ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทสัมภาษณ์

PRIDI Interview: ศ.พิเศษ หิรัญ รดีศรี เล่าเรื่องชีวิตในรั้ว ต.ม.ธ.ก.

23
มีนาคม
2566


เล่าเรื่องชีวิตในรั้ว ต.ม.ธ.ก.

ครั้งแรกเข้าไปก็เป็นนักเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) อายุ 17 ปี สมัยก่อนเขาเรียกกันว่า ม.7 - ม.8 ผมเป็นรุ่นสุดท้าย เรียกว่ารุ่น 8 ที่เป็นรุ่นสุดท้าย

สมัยนั้น จำเป็นต้องมีโรงเรียนเตรียมสำหรับนักศึกษาที่จะเข้ามหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเขาก็มีโรงเรียนเตรียม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีโรงเรียนเตรียม เพราะฉะนั้นก็เลยเรียก “เตรียมปริญญา” ก็แปลตรงตัวว่าเรียนเตรียมเพื่อเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อรับปริญญา

 

ศ.พิเศษ หิรัญ รดีศรี

 

ตอนที่เปิดรับ ทางโรงเรียนเตรียมฯ ก็ระมัดระวังว่า นักเรียนที่รับไปแล้วต้องสอบผ่านข้อสอบของกระทรวงให้ได้ เพราะฉะนั้นก็คัดเลือกมา 250 คน แต่ปรากฏว่าผู้ที่ประสงค์จะเข้าเรียนมากมาย ก็เลยไปขอร้องผู้ใหญ่ จึงได้มีการเปิดภาคสมทบขึ้นมา และเป็นที่เข้าใจว่า จะคัดเลือกใครไปสอบข้อสอบกระทรวงศึกษาธิการ ทางเตรียมฯ จึงคัดเฉพาะบุคคลที่ว่ามีความสามารถที่จะสอบข้อสอบผ่าน ส่วนคนที่ไม่ได้ส่งไปสอบ ก็สอบของโรงเรียนเตรียมวิชาธรรมศาสตร์ฯ เอง และก็มีสิทธิที่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ นี่เป็นเงื่อนไขแรก แต่ในความเป็นจริงเวลาเปิด เราก็มาเรียนพร้อมกัน 500 คน เรื่องนี้เป็นสาเหตุที่เรียกนักเรียนเตรียมฯ รุ่นนี้กันว่า “เตรียม 500”

เมื่อผ่านไปสัก 1 ภาคเรียน ทางโรงเรียนเตรียมวิชาธรรมศาสตร์ฯ ถึงจะมาจัดนักเรียนรวมคะแนนหมด และมาจัดคะแนนใหม่ว่าทั้งหมด 500 คน ใครที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีห็จัดให้ไปอยู่ ห้อง 1  ห้อง 2  ห้อง 3  ห้อง 4 คนที่คะแนนไม่ดีก็เรียงตามลำดับไป เพื่อจะได้คัด 250 คนที่เหลือเพื่อส่งไปเข้าสอบ

การเรียนการสอนเป็นกันเองมาก สอนสนุกมาก อาจารย์ผู้สอนก็ทุ่มเทมาก รักนักศึกษา เพราะฉะนั้นเวลาเราเรียนหนังสือ บางวิชาเป็นกันเอง โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์อาจารย์ใจดี สอนดี สอนเก่ง พวกเราก็มีความสนุกสนานกันใกล้ชิดกับท่าน และอีกวิชาคือภาษาอังกฤษ จะมีอาจารย์หน้าตาคล้ายฝรั่งแต่เป็นคนไทยมาสอนภาษา โดยเฉพาะ อังกฤษและฝรั่งเศส

เมื่อหลังจากจัดห้องใหม่แล้ว นักเรียนทั้งห้องมีประมาณ 50 คน ในเพื่อนร่วมรุ่นของผมเองทีแรกเข้าไปอยู่ห้อง 2 พอจัดใหม่เราไปอยู่ห้อง 1 อย่างเช่น สมปอง สุจริตกุล, ประชุม โฉมฉาย, ปาล พนมยงค์

ปาล พนมยงค์ เขาก็คนเรียนดี ตอนที่จัดห้องเขาก็อยู่ห้อง 1 ตลอด เราก็เลยใกล้ชิดแต่เขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยที่จะมาสังสรรค์กับใครมากนัก อาจจะเป็นสไตล์ของเขา

รุ่นผมที่สำเร็จไปนั้นก็ประสบความสำเร็จกันมากมายหลายคน มีทั้งอดีตประธานศาลฎีกา ศาสตราจารย์อำนัคฆ์ คล้ายสังข์ หรืออดีตประธานศาลอุทธรณ์ บางคนไปเป็นเอกอัครราชทูตก็หลายคน

 

ศ.พิเศษ หิรัญ รดีศรี

 

นักเรียนรุ่นผม 500 คนที่จบไปแล้วก็อยู่ในเกณฑ์ที่ว่าทำความปลาบปลื้มให้กับ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เป็นอย่างมาก เพราะว่าหลังจากประกาศผลการสอบของกระทรวงศึกษาธิการมาแล้ว ปรากฏว่านักเรียนที่ 1-6 ของโรงเรียนเตรียมวิชาธรรมศาสตร์ฯ ทั้งหมดเลย และใน 50 คนแรกของประเทศมีนักเรียนเตรียมฯ ถึง 30 คน เพราะฉะนั้น ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ จึงปลื้มมาก นักเรียนเตรียมวิชาธรรมศาสตร์ฯ รุ่นสุดท้ายได้ทำชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย

 

เหตุการณ์ที่จำไม่ลืม เมื่อครั้งเป็นนักเรียน ต.ม.ธ.ก.

ตอนที่เราเรียนเตรียมฯ ปี 2 มีเหตุการณ์เรียกร้องดินแดน และนักศึกษารุ่นพี่มากล่าวปราศรัยมีการกรีดเลือด พวกผมที่เป็นนักเรียนตื่นเต้นกันมาก กรีดเลือดที่แขนให้ดูว่าเลือดเหลืองแดงเลย

อีกเหตุการณ์หนึ่งตอนสอบไล่เตรียมฯ ปีสุดท้าย ทางกระทรวงศึกษาธิการเลือกที่ธรรมศาสตร์เป็นที่สอบภาคอักษรศาสตร์ ขอใช้สถานที่ของธรรมศาสตร์เป็นที่จัดการสอบ ปรากฏในวันแรกมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นมาแสดงบทบาทเป็นใหญ่ มีการปะทะกันระหว่างนักเรียนเตรียมฯ ของเรากับนักศึกษาที่อื่นพอสมควรแต่ก็จบลงด้วยดีไม่มีอะไร เพราะตอนนั้นนักศึกษาเต็มมหาวิทยาลัย สองเหตุการณ์นี้ ผมยังจำแม่นไม่มีลืม

 

จากนักเรียนเตรียม ม.ธ.ก. สู่ นักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

หลังจากจบเตรียมฯ ก็เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะนั้นมี 2 คณะ คือ กฎหมาย (นิติศาสตร์) และ คณะบัญชี ธรรมศาสตรบัณฑิต

ตอนที่เรียนจบมีมหาวิทยาลัยอยู่ 2 แห่ง คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ถ้าหากเลือกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ญาติๆ เขาก็สนับสนุนให้เข้าแพทย์ เหมือนคล้ายๆ ว่าเป็นอาชีพที่ดีและยังเป็นประโยชน์กับครอบครัวด้วย

ส่วนตัวเราเองคิดว่าวิชาบัญชีก็ดีนะ รู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ธุรกิจต้องการ และทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เอง วิชาบัญชีที่เปิดสอน เป็นวิชาที่เข้มแข็ง เป็นความต้องการของนักธุรกิจมากและก็จบเร็วกว่าด้วย

ธรรมศาสตร์สมัยนั้นก็เป็นตลาดวิชาให้โอกาสคนทุกชนชั้น ไม่ว่าจะมีฐานะอย่างไร ก็เข้ามาเรียนได้ ผมเห็นว่าตัวเองจำเป็นต้องมีรายได้ก็ไปทำงานและก็เรียนไปด้วย เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

 

ศ.พิเศษ หิรัญ รดีศรี

 

ท่านผู้ประศาสน์การ ท่านมองเห็นการณ์ไกล หลังจากที่ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตยแล้ว ประชาชนยังขาดความรู้ เพราะฉะนั้นการที่จะพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตยไม่ง่าย ท่านจึงได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นมา อุดมการณ์ของท่านก็คือให้เป็นตลาดวิชาเลย หมายความว่า ประชาชนทุกระดับ มีฐานะดี หรือมีฐานะไม่ดี ก็สามารถที่จะเข้ามาเรียนได้ เพราะเห็นว่าตัวเองยังต้องพึ่งรายได้ ก็ไปทำงานและมาเรียนก็ได้ คนที่มีฐานะอยากจะมาเรียนโดยไม่ทำงานก็แล้วแต่

เพราะฉะนั้น เปรียบเสมือนกับคำว่าเปิดโอกาส ไม่มีการสอบเข้า คุณอยากเรียนสมัครเข้ามาเรียนเลยเมื่อมีคุณสมบัติถูกต้อง และคุณก็เรียนไปเลย อยากเรียนอีกกี่วิชาก็ตามสะดวก ไม่มีต้องให้มาเรียนตามเปอร์เซ็นต์

นี่เป็นอุดมการณ์ที่ดีมากที่ทำให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน ที่จะมาศึกษาหาความรู้หลักสูตรที่ว่าจบไปมีความรู้หลายๆ อย่าง สามารถไปประกอบวิชาชีพได้เป็นอย่างดี คือไม่ได้เฉพาะเจาะจงต้องเรียนกฎหมายทั้งหมด มีความรู้อย่างอื่นอย่าง เช่น ที่ผมเรียนบัญชีผมก็รู้สึกดีใจมาก เพราะว่าเป็นหลักสูตรที่ว่า ทำไมนักธุรกิจถึงชอบคนที่จบบัญชีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะว่าเราไม่ได้เรียนแต่บัญชี เราเรียนกฎหมายประกอบ พอเราจบไปแล้วสามารถทำงานได้เลย

ผมยังรู้สึกเสียดายที่ในปี 2495 รัฐบาลลบคำว่า “วิชา” และคำว่า “การเมือง” ออกจากชื่อมหาวิทยาลัย เหลือแค่ “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” เฉยๆ ตอนนั้นอาจารย์ปรีดีท่านลี้ภัยไปแล้ว ท่านไม่ได้อยู่ในเมืองไทยนานแล้ว แต่ก็ชอบหาเรื่องท่านอยู่นั่น

มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแห่งนี้ ถือว่าเป็นปฏิญญา 1 ในหลัก 6 ประการ ที่คณะราษฎรได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในข้อของการศึกษาที่ว่า “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร” ซึ่งท่านผู้ประศาสน์การได้ดำเนินตามนโยบายและอุดมการณ์ สร้างตลาดวิชาและเปิดโอกาสให้ทุกชนชั้นมีสิทธิเท่าเทียมกันในการศึกษา ผมเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เจอท่าน แต่ผมมีโอกาสได้เจอและได้ทำความรู้จักกับ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ 

 

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ในความทรงจำ

ท่านเป็นคนที่เรียบง่าย ไม่มีการถือตัว เป็นกันเอง เป็นห่วงนักเรียน นักศึกษาทุกคน คอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไม่ขาด และที่สำคัญ ท่านนึกถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเสมอ พวกเราชาว ต.ม.ธ.ก. ไปงานวันเกิดของท่านเป็นประจำทุกปี ในนามชมรม ต.ม.ธ.ก. สัมพันธ์

 

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

 

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

 

จากนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สู่ อาจารย์ประจำภาควิชาบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผมเป็นอาจารย์สอนคณะบัญชีฯ ชีวิตของผมเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาโดยตลอดตั้งแต่อายุ 17 จนตอนนี้ 94  แล้ว มีเว้นช่วงอยู่นิดเดียวตอนผมไปต่างประเทศ พ.ศ. 2498 - 2502 เรากลับมาก็เลยไปช่วยสอน ผมก็เลยใช้ชีวิตเว้นไป 4 ปี ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย กลับมาปี พ.ศ. 2502 ผมก็มาสอนเลย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2529 เรามีงานเยอะเราถึงต้องออกไป

ระหว่างที่สอน เราก็มาช่วยเป็นกรรมการประจำคณะ และในที่สุดก็ไปเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มันมีความต่อเนื่อง พอเรามาเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัย เราก็ลาออกกรรมการประจำคณะ งานของมหาวิทยาลัยหลายๆ งาน ยังให้เกียรติชมรม ต.ม.ธ.ก. สัมพันธ์ในการร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการพิจารณาการจัดงานอยู่ อย่างในวันปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2566 ที่กำลังจะถึงในเดือนพฤษภานี้ ทางมหาวิทยาลัยจะจัดให้สมเกียรติเหมือนก่อนที่จะเกิด Covid - 19 ผมก็เข้าร่วมประชุมด้วย

 

ศ.พิเศษ หิรัญ รดีศรี

 

ชีวิตในวัน 94 ปี ของศาสตราจารย์พิเศษ หิรัญ รดีศรี

จริงๆ เวลานี้ถือว่าเราเกษียณแล้ว ถามว่าคือเกษียณ นี่คือเกษียณครั้งที่ 2 ครั้งแรกคือจากงานประจำ คราวนี้เราเกษียณจากงานที่เรามารับใช้ธุรกิจสังคม เช่น เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ สภามหาวิทยาลัยก็ดี ของราชการก็ดี ของเอกชนก็ดี ตอนนี้เราขอลาออกหมดทั้งสิ้นเลย ตอนนี้ถือว่าอิสระ อยู่กับบ้าน ทำอะไรในสิ่งที่เราอยากต้องการ เขียนหนังสือบ้าง ดูแลต้นไม้บ้าง ไปให้คำปรึกษา หรือเป็นคณะกรรมการในนามชมรมต.ม.ธ.ก. สัมพันธ์บ้าง 

 

ศ.พิเศษ หิรัญ รดีศรี

 

“ชีวิตผมทุกวันนี้ยังคงอยู่รอบๆ รั้วเหลืองแดงไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566
ณ บ้านพัก ซ.สุขุมวิท 49