Focus
- นายสัมผัส พึ่งประดิษฐ์ เขียนถึงบทบาทและผลงานสำคัญทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของนายปรีดี พนมยงค์ ในวาระ 100 ปี ชาตกาลของนายปรีดี เมื่อปี 2543 ตั้งแต่การอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475 จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในปี 2526
๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นวันที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีพระราชอำนาจเด็ดขาดในการปกครองแผ่นดิน มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้กฎหมาย ด้วยการยึดอำนาจการปกครองโดยคณะราษฎร โดยการนำของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) หัวหน้าฝ่ายพลเรือน อันกอปรด้วยทหารบก ทหารเรือ พลเรือน เป็นการสิ้นสุดซึ่งอํานาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเริ่มต้นการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อประเทศชาติและประชาชนไทย ที่ทำให้อำนาจอธิปไตยตกเป็นของประชาชนภายใต้
รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา และวัฒนธรรม อย่างใหญ่หลวง รวมทั้งได้ก่อให้เกิดสถาบันรัฐสภา สถาบันนิติบัญญัติ บริหารบัญญัติ ตุลาการ เศรษฐกิจการเงิน การปกครอง ตลอดจนการมีส่วนร่วมและสิทธิเสรีภาพของประชาชนขึ้นตาม ระบอบประชาธิปไตย ที่ได้พัฒนามาตราบจนกระทั่งปัจจุบัน
การได้มาซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน โดย ประชาชน และเพื่อประชาชน เป็นการได้มาด้วยความเสียสละและด้วยความปรีชาสามารถของคณะผู้ก่อการอภิวัฒน์ในการวางแผนยึดอํานาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจ การยึดอำนาจโดยปราศจากการนองเลือด และแผนการดำเนินการภายหลังการยึดอำนาจไว้ได้แล้ว ซึ่งเริ่มต้นจากคนเจ็ดคน โดยการริเริ่มของนายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ร่วมด้วย ร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี ร้อยโท แปลก ขีตตะสังคะ ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี นายตั้ว ลพานุกรม หลวงสิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี) และนายแนบ พหลโยธิน โดยเมื่อเดินทางกลับประเทศไทยแล้วก็ได้ดำเนินการวางแผนขยาย กำลังการจัดตั้งออกเป็นสายพลเรือนจำนวน ๔๖ คน โดยมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า สายทหารบกจำนวน ๓๒ คน โดยมีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้า และสายทหารเรือ จํานวน ๒๑ คน โดยมีนาวาตรี หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) เป็นหัวหน้า
จากนั้นได้รวมกลุ่มเรียกชื่อว่า “คณะราษฎร” โดยมีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะ ทำการยึดอำนาจการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ อย่างฉับพลันเมื่อเช้าตรู่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ด้วยการอ่านประกาศหรือแถลงการณ์ของคณะราษฎรต่อหน้าทหารและประชาชนพลเรือนที่มาชุมนุมกัน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ประกาศยึดอำนาจการปกครองโดยปราศจากการนองเลือด (ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน)
พร้อมกับการประกาศยึดอำนาจการปกครองตามประกาศของคณะราษฎร ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ร่าง คณะราษฎรก็ได้ประกาศแนวทางหรือนโยบายในการบริหารหรือปกครองประเทศต่อไปด้วยหลัก ๖ ประการ ดังต่อไปนี้
๑. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศให้มั่นคง
๒. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
๓. จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางาน ให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
๔. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
๕. จะต้องให้ราษฎรมีเสรีภาพซึ่งไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการ ดังกล่าวแล้ว
๖. ให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
หลัก ๖ ประการคณะราษฎรที่ได้ประกาศในวันเปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้เป็นหลักนโยบายในการบริหารประเทศ สืบทอดและพัฒนาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ภายหลังการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อบรรลุซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยและหลัก ๖ ประการ คณะราษฎรพร้อมด้วยคณะผู้แทนราษฎรจำนวนเจ็ดคนได้นำธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ร่าง ขึ้นทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ พร้อมทั้งขอพระราชทานพระราชกําหนดนิรโทษกรรมแก่คณะราษฎร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพิจารณาและลงพระปรมาภิไธยในธรรมนูญการปกครองประเทศ โดยทรงเพิ่มเติมคําว่า “ชั่วคราว” ต่อท้ายธรรมนูญการปกครองฯ ให้ใช้ในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ธรรมนูญการปกครองดังกล่าวมี ๓๙ มาตรา โดยแบ่งเป็นหมวดข้อความทั่วไป หมวดพระมหากษัตริย์ หมวดสภาผู้แทนราษฎร หมวดศาล ซึ่งในหมวดที่ ๑ มาตรา ๑ บัญญัติว่า อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎร การใช้อำนาจสูงสุด อันได้แก่ พระมหากษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎรและศาล ให้เป็นไปตามธรรมนูญการปกครองประเทศ การกระทำใด ๆ ของพระมหากษัตริย์ต้องมีกรรมการราษฎร (รัฐมนตรี) ผู้หนึ่งลงนามด้วย
ถือได้ว่าสยามประเทศได้เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ ชั่วคราว ฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ปกครองประเทศเป็นฉบับแรก อันนำมาซึ่งความปีติยินดีของราษฎร ดังปรากฏตามเนื้อเพลง “๒๔ มิถุนายน” ของกรมศิลปากร ตอนหนึ่งดังนี้
“๒๔ มิถุนายน มหาศรีสวัสดิ์ ปฐมฤกษ์ ของรัฐธรรมนูญของไทย เริ่มระบอบแบบอารยะประชาธิปไตย เพื่อราษฎรไทยได้สิทธิเสรี สำราญ สำเริงบันเทิงเต็มที่ เพราะชาติเรามีเอกราชสมบูรณ์ ไทยจะคงเป็นไทย ด้วยร่วมใจเทอดไทยไชโย”
สภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกตามธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ชั่วคราว ฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งพระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้รักษาการพระนคร แต่งตั้งเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ มีจำนวน ๗๐ คน โดยแต่งตั้งจากสมาชิกคณะราษฎร ๓๑ คน และจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในระบอบเดิม ๓๙ คน ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมนัดแรก สภาผู้แทนราษฎรได้กล่าวคำปฏิญาณว่าจะซื่อสัตย์ต่อคณะราษฎรและรักษาไว้ ซึ่งหลัก ๖ ประการให้มั่นคงด้วย
เพื่อให้มีรัฐธรรมนูญปกครองประเทศฉบับถาวร สภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจำนวนเก้าคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับฝ่ายคณะราษฎรซึ่งเป็นส่วนข้างน้อย โดยมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นอนุกรรมการด้วยผู้หนึ่ง การร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจึงเป็นไปในลักษณะประนีประนอมกันระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับฝ่ายคณะราษฎร การร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรของคณะอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ผ่านการเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรและได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ อันเป็นการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ วันที่ ๑๐ ธันวาคม จึงเป็นวัน “รัฐธรรมนูญ” ถือเป็นวันสำคัญของชาติมาจนถึงปัจจุบัน
การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ยังผลให้คณะกรรมการราษฎรซึ่งทำหน้าที่บริหารประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ตามธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ชั่วคราว ฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นอันสิ้นสุดลง โดยมีคณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินซึ่งพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม มีสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือกตั้ง เป็นสมาชิกประเภทหนึ่ง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการแต่งตั้ง เป็นสมาชิกประเภทสอง เหตุผลที่ต้องมีสมาชิกประเภทสองก็เพราะเราเพิ่งมีรัฐธรรมนูญ ความคุ้นเคยในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญยังไม่แพร่หลายทั่วถึง ฉะนั้นจึงให้มีสมาชิกประเภทที่เห็นว่าเป็นผู้คุ้นเคยงานแล้วช่วยพยุงกิจการทำร่วมมือกันไปกับสมาชิกประเภทหนึ่งที่ราษฎรเลือกตั้งมา ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕
นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะรัฐมนตรีลอยในรัฐบาลชุดแรก และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฉบับแรก พ.ศ. ๒๔๗๕ และต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๑ และ ฉบับที่ ๒
ในระหว่างนี้ได้มีเหตุการณ์สำคัญอันก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงและการเปลี่ยนแปลง ในคณะรัฐบาลชุดนี้ ได้แก่การที่นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติเสนอต่อรัฐบาล ซึ่งเค้าโครงการเศรษฐกิจ แห่งชาติที่นายปรีดี พนมยงค์ ร่างเสนอต่อรัฐบาลมีเนื้อหาให้รัฐบาลจัดการประกอบเศรษฐกิจเองด้วยการจัดเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ ให้มีเอกราชทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางศาล ให้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ (ดังปรากฏตามหนังสือเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม) ปรากฏว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจที่นายปรีดี พนมยงค์ เสนอ ส่วนข้างมากเห็นด้วยแต่เสียงข้างน้อยไม่เห็นด้วย คณะอนุกรรมการฯ จึงได้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ปรากฏว่ารัฐมนตรีส่วนข้างมากไม่เห็นด้วย โดยกล่าวหาว่าเป็นเค้าโครงที่เป็นแบบคอมมิวนิสต์
เป็นเหตุให้นายปรีดี พนมยงค์ ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี (ลอย) เพื่อเสนอเค้าโครงดังกล่าวต่อ ราษฎรในการสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ทว่ารัฐบาลมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แต่กลับนำความกราบบังคมทูลพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ออกพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราพร้อมกับได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๗๖ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ และออกแถลงการณ์กล่าวหาว่านายปรีดี พนมยงค์ เป็นคอมมิวนิสต์ บีบบังคับให้นายปรีดี พนมยงค์ ออกนอกประเทศ นายปรีดี พนมยงค์ และภริยา จึงออกเดินทางไปประเทศฝรั่งเศสในวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖
การกระทําของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาในครั้งนี้นับเป็นการกระทำที่ขัดต่อ รัฐธรรมนูญและความเป็นประชาธิปไตย พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาจึงได้นำกำลังทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ทำการยึดอำนาจการปกครองจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ และได้ทำการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ถูกสั่งปิด ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเลือกพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรสยาม ฉบับ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ต่อไป
ในวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๖ นายปรีดี พนมยงค์ ได้เดินทางกลับประเทศตามคำเชิญของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าร่วมรัฐบาล โดยก่อนที่จะเข้าร่วมรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายปรีดี พนมยงค์ กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ คณะกรรมการดังกล่าว ประกอบด้วย ๑. หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ๒. พระยานลราชสุวัจน์ ๓. พระยาศรีสังกร พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญเรื่องคอมมิวนิสต์อีกสองคนคือ เซอร์โรเบิร์ตฮอลแลนด์ และเมอซิเออร์กียอง ผลการสอบสวน คณะกรรมการลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายปรีดี พนมยงค์ มิได้มีมลทินเกี่ยวกับ ลัทธิคอมมิวนิสต์ตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
ต่อมาในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๖ รัฐบาลพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาก็ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งนับเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก
นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลที่พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ (นับตามปฏิทินเก่า) เป็นกระทรวงแรกที่นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สมัยนั้น กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่ใหญ่ที่สุด มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการปกครอง สาธารณสุข การบำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฎร และการบริหารราชการแผ่นดินทั่วประเทศ นายปรีดี พนมยงค์ จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการปรับปรุงและวางโครงสร้างการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินให้สอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และให้เป็นไปตามหลัก ๖ ประการของคณะราษฎรที่ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ในประการต่าง ๆ ที่พอจะสรุปได้ดังนี้
๑. ดำเนินการกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการปกครองทั่วประเทศ ด้วยการออกพระราชบัญญัติจัดตั้งเทศบาลทั่วราชอาณาจักร โดยให้เทศบาลมีสถานภาพเป็นทบวงการเมืองและมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีคณะเทศมนตรีเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารภายใต้การควบคุมของสมาชิกสภาเทศบาลที่ได้รับเลือกตั้งจากราษฎรดังเช่นที่ในต่างประเทศได้ยกสถานภาพของตำบลให้เป็นเทศบาล อันเป็นการวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยไปสู่ประชาชนทั่วประเทศ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ทุกตําบลเป็นเทศบาล
๒. ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดรูปการบริหารราชการเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ยกเลิกการปกครองในรูปแบบมณฑล เทศาภิบาล เพื่อให้กระทรวงสามารถสั่งการไปยังจังหวัดได้โดยตรงเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการบริหารราชการ
๓. ออกพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ. ๒๔๗๖ พร้อมด้วยพระราช บัญญัติระเบียบราชการแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยให้มีกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงธรรมการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงเศรษฐการ กระทรวงวัง และทบวงการเมือง อันได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงานโฆษณา กรมโยธาเทศบาลเพื่อการปกครองเทศบาลและการก่อสร้างในจังหวัดต่าง ๆ เป็นต้น
๔. ด้านการศึกษาซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในการยกระดับความรู้ของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ที่ควรจะได้มีการศึกษาทั้งในระดับมหาวิทยาลัยและในระดับพื้นฐาน ก็ได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พ.ศ. ๒๔๗๖ (๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ นับตามปฏิทินเก่า) โดยได้ทำพิธีเปิดมหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ดังคำรายงานของนายปรีดี พนมยงค์ ในการกล่าวเปิดมหาวิทยาลัยว่า “ในสมัยที่ประเทศเราดำเนินการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมหาวิทยาลัยสําหรับประศาสน์ความรู้ในวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแก่พลเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเปิดโอกาสให้พลเมืองใช้เสรีภาพทางการศึกษาให้กว้างขวางที่สุด” มหาวิทยาลัยแห่งนี้จึงเป็นแหล่งสำคัญในการให้ความรู้แก่ราษฎรอย่างกว้างขวางในลักษณะตลาดวิชา มีหลักสูตรการเรียนการสอนทั้งวิชานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมืองและการทูต เพื่อผลิตบัณฑิออกไปทําหน้าที่การงานราชการ และรับใช้ราษฎรทั่วประเทศ
สำหรับการศึกษาขั้นต้นระดับประถมศึกษา ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. ๒๔๗๘ โอนโรงเรียนประถมศึกษาในเขตเทศบาล ให้ขึ้นต่อเทศบาลซึ่งสังกัดกระทรวงมหาดไทย สนับสนุนให้กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาให้ครบทุกตำบลทั่วประเทศใน พ.ศ. ๒๔๗๘ และในพระนคร-ธนบุรี ให้ครบทุกตำบล ซึ่งสามารถทำการจัดตั้งโรงเรียนประชาบาลได้ครบทุกตำบลทั่วประเทศในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ อันเป็นปีที่ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๗๙
นอกจากการศึกษาในระดับประถมศึกษาแล้ว ยังได้วางรากฐานการศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษาในด้านอาชีวะอีกด้วย โดยได้จัดตั้งเป็นกองการศึกษาผู้ใหญ่ขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการเพื่อรณรงค์ให้ผู้ใหญ่ได้เรียนรู้หนังสือ และในด้านการศึกษาสายอาชีวศึกษา ได้เปิดอบรมวิชาครูแก่ครูประชาบาลที่มีวุฒิสามัญศึกษา ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ จำนวนเจ็ดสาขาอาชีพ อันได้แก่ ช่างไม้ ช่างปูน ช่างจักสาน ช่างทอผ้า ช่างโลหะ ช่าง เสื้อ และการช่างสตรี เพื่อออกไปทำงานตามท้องถิ่น
นายปรีดี พนมยงค์ ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจนถึงวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในคณะรัฐมนตรีที่พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาถึงสามครั้ง (ถึงวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑) และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยที่พันเอกหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
กระทั่งถึงเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นได้ยาตราทัพบุกประเทศไทยเพื่อขยายสงครามมหาเอเชียบูรพามายังภูมิภาคแถบนี้ รัฐบาลไทยสมัยนั้นซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเป็นพันธมิตรทางการทหารกับญี่ปุ่น และได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ นายปรีดี พนมยงค์ ไม่เห็นด้วยกับนโยบายและการกระทำของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดังกล่าว จึงได้ออกจาก การร่วมรัฐบาล และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ อันเป็นผลให้ท่านต้องพ้นจากตำแหน่งทางการเมือง (ในเวลานั้นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีด้วยกันสามท่าน คือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา พระยาพิชเยนทร์โยธิน ซึ่งชราภาพมากแล้ว และนายปรีดี พนมยงค์ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาได้ ถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง สภาผู้แทนราษฎรจึงได้ลงมติให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๗)
ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการนายปรีดี พนมยงค์ ได้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นภายในประเทศ โดยร่วมมือกับประชาชนคนไทยและขบวนการเสรีไทยที่ก่อตั้งขึ้นในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นผู้รุกราน ผลจากการนี้ทําให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม แม้ว่าสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะยุติลงโดย ฝ่ายญี่ปุ่นยอมจำนนแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ในการนี้นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ โดยให้ถือว่า การ ประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันประชาชนไทย
เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้กราบ บังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในฐานะประมุขของชาติต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตประเทศไทยเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ และต่อมาในวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส จากการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหา กษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ทั้งได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในความปรีชาสามารถ การบำเพ็ญคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติเป็นอเนกประการ และให้มีหน้าที่รับปรึกษาราชการแผ่นดินเพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป
ภาวะแห่งสงครามได้ยุติลง สถานการณ์ภายในประเทศที่ใช้กฎอัยการศึก ภายใต้การปกครองด้วยอำนาจทหาร ได้กลับเข้าสู่ภาวะสันติและประชาธิปไตยอีกครั้ง ทว่าการบูรณะฟื้นฟูประเทศที่บอบช้ำจากสงคราม ทั้งยังตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจทรุดโทรม ภาวะเงินเฟ้อ เครื่องอุปโภคบริโภคขาดแคลน สินค้าราคาแพง โจรผู้ร้ายชุกชุม ปัญหาคอร์รัปชัน ฯลฯ เป็นเรื่องที่ยากลําบากยิ่ง อีกทั้งยังมีภารกิจที่จะต้องเจรจาต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตรเกี่ยวกับผลประโยชน์และอนาคตของประเทศในเรื่องสำคัญหลายประการ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สภาผู้แทนราษฎรจึงได้ขอให้นายปรีดี พนมยงค์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสักระยะหนึ่ง นายปรีดี พนมยงค์ เห็นถึงความจำเป็นของสถานการณ์ดังกล่าวจึงยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙
ต่อมาในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๘๙ อันเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น เปิดโอกาสให้มีพรรคการเมืองส่งสมาชิกสมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เปิดให้มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๘๙ มีพรรคการเมือง อันได้แก่ พรรคสหชีพ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ พรรคอิสระ พรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ส่งสมาชิกพรรคเข้าสมัครรับเลือกตั้ง (ขณะนั้นได้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๖ ที่ประกาศใช้ในสมัยที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เพื่อให้ประเทศมหาอำนาจรับรองประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ) ผลการเลือกตั้งซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง ปรากฏว่านายปรีดี พนมยงค์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พรรคสหชีพ พรรคแนวรัฐธรรมนูญ และพรรคอิสระ ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ล้วนเป็นอดีตเสรีไทยที่สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ ได้รับเลือกด้วยเสียงข้างมาก จึงสนับสนุนให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี นายปรีดี พนมยงค์ จึงได้รับการ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙
แต่เนื่องจากได้เกิดเหตุการณ์กรณีสวรรคตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ นายปรีดี พนมยงค์ จึงได้ขอลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีตามมรรยาททางการเมือง หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบที่จะให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป นายปรีดี พนมยงค์ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ อีกวาระหนึ่ง
ในช่วงระยะเวลานั้น สถานการณ์ภายในประเทศและสถานการณ์ของโลกแปรเปลี่ยนเป็นอย่างมากนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลงมีการขยายตัวของประเทศที่มีแนวทางสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์มากขึ้น ประเทศจีนประสบชัยชนะในการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม ลาว กัมพูชา ประสบชัยชนะในการต่อสู้เพื่อเอกราชจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ในแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกาซึ่งกลับกลายเป็นมหาอำนาจของโลกได้พยายามที่จะเข้ามาเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคเอเชียแทนอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งกำลังสูญเสียความเป็นมหาอำนาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร และพยายามที่จะต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์มิให้ขยายตัวออกไปในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่สหรัฐอเมริกาต้องการที่จะเข้ามามีอิทธิพลและดึงให้เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกสนธิสัญญาป้องกันเอเชียอาคเนย์ (ซี.อา.โต) เพื่อร่วมต่อต้านคอมมิวนิสต์ประเทศไทยจึงตกเป็นเป้าหมายของสหรัฐอเมริกาที่จะเข้ามามีอิทธิพลทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและทางทหาร
สำหรับสถานการณ์ภายในประเทศก็ได้มีการรณรงค์ต่อสู้ทางการเมืองระหว่างผู้ที่เรียกร้องต้องการประชาธิปไตย เรียกร้องสันติภาพ กับอำนาจเผด็จการและฝ่ายอนุรักษนิยมคัดค้านการแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ ทั้งยังมีการขยายตัวของความคิดสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ที่เป็นไปอย่างคึกคัก
นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำการอภิวัฒน์ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และผู้นำขบวนการเสรีไทย มีแนวคิดในการอยู่อย่างสันติเป็นมิตรกับทุกประเทศ สนับสนุนบรรดาประเทศที่เป็นเมืองขึ้นให้ได้เป็นเอกราชและเสรีภาพ หลุดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น สนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มของบรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ให้ดำเนินนโยบายที่เป็นอิสระ เอกราช ประชาธิปไตย บนพื้นฐานผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ทว่าความคิดหรือการดำเนินนโยบายดังกล่าวย่อมไม่เป็นที่พึงปรารถนาและขัดกับนโยบายของประเทศมหาอำนาจและฝ่ายตรงข้าม ด้วยเหตุนี้หลังเกิดกรณีสวรรคตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ นายปรีดี พนมยงค์ จึงประสบกับการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีและการให้ร้ายป้ายสีจากฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วงเพื่อทำลายเกียรติภูมิความเชื่อถือในตัวนายปรีดี พนมยงค์ และพรรคพวก ในที่สุดนายปรีดี พนมยงค์ ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพว่า ได้ตรากตรำทำงานสนองคุณประเทศชาติมาเป็นเวลาพอสมควร รู้สึกว่าอนามัยเสื่อมโทรม ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจของรัฐบาลได้เต็มที่ จากนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงได้แต่งตั้งให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสืบแทนต่อไป
จนถึงเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ได้เกิดรัฐประหาร โดยคณะทหารบกซึ่งมี พลโทผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้า ได้ทำการยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาลและยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยได้สถาปนารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่คณะรัฐประหารร่างขึ้น เรียกกันว่า “รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม” มาใช้ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ และให้นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็น นายกรัฐมนตรี แต่ต่อมาคณะรัฐประหารก็ได้บังคับให้นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามาเป็น นายกรัฐมนตรีแทน
นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนีออกจากทำเนียบท่าช้างอันเป็นที่พำนักเพื่อความปลอดภัย ของชีวิต เนื่องจากถูกกำลังทหารนำรถถังบุกเข้าทำเนียบและยิงปืนใส่อาคารที่พัก
หลังจากทำการรัฐประหารยึดอำนาจแล้ว คณะรัฐประหารก็ได้พุ่งเป้าหมายไปสู่การทำลายนักการเมืองที่เป็นแกนนำทางการเมืองและสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ ดังเช่นการจับกุมสังหารสี่อดีตรัฐมนตรี คือ นายทองอินทร์ ภูมิพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง และ ดร. ทองเปลว ชลภูมิ ต่อมาก็มีผู้ถูกสังหารอีกสองคน คือ นายพร มลิทอง และ ดร. ทวี ตะเวทิกุล เป้าหมายต่อไปของคณะรัฐประหารก็ได้แก่ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองที่นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ประศาสน์การ รวมถึงนักศึกษา ซึ่งคณะรัฐประหารถือว่าเป็นฐานพลังทางการเมืองของนายปรีดี พนมยงค์ คณะรัฐประหารได้ทำการลิดรอนสิทธิของนักศึกษาด้วยวิธีการต่าง ๆ นับตั้งแต่การจำกัดสิทธิผู้ที่ได้ปริญญาตรีธรรมศาสตร์บัณฑิตในการเข้าเป็นสมาชิกสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภา สิทธิในการเข้ารับราชการกระทรวงมหาดไทย และสิทธิในการเข้ารับราชการตำรวจ รวมทั้งการส่งกองทหารเข้าควบคุม และถึงที่สุดคือการยุบเลิกมหาวิทยาลัยด้วยการอนุมัติให้ซื้อ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองด้วยจำนวนเงิน ๕ ล้านบาทเพื่อใช้ประโยชน์ทางราชการทหาร เป็นเหตุให้นักศึกษารวมพลังด้วยการสนับสนุนของประชาชนและนักการเมืองที่รักความเป็นธรรม ชุมนุมเรียกร้องมหาวิทยาลัยคืนจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามจนเป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๔
อย่างไรก็ตาม สภาพการณ์ทางการเมืองนับจากยุคนั้นเป็นต้นมาก็ได้เข้าสู่ยุคของอำนาจเผด็จการ มีการจับกุมปราบปรามนักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนนักประพันธ์ นักศึกษา กรรมกร ชาวนาชาวไร่ ที่คัดค้านเผด็จการเรียกร้องประชาธิปไตยและสันติภาพ คัดค้านการเข้าร่วมสงคราม เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่เป็นอิสระเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ในข้อหากบฏเป็นจำนวนนับร้อยคน ในคดีที่เรียกกันว่า กบฏสันติภาพ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๕ และหลังจากการจับกุม ในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลก็ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๙๕ ขึ้นมาใช้แทนพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๗๖ ที่ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติมาใช้ปราบปรามประชาชนด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์ อันเป็นการนำประเทศไปสู่การปกครองด้วยอำนาจเผด็จการยิ่งขึ้น การปราบปรามประชาชนที่คัดค้านอำนาจเผด็จการ คัดค้านรัฐบาล คัดค้านการดำเนินนโยบายที่เข้าร่วมทางเศรษฐกิจและทางทหารกับประเทศมหาอำนาจ ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในสมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีที่ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศอย่างสุดขั้ว
นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ต้องลี้ภัยด้วยอำนาจเผด็จการรัฐประหารไปพำนักในต่างประเทศจนถึงแก่อสัญกรรมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖
เกี่ยวกับผู้เขียน : สัมผัส พึ่งประดิษฐ์ ต.ม.ธ.ก. รุ่น ๗ ธรรมศาสตร์บัณฑิต
หมายเหตุ :
- อักขร วิธีสะกด และเลขไทยคงไว้ตามต้นฉบับ
เอกสารอ้างอิง :
- สัมผัส พึ่งประดิษฐ์, การอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475 ถึงรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ใน คือวิญญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือที่ระลึกงานฉลอง 100 ปีรัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์, 2543), 110-117.