ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ปราโมทย์ฯ ร่วมการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475

5
กรกฎาคม
2565

ข้าพเจ้ารู้จักปราโมทย์ฯ ตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2475 ขณะที่ปราโมทย์ฯ เป็นนักเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรมซึ่งข้าพเจ้าเป็นผู้สอนคนหนึ่งแห่งโรงเรียนนั้น

ปราโมทย์ฯ เป็นนักเรียนกฎหมายคนหนึ่งในบรรดานักเรียนกฎหมายอีกหลายคน ที่ได้สมัครเป็นสมาชิกคณะราษฎร อุทิศตนเพื่อเปลี่ยนการปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบบปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย

ปราโมทย์ฯ สังกัดสายงานส่วนที่ นายสงวน ตุลารักษ์ เนติบัณฑิต กับ นายซิม วีระไวทยะ เนติบัณฑิตเป็นหัวหน้า

ปราโมทย์ฯ ได้ปฏิบัติตามวินัยของคณะฯ อย่างเคร่งครัด ด้วยความเสียสละ และกล้าหาญ ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ปราโมทย์ฯ ได้ปฏิบัติการตามคำสั่งของคณะฯ ที่กำหนดให้สมาชิกพลเรือนในคณะร่วมกับสมาชิกที่เป็นนายทหารจำนวนหนึ่งไปคุมบ้านบุคคลสำคัญแห่งระบบเก่า เพื่อมิให้บุคคลสำคัญนั้นๆ ออกมาจากบ้านซึ่งอาจจะใช้กำลังต่อต้านคณะราษฎร เมื่อคณะราษฎรได้ยึดพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อตั้งเป็นกองบัญชาการของคณะฯ เสร็จแล้วปราโมทย์ฯ กับสมาชิกคณะราษฎรคนอื่นๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ตอนเช้าเสร็จแล้ว ก็ได้ไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อช่วยงานธุรการของคณะฯ และปฏิบัติการอื่นๆ ตามคำสั่งของกองบัญชาการในระหว่างเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั้น คณะราษฎรได้ตั้งผู้รักษาพระนคร ฝ่ายทหารขึ้น 3 นาย ประกอบด้วย

1) นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้า
2) นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช
และ 3) นายพันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์

คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้มีหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ ณ สวนไกลกังวล หัวหิน ขออัญเชิญกลับสู่พระนครเพื่อทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปโดยอยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน

อนึ่ง คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้สั่งนายนาวาตรีหลวงศุภชลาศัยนำเรือหลวงสุโขทัยไปยังหัวหิน เพื่อกราบบังคมทูลให้เสด็จพระราชดำเนินกลับมาพระนครโดยเรือหลวงลำนั้น

ครั้นถึงวันที่ 25 มิถุนายน คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้รับโทรเลขนายนาวาตรีหลวงศุภชลาศัย มีความดังต่อไปนี้

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พร้อมด้วยกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน จะเสด็จกลับจากหัวหินโดยทางรถไฟไม่มีกองทหารติดตาม”

ดังนั้นหัวหน้าคณะราษฎรจึงสั่งให้กระทรวงการเจ้าหน้าที่ ถวายความสะดวกทุกประการ

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ  และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้เสด็จจากหัวหินกลับกรุงเทพฯ โดยขบวนรถไฟพิเศษวันที่ 25 มิถุนายน เวลา 19.45 น. เสด็จลงที่สถานีรถไฟจิตรลดาวันที่ 26 มิถุนายน เวลา 0.37 น. แล้วเสด็จตรงไปประทับที่วังสุโขทัย แล้วมีพระราชกระแสรับสั่งให้คณะราษฎรเข้าเฝ้าที่วังสุโขทัย เวลา 11.00 น. ของวันที่ 26 มิถุนายนนั้น

หัวหน้าคณะราษฎรได้แต่งตั้งผู้แทนจำนวน 3 คน ไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวตามพระราชกระแส

ผู้แทนคณะราษฎรได้ถวายพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกกรองแผ่นดินสยามชั่วคราว กับพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินพุทธศักราช 2475 ซึ่งคณะราษฎรเป็นผู้ร่างขึ้นนั้น เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทาน

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินพุทธศักราช 2475 ณ บัดนั้น ส่วนพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวทรงรับไว้พิจารณา 1 วัน ครั้นแล้วได้ทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน

ฉะนั้น พระราชกำหนดนิรโทษกรรมฉบับนั้นและพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวจึงเป็นบทกฎหมายที่ถูกต้องสมบูรณ์ เพราะขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น พระองค์ยังทรงดำรงฐานะเป็นพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งทรงมีพระอำนาจลงพระปรมาภิไธยในบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และ พระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดินได้โดยลำพังพระองค์เอง คือ ไม่ต้องการมีสนองพระบรมราชโองการโดยรัฐมนตรีหรือบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งโดยถูกต้องตามกฎหมาย ให้มีอำนาจเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ จึงต่างกับรัฐธรรมนูญและธรรมนูญการปกครองแผ่นดินหลายฉบับที่เป็นโมฆะ

ปราโมทย์ฯ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และพฤฒสมาชิก

โดยที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2476 จะครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 9 ธันวาคม 2480 จึงได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ชุดใหม่ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียง โดยวิธีแบ่งเขต คือ ราษฎรแต่ละเขตเลือกผู้แทนราษฎรได้เพียง 1 คน ผู้แทนราษฎรชุดนี้มีจำนวน 91 คนมากกว่าชุดก่อน 13 คน

ดังนั้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2480 ผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 จึงได้มีการประชุมกันเลือกผู้สมควรเป็นสมาชิกประเภทที่ 2 อีก 13 คน เพื่อให้สมาชิกประเภทที่ 2 มีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธ.ค. 2475 มาตรา 65 ปราโมทย์ฯ เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกฯ ประเภทที่ 2 ครั้งนั้น

ผู้ที่ศึกษาสิ่งพิมพ์ย่อรัฐธรรมนูญ เพื่อสะดวกในการสอบไล่ได้และศึกษาจากคำบอกเล่าของบุคคลที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อคณะราษฎรใส่ความว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 สนับสนุนรัฐบาลอย่างหลับหูหลับตานั้นก็อาจเข้าใจผิดว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ทุกคนได้ยกมือลงคะแนนให้รัฐบาลอย่างหลับหูหลับตาโดยไม่มีการคัดค้าน แต่ผู้ที่ศึกษาหลักฐานการปฏิบัติของสภาผู้แทนราษฎรจากรายงานการประชุมสภา และเอกสารหลักฐานแท้จริงนั้นก็ย่อมทราบความจริงว่า สมาชิกสภาประเภทที่ 2 ส่วนข้างมากได้มีจิตสำนึกในหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรโดยถือประโยชน์ของมวลราษฎรเป็นใหญ่เหนือส่วนตนและของคณะพวกพ้อง ดังปรากฏหลายครั้งที่สมาชิกประเภทที่ 2 ส่วนข้างมากได้ร่วมกันกับสมาชิกประเภทที่ 1 ทำการคัดค้านรัฐบาลอันเป็นเหตุให้รัฐบาลแพ้คะแนนเสียงส่วนข้างมากในสภาและรัฐบาลต้องลาออก อาทิ

เมื่อ พ.ศ. 2477 รัฐบาล (พหลฯ) ได้ลงนามในสัญญากำหนดโควต้ายางพารากับนานาประเทศ เพื่อความมุ่งหมายที่จะให้ผู้ทำสวนยางได้รับประโยชน์และให้ยางราคาดีขึ้น ครั้นแล้วรัฐบาลได้เสนอสัญญาดังกล่าวเพื่อขออนุมัติจากสภาในการที่จะให้สัตยาบันสัญญานั้น สภาฯ  ได้ประชุมพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย. - 13 ก.ย. ปีนั้น ในที่สุดสมาชิกประเภทที่ 1 ส่วนมากได้ร่วมกับสมาชิกประเภทที่ 1 ลงมติไม่อนุมัติให้รัฐบาลทำสัตยาบันสัญญาฉบับนั้นเพราะเห็นว่าควรทำข้อตกลงใหม่เพื่อให้ผู้ทำสวนยางได้ประโยชน์มากขึ้นอีก รัฐบาลจึงต้องลาออกตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ

ใน พ.ศ. 2487 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น รัฐบาล (พิบูลฯ) ได้ประกาศพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ เพื่อจะย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปเพชรบูรณ์ อีกทั้งได้ประกาศพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑลเพื่อจัดตั้งบริเวณพระพุทธบาทเป็นพุทธมณฑล เมื่อรัฐบาลได้ประกาศพระราชกำหนด 2 ฉบับนั้นแล้ว รัฐบาลจึงได้เสนอขออนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าวนั้น สมาชิกประเภทที่ 2 ส่วนมากได้ร่วมกับสมาชิกประเภทที่ 1 ลงมติด้วยคะแนนลับไม่อนุมัติพระราชกำหนด 2 ฉบับนั้น รัฐบาล (พิบูลฯ) จึงต้องลาออกจากตำแหน่งตามวิถีทางรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475

เมื่อ พ.ศ. 2488 สมาชิกสภาประเภทที่ 2 ส่วนมากได้เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธ.ค. 2475 เพื่อยกเลิกสมาชิกประเกทที่ 2 และร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่โดยมีรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนซึ่งสมาชิกเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากราษฎร กับพฤฒสภาซึ่งสมาชิกเป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งโดยทางอ้อมจากองค์การเลือกตั้งของราษฎร คณะกรรมการวิสามัญของสภาฯ ได้พิจารณาและแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้วเสนอสภาฯ สภาฯ เห็นชอบด้วยแล้วจึงได้ทูนเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อทรงพระราชวิจารณาถี่ถ้วนแล้วทั้งกระบวนความ จึงมีพระบรมราชโองการโดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎรให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ 10 ธ.ค. พ.ศ. 2489 ใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธ.ค. 2475

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ปราโมทย์ฯ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภา

ปราโมทย์ฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนราษฎรและพฤฒสมาชิกด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อมวลราษฎรเหมือนดั่งผู้แทนที่ดีของราษฎรทั้งหลาย

ปราโมทย์ฯ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ในระหว่างที่ข้าพเจ้าเป็น ร.ม.ต. ว่าการกระทรวงมหาดไทย และต่อมาเป็น ร.ม.ต. ว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลที่นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายก ร.ม.ต. (กันยายน 2477 - ธันวาคม 2481) นั้น ข้าพเจ้าได้ตั้งผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนเป็นเลขานุการรัฐมนตรีแห่งตำแหน่งที่ข้าพเจ้าดำรงอยู่นั้น นอกจากนั้นข้าพเจ้าได้ขอให้ปราโมทย์ฯ ช่วยกิจการเสมือนเป็นเลขานุการส่วนตัวของข้าพเจ้า

ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2481 ข้าพเจ้าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลซึ่งพันเอกหลวงพิบูลสงคราม (บรรดาศักดิ์ขณะนั้น) เป็นนายก ร.ม.ต. ข้าพเจ้าเห็นว่าปราโมทย์ฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และเคยปฏิบัติหน้าที่เลขานุการส่วนตัวของข้าพเจ้ามาแล้ว ปราโมทย์ฯ จึงทราบวิธีปฏิบัติราชการและวิธีดำเนินการเมืองทางรัฐสภาพอสมควร ประกอบด้วยปราโมทย์ฯ แสดงให้ประจักษ์ว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมาย ข้าพเจ้าจึงได้แต่งตั้งปราโมทย์ฯ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปราโมทย์ฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการแบ่งเบาภาระของข้าพเจ้าได้หลายประการ

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2484 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ข้าพเจ้าจึงพ้นจากตำแหน่ง ร.ม.ต. ว่าการกระทรวงการคลัง และปราโมทย์ฯ ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีซึ่งข้าพเจ้าดำรงอยู่นั้นด้วย แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ก็ได้แต่งตั้งให้ปราโมทย์ฯ เป็นเลขานุการ ร.ม.ต. คนใหม่ต่อไปด้วย

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2487 จอมพล ป.พิบูลสงคราม (ยศและชื่อขณะนั้น) ได้ลาออกจากตำแหน่งนายก ร.ม.ต. เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติพระราชกำหนดระเบียบบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ และพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล

วันที่ 31 กรกฎาคมปีนั้น ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ) ทรงลาออกจากตำแหน่ง รุ่งขึ้นวันที่ 1 สิงหาคม สภาผู้แทนราษฎรจึงประชุมลงมติแต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว (ประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎรลงวันที่ 1 สิงหาคม 2487) ครั้นแล้วข้าพเจ้าในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงแต่งตั้งนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายก ร.ม.ต. กับเป็น ร.ม.ต. ว่าการกระทรวงการคลัง และแต่งตั้งนายเล้ง ศรีสมวงศ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

ข้าพเจ้าได้ตกลงกับนายควงฯ และนายเล้งฯ เป็นการลับถึงการสมควรแต่งตั้งให้ปราโมทย์ฯ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อช่วยเหลือข้าพเจ้าในงานเสรีไทย เพราะองค์การเสรีไทยจำเป็นต้องอาศัยสถานที่และยานพาหนะกับพัสดุหลายอย่างของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นการลับ กระทรวงการคลังจึงมีคำสั่งที่ 50548/2487 แต่งตั้งปราโมทย์ฯ ดำรงตำแหน่งดังกล่าวและให้ฟัง คำสั่งลับของข้าพเจ้าเกี่ยวกับงานเสรีไทย (ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงการงานของปราโมทย์ฯ ที่ร่วมกับเสรีไทยไว้ในส่วนที่ 3 และ 4 ต่อไป)

 

ที่มา : ปรีดี พนมยงค์.2525. “บทความบางเรื่องของนายปรีดี พนมยงค์ ส่วนที่ 1 เกี่ยวกับ 24 มิถุนายน.” ใน “อนุสรณ์ นายปราโมทย์ พึ่งสุนทร นักอภิวัฒน์, เสรีไทย นายสนามมวยเวทีราชดำเนินคนแรก”. (กรุงเทพมหานคร: วัฒนาพานิช). หน้า 3 - 9.