการหาเครดิต
  5. ในเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบการเศรษฐกิจ ได้เสนอการจัดให้มีธนาคารแห่งชาติ โดยเอาเงินทุนสํารองและรัฐบาลและเงินกู้จากเอกชนมาเป็นทุนของธนาคารแห่งชาติ
  6. การรับรองกรรมสิทธิ์ของเอกชน ให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์ซึ่งเอกชนหามาได้ และยอมรับกรรมสิทธิ์แห่งการคิดประดิษฐ์คิดค้นของบุคคล
  7. การจัดให้รายจ่ายและรายได้เข้าสู่ดุลยภาพ ทั้งดุลยภาพภายในและดุลยภาพระหว่างประเทศ
  8. การที่รัฐบาลจะเป็นผู้ประกอบการเศรษฐกิจที่มีพลเมืองกว่า 11 ล้านคน เช่น ประเทศไทย จําเป็นต้องแบ่งการประกอบการเศรษฐกิจเป็นสหกรณ์ต่างๆ โดยสมาชิก รวมกันประกอบการเศรษฐกิจครบรูป คือ ร่วมกันประดิษฐ์ จําหน่าย ขนส่ง จัดหาของ อุปโภคให้แก่สมาชิก และร่วมกันในการสร้างสถานที่อยู่ โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกที่ดินและ ทุน และสมาชิกสหกรณ์เป็นผู้ออกแรง ทั้งนี้การจัดให้สหกรณ์มีการปกครองตามแบบเทศบาลย่อมทําได้สะดวก
  9. รัฐบาลต้องถือหลักว่าจะต้องจัดการกสิกรรมและอุตสาหกรรมทุกอย่างให้มีขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยต่างประเทศ เพื่อป้องกันอันตรายจากการปิดประตูทางการค้าเพื่อให้ประเทศมีเอกราชในทางเศรษฐกิจ
  10. การจัดทําแผนเศรษฐกิจแห่งชาติ ให้มีสภาทําหน้าที่วางแผนเศรษฐกิจแห่งชาติเกี่ยวกับกสิกรรม อุตสาหกรรม ขนส่งและคมนาคม การจัดสร้างที่อยู่ให้ราษฎรและการแยกงานออกให้สหกรณ์ต่างๆ โดยคํานวณสืบสวนหาความต้องการปัจจัยแห่งการ ดํารงชีวิต และประมาณการปัจจัยที่ดิน แรงงาน ทุนที่ต้องใช้แผนเศรษฐกิจแห่งชาตินี้ กําหนดประมาณการว่าปีหนึ่งรัฐบาลจะทําได้อย่างไร และแจ้งผลการกระทําต่อมหาชนทุกสัปดาห์

 

ขณะที่นายวิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร[11] กล่าวถึงความมุ่งมาดปรารถนาในการอภิวัฒน์สยามของนายปรีดีไว้ว่ามีเป้าประสงค์สำคัญ 3 ประการโดยประการที่ 3 เกี่ยวกับการเศรษฐกิจ ได้แก่

1. สถาปนาระบอบการปกครองที่จะยืนยงเป็นฐานรากของบ้านเมืองไปนาน แสนนาน คือการปกครองในระบอบ “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งราษฎรมีส่วนร่วมในการคัดเลือกให้ความเห็นชอบผู้บริหารประเทศอันเป็นของราษฎรและบริหารประเทศเพื่อราษฎร โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันศาสนาเป็นหลักค้ําจุน.

2. สถาปนารัฐไทยที่มีความก้าวหน้า ทันสมัย และเป็นสากลในทุกๆ มิติ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจ, การบริหารราชการ, การจัดการเงินการคลังที่สุจริตและมีประสิทธิภาพ, การให้การศึกษาและการสาธารณสุขอย่างครบถ้วนและทั่วถึง, การมีกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นขื่อแปของบ้านเมือง, การให้สิทธิและความเสมอภาคแก่ราษฎร, และการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยให้บังเกิดสันติสุข. ยิ่งกว่านั้น จะต้องสร้างพลเมืองให้มีคุณภาพบนพื้นฐานของหลักคิดและจิตสํานึกที่ถูกต้องและเป็นอารยะ.

3. สถาปนาหลักประกันความมั่นคงในชีวิตของราษฎรทุกคน ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มารดาจนถึงเชิงตะกอนเมื่อชีวิตถึงที่สุด ซึ่งได้แก่ความปลอดภัย, การศึกษา, สวัสดิการสังคมอย่างสมบูรณ์, และการมีงานทําและรายได้อย่างเป็นธรรมและเพียงพอตามอัตภาพ.

และ เสนอแนวความคิดทางเศรษฐกิจของนายปรีดีไว้ 5 ประการ ดังนี้

 

แนวความคิดทางเศรษฐกิจของ ปรีดี พนมยงค์

วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร

เป้าประสงค์ของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ สําหรับเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย ก็คือ “ความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” อย่างทั่วถึงและถ้วนหน้า ซึ่งหมายถึง “ความพอเพียง” ในบรรดา “ชีวปัจจัย” ต่างๆ ที่เป็นรากฐานของความสุขในชีวิต. ในการให้บรรลุถึงเป้าประสงค์ดังกล่าว, การบริหารนโยบายเศรษฐกิจของชาติจะต้องประกอบด้วยแนวความคิด 5 ประการ คือ

1. เศรษฐกิจความมั่นคงแห่งชาติ หมายถึงนโยบายเศรษฐกิจที่ยึดถือเอกราชและอธิปไตยของชาติเป็นหลัก โดยไม่กระทําการใดๆ, แม้นว่าการนั้นจะนํามาซึ่งความมั่งคั่งและเติบโต, ที่จะมีผลกระทบต่อเอกราชและอธิปไตยของชาติ.

2. เศรษฐกิจสหกรณ์ในชนบท เนื่องจากความสุขสมบูรณ์อย่างทั่วถึงและถ้วนหน้า ของราษฎรในพื้นที่ชนบทมีความสําคัญสูงสุดในการบริหารเศรษฐกิจของชาติ ดังนั้นโครงสร้างเศรษฐกิจ ในพื้นที่ดังกล่าวจึงต้องมีลักษณะที่เป็นการร่วมมือร่วมใจดําเนินการเศรษฐกิจของเกษตรกรที่มีรายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย อันก่อให้เกิดหนี้สิน, ในการผลิต, ในการตลาด, และในการบริโภค, โดยพิจารณาขยายกระบวนการผลิตและการสร้าง “มูลค่าเพิ่ม”, ทั้งนี้โดยปราศจากอิทธิพลครอบงําของทุนนิยม, ในขณะที่ภาครัฐให้ความสนับสนุนด้านโครงสร้างเศรษฐกิจพื้นฐานและการวิจัยและพัฒนา.

3. เศรษฐกิจประชาธิปไตย หมายถึงการกระจายบรรดา “ปัจจัยการผลิต” อันได้แก่ ที่ดิน, ทรัพย์สินและเงินทุน, และเทคโนโลยี มิให้กระจุกตัวอยู่ในความครอบครองของบุคคลกลุ่มใด, ในขณะที่การจัดสรรส่วนแบ่งใน “มูลค่าเพิ่ม” ที่เกิดจากการผลิต มีความเป็นธรรม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ. เศรษฐกิจประชาธิปไตยจะเป็นฐานรากรองรับสังคม/การเมืองประชาธิปไตย.

4. เศรษฐกิจสวัสการสังคม โดยที่ราษฎรทุกคนจะต้องมีหลักประกันสวัสดิภาพในทุกมิติ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนกระทั่งถึงเชิงตะกอน, ดังนั้นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจระดับชาติจึงจําเป็นจะต้องให้ความรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ราษฎรทุกคนเข้าถึงสวัสดิการสังคมที่ทั่วถึงและมีประสิทธิผล.

5. เศรษฐกิจเทคโนโลยี หมายถึงการพัฒนาขีดความสามารถในการพึ่งตนเองทางเทคโนโลยีเพื่อใช้เพิ่มพลังการผลิตบรรดา “ชีวปัจจัย” สําหรับการดํารงและดําเนินชีวิตของราษฎรอย่างมีความสุขสมบูรณ์, การพึ่งตนเองได้ทางเทคโนโลยีจะเป็นหลักประกันเอกราชและอธิปไตยของชาติทางเศรษฐกิจ.

 

นายวิชิตวงศ์มองว่าหลักเศรษฐกิจทั้ง 5 ประการข้างต้นสะท้อนแนวคิดทางเศรษฐกิจของนายปรีดีทั้งที่ปรากฏอยู่ในเค้าโครงการเศรษฐกิจเมื่อ พ.ศ. 2475 และในข้อคิดข้อเขียนต่างๆ ในกาลต่อมาตราบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต.

 

วิวาทะและผลทางเศรษฐกิจการเมืองของสมุดปกเหลือง



พระบรมราชวินิจฉัย หรือสมุดปกขาวจัดพิมพ์ในทศวรรษ 2490

 

พระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อเค้าโครงการของนายปรีดีหรือต่อมาเรียกว่า สมุดปกขาว นั้นมีใจความหลักที่วิจารณ์ไว้ว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีเป็นโครงการอย่างเดียวกับที่กำลังใช้อยู่ในประเทศรุสเซีย[12]

ขณะที่นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้สรุปความคิดทางเศรษฐกิจของนายปรีดีจากสมุดปกเหลืองว่าได้รับอิทธิพลมาจากหลักโซลิดาริสต์ซึ่งถือว่ามนุษย์ในสังคมเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกัน กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาย่อมเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้ต่อกัน ความยากแค้นของมนุษย์เกิดจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจ สังคมและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำให้ฝูงชนยากจนลงได้ ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนต่างก็มีหนี้ตามธรรมจริยาต่อกัน จำเป็นต้องร่วมประกันภัยต่อกันและกัน และร่วมกันในการประกอบการทางเศรษฐกิจ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในระบบเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ทุกชนชั้นต้องตกอยู่ในสภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้ารัฐไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยจัดระเบียบเศรษฐกิจ และรัฐบาลภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่มีแผนเศรษฐกิจที่แน่นอน รัฐบาลของคณะราษฎรจึงจะแก้ไขข้อบกพร่องนี้เสีย โดยกำหนดโครงการที่อาศัยหลักวิชาของการวางแผนแบบสังคมนิยมซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ และได้วิจารณ์หนังสือท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโสฯ ของเดือน บุนนาค ฉบับพิมพ์ครั้งเมื่อ พ.ศ. 2500

ขณะที่กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัยคือ นายวรพุทธิ์ ชัยนาม ได้เขียนบทความโต้แย้งนายชัยอนันต์ด้วยการเสนอในเชิงบวกต่อความคิดทางเศรษฐกิจของนายปรีดีว่าให้ดูที่เจตนารมณ์และปณิธานว่าต้องการสร้างความสุขสมบูรณ์ให้กับสังคมสยามและเป็นไปตามหลัก 6 ประการ[13]

ส่วนนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ชี้ในแง่บวกต่อเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีว่าได้นำเสนอในสิ่งใหม่ที่สุดของสังคมสยามคือ การที่รัฐบาลจะใช้พันธบัตรซื้อที่ดินสำหรับการเพาะปลูกทั้งหมดยกเว้นที่อยู่อาศัย ส่วนนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล มองว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีมีลักษณะ “ซ้ายจัด” คือ “ซ้าย” ยิ่งกว่าพวกบอลเชวิคในรัสเซียก่อนสมัยสตาลิน[14] จากบริบทประวัติศาสตร์และวิวาทะข้างต้นทำให้เห็นว่ามี “การเมืองเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นความขัดแย้งครั้งแรกระหว่างระบอบเก่าและระบอบใหม่และยังเป็นจุดพลิกผันสำคัญทางการเมืองไทยที่นำไปสู่การพึ่งพาคณะราษฎรสายทหารมากยิ่งขึ้นเพื่อคานอำนาจทางการเมืองกับกลุ่มอำนาจเดิม

 

ท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีจะไม่ได้ประกาศใช้บังคับแต่หลักการ และสาระสำคัญหลายประการจากเค้าโครงการเศรษฐกิจได้กลายมาเป็นรากฐานสำคัญในการวางแผนเศรษฐกิจในเวลาต่อมา เช่น หลักการสหกรณ์ ต่อมามีการจัดตั้งสหกรณ์การหาทุนและที่ดินขึ้นในช่วง พ.ศ. 2478-2480 ซึ่งจัดตั้งขึ้นในหลายจังหวัด เช่น สหกรณ์เช่าซื้อที่ดินที่จังหวัดปทุมธานี สหกรณ์บ้านเกาะจำกัดสินใช้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ และมีการจัดตั้งธนาคารแห่งชาติขึ้นใน พ.ศ. 2483 ตามแนวทางตั้งต้นที่ระบุไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ และมีการตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เพื่อก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงนำรูปแบบบางประการของเค้าโครงการเศรษฐกิจมาใช้ในกรณีการวางแผนเศรษฐกิจแห่งชาติครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2504 ในชื่อแผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2504-2509 หรือต่อมาเรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอีกด้วย[15]

จากรากฐานความคิดในสมุดปกเหลืองยังขยายผลไปสู่การก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ใน พ.ศ. 2477 การหารายได้ให้รัฐบาลด้วยการจัดเก็บภาษีอากรระบบใหม่ที่เป็นธรรมแก่สังคมที่เรียกว่า “ประมวลรัษฎากร” รวมทั้งเก็บภาษีเงินได้ การกอบกู้เอกราชทางเศรษฐกิจ และทางการค้า ใน พ.ศ. 2480 โดยการเปิดเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาทางไมตรีพาณิชย์ และการเดินเรือกับประเทศตะวันตก 15 ประเทศ ซึ่งสยามเคยเสียเปรียบในทางการศาลและเศรษฐกิจมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การจัดตั้งเทศบาลทั่วราชอาณาจักรสยามเพื่อวางรากฐานการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่นและเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดตั้งสหกรณ์ทางเศรษฐกิจ และระบบประกันสังคม

 

หมายเหตุ : คงอักขรวิธีสะกดตามต้นฉบับและเอกสารชั้นต้น

ภาพประกอบ : ราชกิจจานุเบกษา หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และสถาบันปรีดี พนมยงค์

 

บรรณานุกรม

เอกสารชั้นต้น :

  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญ) ครั้งที่ 1/2475 วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, หน้า 1-14.
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. หน้า 169-179.
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 55 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. หน้า 829-834.
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1, วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พุทธศักราช 2475.
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 57 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. หน้า 889-890.
  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (2)สร 0201.22 กล่อง 1 ปึกที่ 2. เอกสารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่อง หนังสือเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม (9 มีนาคม 2475-เมษายน 2476)
  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. บันทึกประกอบคำประท้วงของปรีดี พนมยงค์, (มปท., มปป.)
  • เอกสารอัดสำเนา. วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร และปรีดี พนมยงค์, (มปท., มปป.)
  • เอกสารอัดสำเนา. อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ. รู้จัก “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” แผนแม่บทการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรกของประเทศไทยที่เสนอแนวคิดรัฐสวัสดิการของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก, (มปท., มปป.)

หนังสือ :

  • คณะบรรณาธิการสำนักพิมพ์, บันทึกประวัติศาสตร์ พระปกเกล้าฯ ทรงโต้เศรษฐกิจ นายปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: จิรวรรณนุสรณ์, 2526)
  • เจมส์ ซี. อินแกรม, การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศไทย 1850-1970, แปลโดย ชูศรี มณีพฤกษ์ และเฉลิมพจน์ เอี่ยมกมลา (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552)
  • ชัยอนันต์ สมุทวณิช และขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมืองการปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477 (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518)
  • ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: อักษรสาส์น, 2531)
  • ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2475-2517) (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.ชุมนุมช่าง, 2517)
  • ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2526)
  • ปรีดี พนมยงค์,  เค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม พิมพ์ครั้งที่ 2  (กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ, 2552)
  • มังกร สามเสน, โครงการณ์ เศรษฐกิจ พาณิชยการ กสิกรรม และอุตสาหกรรม (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ใต้เชียง, 2490)
  • สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง (กรุงเทพฯ: 6 ตุลารำลึก, 2544)
  • สุพจน์ ด่านตระกูล, ปรีดีคิด-ปรีดีเขียน (กรุงเทพฯ: มูลนิธิเด็ก, 2543)
  • ฮัต เจสสัน, ลัทธิเศรษฐกิจ พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: สมาคมเศรษฐศาสตร์, 2518)
  • Landon, Kenneath Perry, National Economic Policy of Luang Pradist Manudharm (Pridi Banomyong) from Siam in Transition A Brief Survey of Cultural Trends in the Five Years since thae Revolution of 1932 (Bangkok: Suksit Siam, 1999)

บทความในหนังสือและวารสาร :

  • ชัยอนันต์ สมุทวณิช, “แนะนำและวิจารณ์หนังสือ ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก,” พัฒนบริหารศาสตร์, 9:4, (ตุลาคม 2512), น. 752-764.
  • ปรีชา อารยะ, “เค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์,” สังคมศาสตร์ปริทัศน์, 8:1, (มิถุนายน-สิงหาคม 2513), น. 752-764.
  • ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, “การแสวงหาระบบเศรษฐกิจใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย,” สังคมศาสตร์, 16:2, (เมษายน-มิถุนายน 2522), น. 1-12.

วิทยานิพนธ์ :

  • ชวลิต วายุภักตร์, “การปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศไทย พ.ศ. 2475-2485,” (วิทยานิพนธ์เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2519)
  • Makoto Nambara, “Economic Plans and the Evolution of Economic Nationalism in Siam in the 1930s,” (School of Oriental and African Studies) A thesis submitted for the degree of Doctor of Philosophy of the University of London, 1998)

สื่ออิเล็กทรอนิกส์ :

  • วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. (11 กันยายน 2564). ดูมโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ทาบกับ “เศรษฐศาสตร์ของชาร์ลส์ จิ๊ด”. https://www.silpa-mag.com/history/article_10152. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567.
  • ธิกานต์ ศรีนารา. เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ มนูธรรม. wiki.kpi.ac.th/index.php?title=เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์_มนูธรรม. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567.
  • สฤณี อาชวานันทกุล. (20 มิถุนายน 2560). เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ในสายธารความคิดเศรษฐศาสตร์. https://www.the101.world/pridi-economic-plan/. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567.
  • อรรถสิทธิ์ พานแก้ว. เค้าโครงการเศรษฐกิจ. wiki.kpi.ac.th/index.php?title=เค้าโครงการเศรษฐกิจ. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567.
  • อนุสรณ์ ธรรมใจ. (2 กรกฎาคม 2563). [สรุปประเด็นเสวนา] ‘อนุสรณ์ ธรรมใจ’ ชู โมเดล ‘สมุดปกเหลือง’ แก้พิษเศรษฐกิจ ชี้ ‘ปรีดี’ คือ มันสมองชาติ. https://pridi.or.th/th/content/2020/07/328. เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2567.
  • อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ. (7 พฤษภาคม 2563). มอง “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ในปัจจุบัน.  https://pridi.or.th/th/content/2020/05/244. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567.
  • หลวงประดิษฐ์มนูธรรม. ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ. https://pridi.or.th/th/libraries/1583466113

 


[1] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยสามัญ) ครั้งที่ 1/2475 วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, หน้า 1-5.

[2] ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: อักษรสาส์น, 2531), น. 269-270.

[3] มังกร สามเสน, โครงการณ์ เศรษฐกิจ พาณิชยการ กสิกรรม และอุตสาหกรรม (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ใต้เชียง, 2490)

[4] ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535), น. 19.

[5] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (2)สร 0201.22 กล่อง 1 ปึกที่ 2. เอกสารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่อง หนังสือเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม (9 มีนาคม 2475-เมษายน 2476)

[6] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1, วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พุทธศักราช 2475.

[7] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 57 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. น. 889-890.

[8] ธิกานต์ ศรีนารา. เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ มนูธรรม. wiki.kpi.ac.th/index.php?title=เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์_มนูธรรม. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567.

[9] Makoto Nambara, “Economic Plans and the Evolution of Economic Nationalism in Siam in the 1930s,” (School of Oriental and African Studies) A thesis submitted for the degree of Doctor of Philosophy of the University of London, 1998), pp. 88-97.

[10] เอกสารอัดสำเนา. อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ. รู้จัก “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” แผนแม่บทการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรกของประเทศไทยที่เสนอแนวคิดรัฐสวัสดิการของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก, (มปท., มปป.)

[11] เอกสารอัดสำเนา. วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร และปรีดี พนมยงค์, (มปท., มปป.)

[12] ชัยอนันต์ สมุทวณิช และขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมืองการปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477 (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), น. 236-237.

[13] ธิกานต์ ศรีนารา. เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ มนูธรรม. wiki.kpi.ac.th/index.php?title=เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์_มนูธรรม. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567. ณัฐพล ใจจริง. (10 มีนาคม 2566). วิวาทะของหนังสือเค้าโครงการเศรษฐกิจ และพระบรมราชวินิจฉัยฯ กับการเมืองของการผลิตซ้ำ (ตอนที่ 1). https://pridi.or.th/th/content/2023/03/1452.  เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567., ณัฐพล ใจจริง. (13 มีนาคม 2566). วิวาทะของหนังสือเค้าโครงการเศรษฐกิจ และ พระบรมราชวินิจฉัยฯ กับการเมืองของการผลิตซ้ำ (ตอนจบ). https://pridi.or.th/th/content/2023/03/1452 https://pridi.or.th/th/content/2023/03/1456. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567., ชัยอนันต์ สมุทวณิช, “แนะนำและวิจารณ์หนังสือ ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก,” พัฒนบริหารศาสตร์, 9:4, (ตุลาคม 2512), น. 752-764. และปรีชา อารยะ, “เค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์,” สังคมศาสตร์ปริทัศน์, 8:1, (มิถุนายน-สิงหาคม 2513), น. 752-764.

[14] ธิกานต์ ศรีนารา. เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ มนูธรรม. wiki.kpi.ac.th/index.php?title=เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์_มนูธรรม. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567.

[15] อรรถสิทธิ์ พานแก้ว. เค้าโครงการเศรษฐกิจ. wiki.kpi.ac.th/index.php?title=เค้าโครงการเศรษฐกิจ. เข้าถึงเมื่อ 12 เมษายน 2567.