ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

รำลึกถึงป๋วย อึ๊งภากรณ์ มิตรแท้ในยามยากของปรีดี พนมยงค์

28
กรกฎาคม
2565
ปรีดี พนมยงค์ และป๋วย อึ๊งภากรณ์ ณ Imperial College ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2520[1]
ปรีดี พนมยงค์ และป๋วย อึ๊งภากรณ์ ณ Imperial College ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2520[1]

 

ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในความรับรู้ของคนรุ่นหลัง ป๋วยคือผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อน นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญ นักการธนาคาร นักปฏิบัติผู้ยืนหยัดในแนวคิดสันติประชาธรรม ใต้เงื้อมเงาแห่งยุคเผด็จการทหาร ป๋วยเป็นนายเข้ม เย็นยิ่ง เสรีไทยสายอังกฤษ เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2502-2514 และเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พ.ศ. 2505-2510 ในสมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงสมัยรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2507-2515 และเป็นศิษย์เก่าคนแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี พ.ศ. 2518 หากหลังวันที่ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 ป๋วยเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษจนถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2542

บทความนี้จะนำเสนอชีวประวัติย่อ ผลงานสำคัญของป๋วย อึ๊งภากรณ์ และมิตรภาพระหว่างปรีดี พนมยงค์ นับตั้งแต่เริ่มต้นจากงานในขบวนการเสรีไทยและภายหลังต้องลี้ภัยจากความไม่ชอบธรรมทางการเมือง ท่ามกลางบาดแผลทางประวัติศาสตร์แต่ทั้งสองยังคงรักษาความดี ความกล้าหาญ และสัจจะในการทำประโยชน์เพื่อสังคมไทยไว้ได้อย่างงดงาม

 

ป๋วยถ่ายภาพกับเตี่ย พี่ชาย กำพล อิงคภากรณ์ และน้องสาว ระเบียบ ยุทธวงศ์ ที่ร้านถ่ายรูปเล่าจั่น ตลาดน้อย เมื่อ 70 กว่าปีก่อน ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ป๋วยถ่ายภาพกับเตี่ย พี่ชาย กำพล อิงคภากรณ์ และน้องสาว ระเบียบ ยุทธวงศ์ ที่ร้านถ่ายรูปเล่าจั่น ตลาดน้อย เมื่อ 70 กว่าปีก่อน
ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์

 

ชีวประวัติย่อของป๋วย อึ๊งภากรณ์

จากครรภ์มารดา

ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2459 ที่บ้านตรอกโรงสูบน้ำ ตลาดน้อย อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร เป็นลูกชายคนที่ 4 ของนางเซาะเช็ง แซ่เตียว มารดาผู้มีเชื้อสายไทย-จีน บุตรสาวคนแรกของเจ้าของร้านขายผ้าที่สำเพ็ง และนายซา แซ่อึ้ง บิดาชาวจีนอพยพมาอยู่เมืองไทยเพื่อทำงานที่แพปลาของพี่ชายตรงปากคลองวัดปทุมคงคา ป๋วยบันทึกว่า “ชื่อของผม ‘ป๋วย’ นั้น เตี่ยผมตั้งคำจีนให้เป็นชื่อตัว...คำว่า ‘ป๋วย’ ตามที่เตี่ยเขียนให้นั้น แปลตรงตัวได้ว่า ‘พูนดินที่โคนต้นไม้’”

หลังจากเตี่ยเสียชีวิตตอนป๋วยอายุ 9 ขวบ ครอบครัวก็มีฐานะยากลำบากแต่แม่เซาะเช็งเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาจึงดิ้นรนส่งลูกชายสองคน คือ ก่ำและป๋วย ให้เรียนในโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก เมื่อป๋วยเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ได้เกิดการอภิวัฒน์สยาม พ.ศ. 2475 ขึ้น ซึ่งสั่นคลอนความคิดของป๋วยให้เริ่มหันมาสนใจบ้านเมืองและอุดมการณ์ทางสังคม จึงทำให้ป๋วยและเพื่อนชักชวนกันแสวงหาคำตอบจากหนังสือต่างๆ เช่น หนังสือของฌอง ฌาค รุสโซ วอลแตร์ จอห์น สจ๊วต มิลล์ ธอมัส เจฟเฟอร์สัน และอับราฮัม ลินคอล์น รวมทั้งหนังสือเกี่ยวกับการปฏิวัติฝรั่งเศส และรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น หากป๋วยมองตนเองเรื่องการเมืองในขณะนั้นว่า “ผมยังคงสังกัดไทยมุง” เพราะไม่ได้เข้ามาร่วมเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเต็มตัว

จากรั้วโดมถึงลอนดอน

 

อาจารย์ป๋วยกลับมาเยี่ยมธรรมศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. 2516 ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์
อาจารย์ป๋วยกลับมาเยี่ยมธรรมศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. 2516
ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์

 

สองปีภายหลังการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) ก็สถาปนาขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 โดยมีผู้ประศาสน์การนาม ปรีดี พนมยงค์[2] ได้สานต่อแนวนโยบายในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ข้อ 6 จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร มธก. จึงเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแบบตลาดวิชาและหนึ่งในนักศึกษารุ่นแรกจำนวน 7,094 คน ของ มธก. คือ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ป๋วยสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองภาคค่ำเพราะกลางวันต้องทำงานเป็นครูที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ‘ธรรมศาสตร์บัณฑิต’ ภายในเวลา 3 ปี เมื่อ พ.ศ. 2480

จนกระทั่ง พ.ศ. 2481 ป๋วยสอบแข่งขันได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อด้านเศรษฐศาสตร์และการคลังที่ London School of Economics and Political Science (LSE) วิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทางด้านสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ขณะศึกษาในคณะเศรษฐศาสตร์ที่ LSE ป๋วยเป็นลูกศิษย์ของ Lionel Robbins และ Frederick Hayek ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์คนสำคัญ และใน พ.ศ. 2484 ป๋วยเรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งแบบ Double Firstหมายถึงมีคะแนนสูงที่สุดของเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากผลการเรียนที่ดีเยี่ยมทำให้ป๋วยได้รับทุนลีเวอร์ฮูล์ม (Leverhulme Studentship) เพื่อศึกษาต่อปริญญาเอกทันที หากความสำเร็จครั้งนี้ มารดาของป๋วยไม่ทันได้เห็นเพราะนางเซาะเช็งเสียชีวิตลงตั้งแต่ในปีแรกที่ป๋วยเดินทางมาประเทศอังกฤษ

 

การงานสำคัญของป๋วย อึ๊งภากรณ์

บทบาทของเสรีไทยในนาม ‘นายเข้ม เย็นยิ่ง’

ป๋วยยังไม่ทันเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอก สงครามโลกครั้งที่สองก็อุบัติขึ้น ทันทีที่ญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ล ฮาเบอร์ ของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 และกองบัญชาการของ จอมพล เคานท์ ฮิซะอิจิ เทราอูจิ ที่ตั้งอยู่เมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม ก็สั่งการให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าประเทศไทยตามแผนทันทีที่จังหวัดสมุทรปราการ และหลายจังหวัดทางภาคใต้ ต่อมารัฐบาลแถลงแก่ประชาชนว่า “จำเป็นต้องพิจารณาข้อเสนอของรัฐบาลญี่ปุ่นและผ่อนผันให้ทางเดินแก่กองทัพญี่ปุ่น โดยได้รับคำมั่นจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะเคารพเอกราช อธิปไตย และเกียรติศักดิ์ของไทย ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงได้ตกลงให้ทางเดินทัพแก่ญี่ปุ่น การต่อสู้ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นก็ได้หยุดลง”

ผลกระทบทันควัน คือ กระแสต่อต้านการตัดสินใจของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จากคนในรัฐบาลไปจนถึงประชาชนอันเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดขบวนการเสรีไทย ที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยของชาติไทยไม่ให้ตกอยู่ในมือของกองทัพญี่ปุ่น ขบวนการเสรีไทยจัดตั้งขึ้นใน 3 ประเทศ คือ ประเทศไทย ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษ โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในประเทศไทย

 

ประทาน เปรมกมล สำราญ วรรณพฤกษ์ และป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในปฏิบัติการพริทชาร์ทลักลอบเข้าประเทศไทย ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ประทาน เปรมกมล สำราญ วรรณพฤกษ์ และป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในปฏิบัติการพริทชาร์ทลักลอบเข้าประเทศไทย
ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์

 

ป๋วยเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยสายอังกฤษ ใน พ.ศ. 2485 และใช้รหัสว่า นายเข้ม เย็นยิ่ง โดยทำงานเป็นอาสาสมัครให้แก่ British Army Pioneers Corps และวันที่ 7 สิงหาคม ปีเดียวกัน คณะเสรีไทยสายอังกฤษก็ได้รับเรียกให้เข้าสมัครเป็นทหารของกองทัพอังกฤษอย่างเป็นทางการและถือเป็นจุดพลิกชีวิตของป๋วย

ป๋วยเล่าถึงชีวิตช่วงเสรีไทยและสงครามโลกครั้งสองไว้ในบทความ “ทหารชั่วคราว” ว่า

 

“ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ข้าพเจ้าเป็นทหารชั่วคราวตั้งแต่สิงหาคม 2485 จนถึงมกราคม 2489 การสมัครเข้าเป็นทหารครั้งนั้นมีลักษณะผิดธรรมดาอยู่หลายประการ กล่าวคือ เพื่อนฝูงข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเป็นคนไทย ยึดถือสัญชาติไทยแต่สมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพอังกฤษและสวมเครื่องแบบทหารอังกฤษ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในเวลานั้นเป็นเวลาสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับอังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่นรุกรานเข้ามาในประเทศไทย จนรัฐบาลไทยต้องทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น บรรดาคนไทยที่อยู่สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรอังกฤษนั้น รัฐบาลไทยเรียกตัวให้กลับแต่มีอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมกลับ แม้ว่ารัฐบาลไทยจะขู่เข็ญว่า ผู้ที่ไม่กลับประเทศไทยตามคำสั่งนั้นจะถูกถอนสัญชาติ ผู้ที่ไม่ยอมกลับประเทศไทยเหล่านั้น เรียกตนเองว่าเสรีไทย...”

 

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ป๋วยได้รับยศพันตรีแห่งกองทัพบกอังกฤษและเดินทางกลับไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่ London School of Economics and Political Science (LSE) มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยทำวิทยานิพนธ์ หัวข้อ การควบคุมดีบุกระหว่างประเทศช่วงสงคราม ค.ศ. 1920 - 1940 (International Tin Control between the Wars 1920 - 1940) และแต่งงานกับ มากาเร็ต สมิท (Magaret Smith) เพื่อนนักศึกษาสมัยเรียนปริญญาตรี ใน พ.ศ. 2489 ปิดฉากบทบาททหารชั่วคราว และเสรีไทย

บทบาทด้านเศรษฐกิจ การพัฒนา และการศึกษาในระบอบอำนาจนิยม

ภายหลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ใน พ.ศ. 2492 ป๋วยก็กลับสู่มาตุภูมิพร้อมกับภรรยาและบุตรชายคนแรก “จอน อึ๊งภากรณ์” แล้วเข้ารับราชการในตำแหน่งเศรษฐกร ประจำกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง

ป๋วยมองเศรษฐกิจสมัยรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยมว่า “...เศรษฐกิจภายใต้ระบอบเผด็จการ แน่ๆ จะต้องมีอภิสิทธิ์ และจะต้องทุจริต” และเข้ารับราชการทั้งที่รู้ว่ามีการทุจริตเพราะคิดว่า “ผมทำงานรับราชการมา ผมไม่ได้รับใช้เผด็จการ แต่ผมรับใช้ประชาชนผ่านเผด็จการ”

ผลงานช่วงแรกในการรับราชการที่ป๋วยมีส่วนร่วมผลักดันให้ประสบความสำเร็จ คือ โครงการเงินกู้ของธนาคารระหว่างประเทศเพื่อบูรณะและพัฒนาการ[3] เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ป๋วยช่วยให้ไทยได้ลงนามสัญญาเงินกู้ 3 โครงการ รวม 25.4 ล้านดอลลาร์ จากการเจรจาในที่ประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก ณ กรุงวอชิงตัน ด้วยผลงานและความสามารถทำให้ป๋วยเลื่อนตำแหน่งจากเศรษฐกรเป็นผู้ชำนาญการคลัง และผู้เชี่ยวชาญการคลัง ประจำกระทรวงการคลัง ในเวลาอันสั้น

ในวัย 37 ปี ป๋วยได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และยังเป็นกรรมการอำนวยการของสภาเศรษฐกิจแห่งชาติควบคู่กับตำแหน่งเดิมที่กระทรวงการคลัง มีหน้าที่หลักในการกำหนดและปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจไทย แต่ป๋วยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้เพียง 7 เดือนเศษก็ถูกปลด เนื่องจากไม่ยอมลู่ตามลม เมื่อพลเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์[4] ต้องการซื้อธนาคารสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด ซึ่งธนาคารแห่งนี้ต้องเสียค่าปรับให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยหลายล้านบาท พลเอก สฤษดิ์ จึงต้องการให้ยกเลิกค่าปรับแต่ป๋วยปฏิเสธเลยถูกโอนย้ายจากตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไปเป็นผู้เชี่ยวชาญการคลังที่กระทรวงการคลังดังเดิม

สองปีถัดมา ป๋วยในฐานะผู้ช่วยปลัดกระทรวงการคลังและผู้เชี่ยวชาญ ประจำธนาคารแห่งประเทศไทย มีผลงานปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจของไทยหลายด้าน ทั้งด้านการเงิน การคลัง และการค้า อาทิ เสนอให้ยกเลิกการผูกขาดของสำนักงานข้าวแล้วใช้ระบบการค้าข้าวกับต่างประเทศอย่างเสรี และสร้างเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศโดยเสนอให้รัฐบาลจอมพล ป. ประกาศยกเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนทางการหลายอัตรา แล้วหันมาใช้อัตราแลกเปลี่ยนทางการเพียงอัตราเดียว ส่งผลให้ทุนสำรองเงินตรามีมูลค่าเพิ่มขึ้น

แต่ใน พ.ศ. 2499 ป๋วยเกิดไปขัดผลประโยชน์ของพล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เรื่องการเปลี่ยนบริษัทพิมพ์ธนบัตร จึงตัดสินใจเดินทางไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่างนั้นป๋วยได้ขอความช่วยเหลือจาก Public Administration Service ของประเทศสหรัฐอเมริกา ให้เข้ามาศึกษา ปรับปรุงระบบบัญชี การจัดทำงบประมาณ ปรับปรุงระบบจัดเก็บสถิติด้านศุลกากร และจัดเก็บภาษีศุลกากรของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

หลังจาก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารยึดอำนาจในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็ประกาศนโยบายเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจไทยตามแนวทางธนาคารโลกจึงรื้อโครงสร้างการบริหารงานด้านเศรษฐกิจการคลังขนานใหญ่และชักชวนผู้มีความสามารถเข้ามาร่วมทำงานมากมาย รวมทั้งป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งจอมพล สฤษดิ์ ได้โทรเลขไปถึงป๋วยที่ประเทศอังกฤษเพื่อเสนอให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ป๋วยโทรเลขตอบปฏิเสธเนื่องจากเคยสาบานสมัยเป็นเสรีไทยไว้ว่า “จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ จนกว่าจะเกษียณอายุราชการ” หากป๋วยก็ยินยอมรับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณในเวลาต่อมา และให้เหตุผลที่เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณไว้ในบทความเหลียวหลัง แลหน้า ว่า

 

“เมื่อรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารเสร็จก็เรียกตัวผมเข้ามาทำงาน คณะรัฐประหารนั้น ผมเห็นมีผู้หลักผู้ใหญ่ร่วมอยู่เป็นอันมาก เช่น หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ คุณเล้ง ศรีสมวงศ์ คุณทวี บุณยเกตุ คุณพระเวช ยันต์รังสฤษดิ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือทั้งนั้น จึงตัดสินใจเข้ามาทำงานให้...” 

 

ผลงานสำคัญของป๋วยขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ คือ การแก้ไขกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และประกาศใช้พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 รวมทั้งปรับปรุงระเบียบวิธีปฏิบัติทางการคลังต่างๆ อาทิ วิธีการงบประมาณ และการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นต้น

ต่อมา ป๋วยได้รับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เดิมคือสำนักงานธนาคารชาติไทยเปิดทำการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483[5] หากเปิดได้เพียงหนึ่งปีเศษก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นแต่รัฐบาลฯ ได้ตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อรักษาอำนาจอธิปไตย และเปลี่ยนฐานะของสำนักงานธนาคารชาติไทยเป็นธนาคารกลางของประเทศ โดยมีพิธีเปิดธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยท่านแรก และในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2502 ป๋วยก็เข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นคนที่ 7 ควบคู่ไปกับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ด้วยวัยเพียง 44 ปี เท่านั้น 

ภาพความทรงจำของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ช่วงทศวรรษ 2500 จึงเป็นภาพนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาเศรษฐกิจและการธนาคาร หากยังมีการงานที่ป๋วยรักอีกบทบาทคือ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ป๋วยเข้ารับตำแหน่งใน พ.ศ. 2507 ตามคำเชิญชวนของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อธิการบดีฯ ซึ่งขณะนั้นป๋วยยังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ขอรับเงินเดือนเพียงครึ่งหนึ่งเพราะว่าต้องการทำงานในตำแหน่งคณบดีฯ ให้เต็มที่ การเรียนการสอนของคณะเศรษฐศาสตร์ในยุคที่ป๋วยเป็นคณบดีจึงไม่ได้ขลุกอยู่แค่ในห้องเรียนอย่างเดียว เพราะหลักสำคัญของการดำเนินงานด้านอุดมศึกษาตามทัศนะของป๋วย คือ ต้องอำนวยประโยชน์ให้แก่สังคมทันทีที่รับตำแหน่งคณบดี ป๋วยก็ตั้งคณะทำงานยกร่างหลักการและระเบียบของโครงการ “ประกาศนียบัตรอาสาสมัครขั้นบัณฑิต” (ป.อ.บ.) ขึ้น และจัดตั้งเป็น “สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร” (ส.บ.อ.) ในสมัยที่ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี เมื่อ พ.ศ. 2519

 

ป๋วยออกเยี่ยมบัณฑิตอาสาสมัครทางภาคเหนือเมื่อปี พ.ศ. 2516 ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ป๋วยออกเยี่ยมบัณฑิตอาสาสมัครทางภาคเหนือเมื่อปี พ.ศ. 2516
ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์

 

8 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2507-2515 ที่ป๋วยดำรงตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาสำคัญๆ หลายด้าน อาทิ เริ่มใช้หลักสูตรพื้นฐาน และเปลี่ยนเป็นระบบหน่วยกิต และในคณะเศรษฐศาสตร์ ป๋วยก็จัดการยกเครื่องใหม่ ปรับปรุงโครงสร้างภายในคณะฯ อาทิ สร้างอาจารย์ประจำ ปรับปรุงหลักสูตรชั้นปริญญาตรี การจัดตั้งโครงการปริญญาโทศึกษาเป็นภาษาอังกฤษขึ้น และปรับปรุงปริญญาโท ภาคค่ำ ส่งเสริมการอ่านตำรา และก่อตั้งห้องสมุดคณะ เป็นต้น[6]

 

จดหมายของนายเข้ม เย็นยิ่ง เรียน นายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ พ.ศ. 2515
จดหมายของนายเข้ม เย็นยิ่ง เรียน นายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ พ.ศ. 2515

 

บริบทการเมืองช่วงเวลานี้มีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 โดย จอมพลถนอม กิตติขจร ทำรัฐประหารรัฐบาลตนเองเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 ระหว่างนี้ป๋วยกำลังทำวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ แต่ยังติดตามปัญหาการเมืองด้วยการเขียนจดหมายของนายเข้ม เย็นยิ่ง[7] เรียน นายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ[8] เพื่อวิจารณ์รัฐบาลของจอมพล ถนอม ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 และตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในวารสารเศรษฐศาสตร์สาร ฉบับชาวบ้าน ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2515

ท่ามกลางบริบทความขัดแย้งทางการเมืองใน พ.ศ. 2516 ป๋วยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ และได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2516-2518 ต่อมา สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รักษาการแทนอธิการบดี 1 ธันวาคม พ.ศ. 2513-16 ตุลาคม พ.ศ. 2516) ในเวลานั้นใกล้ครบวาระและยืนยันว่าจะไม่รับตำแหน่งต่อ คณาจารย์ส่วนหนึ่งจึงหันมาสนับสนุนป๋วยให้เป็นอธิการบดี

 

รายงานการประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 1/2519 วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2519 ที่มาของเอกสาร : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี
รายงานการประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 1/2519 วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2519
ที่มาของเอกสาร : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี

 

ป๋วยเข้าดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในช่วงที่ยากลำบากด้วยถูกบีบคั้นจากทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองและเหตุการณ์ภายในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะความขัดแย้งกับนักศึกษา และยังถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ในรายงานการประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 1/2519 วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2519 ณ ห้องประชุมสภามหาวิทยาลัย ป๋วยได้แถลงกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ซึ่งปรากฏในหนังสือพิมพ์สยามมิศร์ ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ที่ เขียนข่าวพาดพิงว่า “ดร. ป๋วย ใช้พลังนักศึกษาเปลี่ยน มธ. เป็นคอมมูน” ซึ่งบิดเบือนความจริง[9]

หนึ่งปีนับจากนั้นได้เกิดความรุนแรงทางการเมืองอย่างต่อเนื่องทั้งสังหารผู้นำนักศึกษา ชาวนา กรรมกร และมีการชุมนุมภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงมีผู้บุกรุกเข้ามาในมหาวิทยาลัยฯ จนกระทั่งเกิดความรุนแรงในเช้าวันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ที่ส่งผลให้ป๋วยต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยไปยังประเทศอังกฤษ

 

มิตรแท้ในยามยากระหว่างปรีดี พนมยงค์ และป๋วย อึ๊งภากรณ์

ยามแรกที่ปรีดี พนมยงค์ ได้รู้จักป๋วย อึ๊งภากรณ์ คือช่วงที่ป๋วยได้รับทุนไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ และปรีดี ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งปรีดีเป็นรัฐมนตรีฯ ที่รับผิดชอบการให้ทุนฯ แก่ป๋วยโดยตรงและยังดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อข่าวที่ป๋วยได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ระดับปริญญาตรี และได้รับทุนลีเวอร์ฮูล์ม (Leverhulme Studentship) เพื่อศึกษาต่อปริญญาเอกมาถึงเมืองไทยแล้วปรีดีทราบจึงส่งโทรเลขไปแสดงความยินดีกับป๋วย นั่นถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่รู้จักกันผ่านตัวอักษร[10]

ต่อมาป๋วยในบทบาทเสรีไทยต้องติดต่อกับเสรีไทยในประเทศไทยผ่านวิทยุเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2486 โดยกองทัพอังกฤษมีคำสั่งให้ ร้อยตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หรือนามจัดตั้งว่า “เข้ม เย็นยิ่ง” เป็นผู้ติดต่อกับเสรีไทยในประเทศที่มีผู้นำ คือ ปรีดี พนมยงค์ หรือ นามจัดตั้งว่า รูธ[11] แม้ระยะแรกจะยังไม่ได้พบกันแต่ก็ได้ทำงานที่มีเป้าหมายเดียวกันและจากภารกิจเสรีไทยนี้เองที่ได้นำพาป๋วยไปพบกับปรีดี เมื่อป๋วยถูกจับกุมโดยสันติบาลไทยและสอบสวนโดยกองทัพญี่ปุ่นภายหลังกระโดดร่มลงที่หมู่บ้านวังน้ำขาว อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท

ขณะที่ป๋วยกับเพื่อนถูกคุมขังอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาลทางร้อยตำรวจเอก โพยม จันทรัคคะ เห็นว่าต้องพาป๋วยไปพบกับปรีดี หัวหน้าขบวนการเสรีไทย เพราะว่าป๋วยมีภารกิจนำสาส์นจาก ลอร์ด หลุยส์ เมานต์แบตเตน ผู้บัญชาการสูงสุดของสหประชาชาติมามอบให้ปรีดี ร้อยตำรวจเอกโพยมจึงเป็นสื่อกลางพาป๋วยไปพบกับ วิจิตร ลุลิตานนท์ เลขาธิการ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อให้วิจิตรพาป๋วยไปพบปรีดี และป๋วยก็ได้พบกับปรีดี ที่บ้านของวิจิตรเป็นครั้งแรกพร้อมกับดำเนินภารกิจเสรีไทยลุล่วงไปด้วยดี[12]

กระทั่งในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 เมื่อเยอรมนียอมจำนน ปรีดีได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีไปยังกัลกัตตาที่ป๋วยพำนักอยู่และกำลังจะขอลากลับไปพักยังอังกฤษโดยก่อนเดินทาง ปรีดีได้เรียกพบป๋วยและบอกกับป๋วยว่า

 

“ผมอยากให้คุณไปอังกฤษเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมือง…ผมอยากให้คุณไปเจรจาขอร้องให้รัฐบาลอังกฤษยอมรับรองขบวนการเสรีไทยว่าเป็นรัฐบาลอันชอบธรรมของไทย ทำนองเดียวกันกับที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้รับรองเราแล้ว…และผมอยากขอร้องอีกข้อด้วย คุณต้องเจรจาขอให้อังกฤษปลดปล่อยเงินสำรองเงินตราที่ไทยฝากไว้ที่อังกฤษ และถูกกักกันอยู่ทั้งหมดด้วย…”

 

ปรีดียังกำชับด้วยว่าให้ป๋วยติดต่อกับนายแอนโตนี อีเดน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษและบอกกับป๋วยว่าเป็นการทำ “เพื่อชาติ” แม้ป๋วยจะดำเนินการตามคำสั่งอย่างเต็มกำลังแต่ก็ไม่สำเร็จดังคาดหมาย เพราะรัฐบาลพรรคกรรมกรของอังกฤษถือว่าไทยคือศัตรู[13] จนหลังจากเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามและเหตุการณ์ในอังกฤษสงบลงแล้ว ป๋วยเดินทางกลับมายังไทยก็ได้รับยศพันตรีและกลับไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกจนสำเร็จใน พ.ศ. 2491 เมื่อเรียนจบจึงกลับมาอยู่เมืองไทยพร้อมกับครอบครัวคือ ภรรยา และบุตรชายใน พ.ศ. 2492 ซึ่งเป็นช่วงที่ปรีดีลี้ภัยออกจากไปแล้วนับตั้งแต่การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ปรีดีลี้ภัยอยู่ในจีนประมาณ 21 ปี[14] และเดินทางต่อไปยังฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2513

ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล บุตรสาวคนสุดท้องของปรีดี เล่าถึงช่วงแรกที่มาปารีสว่า ตอนนั้นต้องอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ มีพื้นที่เพียง 30 ตารางเมตร เลขที่ 11 rue Emile Dubois เขต 14 ต่อมาได้นำเงินจากการขายที่ดินในกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการช่วยเหลืออย่างดีจากป๋วยมาซื้อบ้านพร้อมที่ดินหรือ “บ้านอองโตนี” ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 100 ตารางวา ณ เมือง Antony ห่างจากปารีสไปทางทิศใต้ราว 25 กิโลเมตร[15] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2513 ป๋วยที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เดินทางไปยังปารีสและได้เข้าเยี่ยมคารวะปรีดี ดังบันทึกความทรงจำไว้ว่า

 

“เมื่ออาจารย์ปรีดีฯ ออกจากประเทศจีนมาอยู่ฝรั่งเศส พ.ศ. 2513 ผมได้กำหนดไว้ก่อนแล้วว่า จะไปพักตากอากาศในประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้โดยไม่ทราบล่วงหน้าว่าอาจารย์จะออกมา เมื่อท่านออกมาแล้ว ก็ได้คิดว่าสมควรจะไปเยี่ยมท่านเป็นการคารวะส่วนตัว ในฐานะศิษย์อาจารย์ และในฐานะที่เป็นเสรีไทยใต้บังคับบัญชาของท่าน…”

 

และป๋วยยังช่วยเป็นสื่อกลางระหว่างรัฐและปรีดีเรื่องการฟ้องรัฐบาลไทยเพื่อให้จ่ายเงินบำนาญอีกด้วย

 

[ก่อนไปเยี่ยมปรีดีที่ปารีส-ผู้เขียน] “... ผมจึงได้เข้าพบจอมพลถนอมก่อนเดินทาง เพื่อเรียนท่านว่าผมจะไปเยี่ยมอาจารย์ปรีดีฯ จอมพลถนอมก็แสดงความยินดี และยังได้ฝากให้ผมไปเรียนอาจารย์ปรีดีฯ ด้วยผมก็รับเป็นสื่อให้ และยังนำความจากอาจารย์ปรีดีฯ ด้วย ผมก็รับเป็นสื่อให้ และยังนำความจากอาจารย์ปรีดีฯ มาเรียนจอมพลถนอม ด้วยต่อมาเมื่ออาจารย์ปรีดีฯ ฟ้องรัฐบาลไทยให้ออกหนังสือเดินทางให้ และให้จ่ายเงินบำนาญผมก็ได้เป็นสื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยนอกศาล จอมพลถนอม ก็ยังได้แสดงความชื่นชมยินดีที่ผมได้จัดการสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย”

 

[ภาพจากซ้าย] ป๋วย อึ๊งภากรณ์ พูนศุข พนมยงค์ ปรีดี พนมยงค์ และไพโรจน์ ชัยนาม ณ บ้านอองโตนี, ปารีส พ.ศ. 2513
[ภาพจากซ้าย] ป๋วย อึ๊งภากรณ์ พูนศุข พนมยงค์ ปรีดี พนมยงค์ และไพโรจน์ ชัยนาม
ณ บ้านอองโตนี, ปารีส พ.ศ. 2513

 

นอกจากนี้ ป๋วยยังเป็นผู้ประสานใจระหว่าง ไพโรจน์ ชัยนาม และปรีดี จากความบาดหมางเรื่องหนังสือเดินทางด้วยการที่ป๋วยนัดไพโรจน์มากราบปรีดีที่บ้านอองโตนีจนจบลงด้วยดี[16] รวมถึงได้ประสานระหว่างกรณีของ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กับ ปรีดี พนมยงค์ ในจดหมายที่ป๋วยเขียนถึงปรีดี เมื่อ พ.ศ. 2515 ที่แสดงให้เห็นถึงความสนิท เคารพ และเห็นใจปรีดีในกรณีการถูกใส่ร้ายทางการเมืองไว้ดังนี้

 

“3 Barton Close,
Cambridge CB3 9LQ
England.

๒๐ กรกฎาคม ๒๕๑๕

กราบท่านอาจารย์ที่รักและเคารพ

ผมเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปประชุมที่ Canada และ Australia กับ lecture ที่ Malaysia ซึ่งกินเวลาทั้งสิ้นประมาณ ๑ เดือน จึงเพิ่งได้รับจดหมาย ๒๔ มิถุนายนของท่านอาจารย์พร้อมด้วยหนังสือ “บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย” กับ “บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมศานุวงศ์ฯ” ซึ่งท่านอาจารย์กรุณาส่งมา ผมขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ผมเห็นใจท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการใส่ร้ายเหยียดหยามมาหลายครั้งตลอดเวลา ๒๐ ปีเศษ และสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ซึ่งก็ชอบพอกับผมดีในเรื่องอื่น) ก็เป็นคนหนึ่งที่ให้ความอยุติธรรมแก่ท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก ผมไม่ได้เห็นด้วยกับสุลักษณ์เลยในเรื่องนี้ ผมเห็นว่าที่ท่านอาจารย์ได้เขียนเพิ่มเติมไปนั้นก็ชอบอยู่ถ้าเป็นผมก็คงจะอดโต้ตอบไม่ได้เป็นแน่

ผมใคร่ขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่า บทความเรื่องการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสําหรับประวัติศาสตร์ แต่เท่าที่ได้สังเกตดูจากปฏิกิริยาของเด็กรุ่นหนุ่มสาวปัจจุบัน ถ้าท่านอาจารย์จะแยกเรื่องของสุลักษณ์ออกเสียเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะทําให้น้ําหนักของทั้งสองตอนเพิ่มมากขึ้น เพราะเรื่องตอนต้นเป็นเรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักการและปรัชญา ซึ่งทุกคนจะพึงรับและเคารพ ส่วนตอนหลังซึ่งผมเข้าใจว่าท่านอาจารย์เจตนาจะโต้สุลักษณ์ที่เขียนวิจารณ์ The Devil's Discus นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับสุลักษณ์โดยตรง ซึ่งท่านอาจารย์นํามารวมกัน ทําให้เห็นเป็นเรื่องทําให้สุลักษณ์มีความสําคัญจนเกินไป และขณะนี้สุลักษณ์ก็มีปฏิกิริยารุนแรงโต้ตอบท่านอาจารย์ในหนังสือ อนาคต ของเขา ข้อนี้สําหรับหนุ่มสาวที่ไม่ทราบเรื่องและได้ถูกย้อมสมองมานานคงจะเห็นเป็นเรื่อง controversial ฟังเป็นยุติไม่ได้ ไม่เหมือนผมที่เข้าใจเจตนาท่านอาจารย์ดี และมี sympathy ต่อท่านอาจารย์ตลอดเวลา

ผมเองเห็นตรงกันข้ามกับสุลักษณ์ในเรื่องท่านอาจารย์และท่านชิ้น ฯลฯ แต่เห็นว่าสุลักษณ์เองก็มีเจตนาดีต่อบ้านเมืองและในหนังสือ อนาคต ฉบับเดียวกันนั้น ได้กล้าหาญเขียนคัดค้านเรื่องอดีต ส.ส. ๓ คน เป็นบทความที่ผมเห็นว่าเขียนดีมาก ผมอยากจะได้สุลักษณ์ไว้เป็นกําลังต่อต้านผู้มีอํานาจในปัจจุบัน และต่อต้านคนอย่างคึกฤทธิ์ ฉะนั้นผมจึงจะพยายามขอร้องให้สุลักษณ์ยุติการเขียนเป็นปรปักษ์กับท่านอาจารย์ เพราะอย่างน้อยก็ตรงกันที่รักเสรีภาพและสนับสนุนเสรีภาพ ผมจึงขอกราบเรียนวิงวอนท่านอาจารย์ว่าอย่าได้โต้ตอบต่อไปเลย ขอได้โปรดอภัยให้ผม และผมจะว่ากล่าวสุลักษณ์ต่อไป ข้อที่สุลักษณ์นํามากล่าวที่ผมเห็นว่าอ่อนที่สุด คือ เอาคณะราษฎรมาปะปนกับจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอม-ประภาส และณรงค์ ผมหวังว่าจะได้พบสุลักษณ์ในไม่ช้าและจะพยายามปรับความเข้าใจให้สุลักษณ์เห็นด้วยกับผม

เมื่อผมไปถึงกัวลาลัมเปอร์ ผมมีเวลาพอที่จะเข้าไปกรุงเทพสัก ๒ วันแต่ผมมายั้งคิดดูตามที่ท่านอาจารย์และคุณพูนศุขกรุณาแนะนําผมไว้ว่าไม่ควรเข้าไปเสี่ยงภัย เพราะเขาปลุกพยานเท็จได้ง่ายผมจึงระงับเสีย ไม่แวะเข้าไปกรุงเทพและผมตัดสินใจว่าจะอยู่ Cambridge ต่ออีก ๑ ปี หรือจนกว่าบ้านเมืองไทยจะมีเสรีภาพพอให้ผมทําอะไรได้บ้างจึงจะกลับไป

ผมหวังว่าท่านอาจารย์คงจะเป็นสุขสบายดีและไม่มีเรื่องขุ่นหมองใจนัก หากในจดหมายนี้ผมได้กราบเรียนสิ่งใดเป็นที่เคืองระคาย ขอได้โปรดให้อภัยแก่ผมด้วย เพราะผมไม่มีเจตนาอย่างอื่นนอกจากจะอยากให้ท่านอาจารย์ได้รับความเคารพจากคนไทยทุกรุ่น สมกับที่ท่านอาจารย์ได้ปฏิบัติและบําเพ็ญประโยชน์แก่พวกผมมาเป็นเวลานาน

ด้วยความรักและเคารพ
ป๋วย อึ้งภากรณ์

ผมได้พบ Michael Wrigley เมื่อวันวานนี้ เขาถามถึงท่านอาจารย์และอวดว่า ได้รับคริสต์มาสการ์ดจากท่านอาจารย์ด้วย”[17]

 

ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ณ มูลนิธิโกมล คีมทอง ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ณ มูลนิธิโกมล คีมทอง
ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์

 

จดหมายฉบับนี้ตีพิมพ์ในหนังสือมิตรแท้ในยามยาก ซึ่งรวบรวมจดหมายของปรีดี และป๋วยที่เขียนตอบโต้กันในช่วงวิกฤตการณ์เมืองไทย พ.ศ. 2513-2515 ไว้อย่างน่าสนใจหลายฉบับ กระทั่งความขัดแย้งทางการเมืองไทยพุ่งสู่จุดสูงในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 โดยภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ป๋วยจำต้องลี้ภัยทางการเมืองออกนอกประเทศไทยเนื่องจากถูกใส่ร้ายว่าเป็นคอมมิวนิสต์และถูกคุกคามชีวิต ป๋วยเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ เมื่อตั้งหลักได้ใน พ.ศ. 2520 จึงเดินทางมาเยี่ยมปรีดีที่ปารีสอีกครั้งและครั้งนี้ทั้งสองต่างตกอยู่ในสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง วาณี พนมยงค์ เล่าถึงการมาเยือนของป๋วยว่า

 

“คุณป๋วยฯ พักอยู่ที่บ้านอองโตนีหลายคืน ห้องรับแขกเล็กๆ ขนาดกว้างยาวประมาณ 20 ตารางเมตร ตอนกลางวันเป็นห้องเอนกประสงค์ ทั้งรับแขก และรับประทานอาหาร ตกกลางคืน เพียงแค่กางเตียงผ้าใบเล็กๆ เพิ่มขึ้น ห้องนี้ก็แปลสภาพเป็นห้องนอนคุณป๋วย…”

 

[ภาพจากซ้าย] ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และปาล พนมยงค์ ณ บ้านอองโตนี, ปารีส พ.ศ. 2520
[ภาพจากซ้าย] ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และปาล พนมยงค์
ณ บ้านอองโตนี, ปารีส พ.ศ. 2520

 

ป๋วยยังได้พาวาณี และหลานๆ ไปดูหนังและนั่งดื่มกาแฟ จิบเบียร์ สนทนากันในช่วงเวลาที่อยู่ปารีส

 

“วันหนึ่ง คุณป๋วยฯ ชวนลูกๆ ของคุณพ่อ (ปรีดีฯ) นั่งรถไฟใต้ดินไปดูภาพยนตร์ เรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว แสดงโดยอแลง เดอลอง (Alain Delon) พระเอกชาวฝรั่งเศสที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนั้น บางทีก็ชวนกันไปนั่งที่ร้านกาแฟริมถนน จิบเบียร์เย็นๆ คุยกันสบายๆ ในบรรยากาศผ่อนคลาย”[18]

 

ปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2520 ในอังกฤษหลังจากที่ป๋วยกลับมาจากเยี่ยมคารวะปรีดี ก็เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก (Stroke) ส่งผลให้พูดและเขียนได้ไม่คล่องดังเดิมโดยจอน อึ๊งภากรณ์ บุตรชายคนโตของป๋วย เล่าถึงอาการป่วยและสวัสดิการที่ได้รับจากสังคมอังกฤษไว้ว่า

 

“ปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2520 ก่อนเดินทางไปพบปะคนไทยในอเมริกาเพียง 1 วัน คุณพ่อเส้นโลหิตในสมองแตก (Stroke) ยังดีที่เหตุเกิดในอังกฤษเพราะที่นั่นมีประกันสังคม ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล คุณพ่อรักษาฟรีทุกอย่างตลอด 3 เดือนในโรงพยาบาลและสถานพักฟื้น…”[19]

 

บทบาทของป๋วยและปรีดี ภายหลังการลี้ภัยทางการเมืองในทศวรรษ 2510 นั้นมีความคล้ายคลึงกันคือการให้ความรู้และเผยแพร่ความคิดทางการเมืองแก่นิสิตนักศึกษายังต่างแดน รวมถึงการส่งข้อเขียนมาลงในหนังสือนักศึกษาที่เฟื่องฟูหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทางฝ่ายปรีดีจะแสดงความรู้เกี่ยวกับการอภิวัฒน์สยาม 2475 เป็นหลัก โดยการให้สัมภาษณ์ งานเขียน และการแสดงปาฐกถาต่างๆ ไม่ว่าจะในแง่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์รวมถึงข้อบกพร่องของคณะราษฎรในทัศนะของตน ส่วนบทบาทของป๋วยภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะเน้นการเผยแพร่ความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย และเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองช่วง 6 ตุลาฯ เป็นหลัก

 

จดหมายลายมือป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงความเสียใจถึงครอบครัวปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ ลงวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2526
จดหมายลายมือป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงความเสียใจถึงครอบครัวปรีดี-พูนศุข พนมยงค์
ลงวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2526

 

งานเลี้ยงยังมีวันเลิกราและฉากสุดท้ายของชีวิตก็มาถึงโดยมิตรปรีดี ได้จากไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ณ บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส ป๋วยได้เขียนจดหมายแสดงความเสียใจมายังครอบครัวปรีดี-พูนศุข ด้วยมือซ้ายที่ผ่านการฝึกฝนอย่างอดทน

 

[ภาพจากซ้าย] พูนศุข พนมยงค์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และมากาเร็ต ภรรยา ณ บ้านซอยสวนพลู พ.ศ. 2530
[ภาพจากซ้าย] พูนศุข พนมยงค์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และมากาเร็ต ภรรยา
ณ บ้านซอยสวนพลู พ.ศ. 2530

 

หลังการอสัญกรรมของปรีดีทางครอบครัวของป๋วยและมากาเร็ต ภรรยา ก็ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวปรีดี เช่น เมื่อป๋วยเดินทางมาไทยครั้งแรกหลัง 6 ตุลา ใน พ.ศ. 2530 ป๋วย ก็ได้ไปเยี่ยมพูนศุข พนมยงค์ ภรรยาของปรีดีและครอบครัวที่ซอยสวนพลู

 

[ภาพจากซ้าย] ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และพูนศุข พนมยงค์ ที่บ้านของป๋วย ณ ลอนเดิน ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2530
[ภาพจากซ้าย] ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และพูนศุข พนมยงค์ ที่บ้านของป๋วย
ณ ลอนเดิน ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2530

 

เมื่อพูนศุขเดินทางไปประเทศอังกฤษก็ไปเยี่ยมป๋วยและภรรยา มิตรภาพยังสานสัมพันธ์ตราบจนป๋วยถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 ซึ่งปิดฉากบทบาททางสังคมการเมืองของป๋วย อึ๊งภากรณ์ ลง แต่ในยามรำลึกถึงป๋วยในมุมของมิตรย่อมต้องมีภาพของปรีดี พนมยงค์ เป็น “มิตรแท้ในยามยาก” คนสำคัญนับตั้งแต่ช่วงขบวนการเสรีไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงการลี้ภัยการเมืองหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

ยามบั้นปลายชีวิตปรีดีกับป๋วยยังเป็นมิตรทางความคิดเรื่องรัฐสวัสดิการกล่าวคือ ในอดีตปรีดีเคยเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ ด้วยอุดมคติต้องการให้เกิดความเสมอภาคทางเศรษฐกิจแก่สังคมและราษฎรสยาม

ขณะที่ป๋วยเสนอแนวคิดรัฐสวัสดิการไว้ในข้อเขียนเรื่อง คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ที่ทั้งกระตุ้นให้คิด และเป็นเสมือนข้อเรียกร้องต่อรัฐเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนคนหนุ่มสาว

 

“...ผมต้องการสุขภาพอนามัยอันดี และรัฐบาลจะต้องให้บริการป้องกันโรคแก่ผมฟรี กับบริการการแพทย์ รักษาพยาบาลอย่างถูกอย่างดี เจ็บป่วยเมื่อใดหาหมอพยาบาลได้สะดวก

ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำดื่มบริสุทธิ์สำหรับดื่ม

เรื่องอะไรที่ผมทำเองไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ดี ผมก็จะขอความร่วมมือกับเพื่อนฝูงในรูปสหกรณ์ หรือสโมสร หรือสหภาพ จะได้ช่วยซึ่งกันและกัน

เรื่องที่ผมจะเรียกร้องข้างต้นนี้ ผมไม่เรียกร้องเปล่า ผมยินดีเสียภาษีอากรให้ส่วนรวมตามอัตภาพ

ผมต้องการโอกาสที่มีส่วนในสังคมรอบตัวผม ต้องการมีส่วนในการวินิจฉัยโชคชะตาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของชาติ…”

 

แนวคิดรัฐสวัสดิการข้างต้นจึงเปรียบดั่งปณิธานในวาระสุดท้ายของป๋วย อึ๊งภากรณ์

 

อาจารย์ป๋วยกลับไปเยี่ยมคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์
อาจารย์ป๋วยกลับไปเยี่ยมคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ที่มา: เว็บไซต์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์

 

ที่มาของภาพ : ดุษฎี พนมยงค์, ท่านมองเห็นอะไร ? ข้างหลังภาพปรีดี-ป๋วย ใน ปรีดีบรรณานุสรณ์ 2559 หนังสือที่ระลึกในวาระ 116 ปีชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559), หน้า 1-23.  และหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี

 

บรรณานุกรม

เอกสารชั้นต้น :

  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ทม.4.1.1.16/57 เอกสารทบวงมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง รายงานการประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 1/2519 วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2519

หนังสือภาษาไทย :

  • กษิดิศ อนันทนาธร บรรณาธิการ, ปรีดีบรรณานุสรณ์ 2559 หนังสือที่ระลึกในวาระ 116 ปีชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559)
  • ชมัยพร แสงกระจ่าง, ดอกหญ้าเหนือผืนดิน, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559)
  • ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะฯ, ปรีดี ป๋วย กับธรรมศาสตร์ และการเมือง, ( กรุงเทพฯ: หอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์, 2549)
  • ดุษฎี พนมยงค์, ปรีดี พนมยงค์ กับชีวิต 21 ปีในจีน, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2555)
  • ดุษฎี พนมยงค์, ท่านมองเห็นอะไร ? ข้างหลังภาพปรีดี-ป๋วย ใน ปรีดีบรรณานุสรณ์ 2559 หนังสือที่ระลึกในวาระ 116 ปีชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559), หน้า 1-23.
  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์, อัตชีวประวัติ: เหลียวหลัง แลหน้า พิมพ์ครั้งที่ 2 ปรับปรุงใหม่, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559)  
  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์, “จดหมายจากป๋วย ถึงปรีดี ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2515,” ใน มิตรแท้ ในยามยาก, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559)
  • รวินทร์ คำโพธิ์ทอง, ศาสตราจารย์ พันตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีผู้เป็นแบบอย่างความดี ความงาม และความกล้าหาญ (พ.ศ. 2518-2519) ใน วารุณี โอสถารมย์ และคณะฯ, ผู้ประศาสน์การและอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ. 2477-2556): ประวัติชีวิต ความคิด และการทำงาน, (กรุงเทพฯ: หอจดหมายเหตุและหอประวัติศาสตร์เกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; 2556), หน้า 246-289.

สื่ออิเล็กทรอนิกส์ :

  • กษิดิศ อนันทนาธร. (1 ธันวาคม 2564). เรื่องของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า กับ นายปรีดี พนมยงค์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2. สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2021/12/908
  • เขมภัทร ทฤษฎิคุณ. (9 มีนาคม 2565). นึกถึงคนชื่อป๋วยในวันที่สังคมไทยไม่เป็นสันติประชาธรรม. สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2022/03/1000
  • โครงการ 100 ปีชาตกาล ศ. ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. จดหมายเหตุฯ ป๋วย เอกสารชั้นต้นที่เขียนด้วยลายมือโดยป๋วยในเรื่องต่างๆ. สืบค้นจาก www.puey-ungpakorn.org/index.php/archives 
  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์. (21 สิงหาคม 2563). พระบรมวงศานุวงศ์และขบวนการเสรีไทย. สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2020/08/389
  • ป๋วย อึ๊งภากรณ์. คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน. สืบค้นจาก http://www.openbase.in.th/files/ebook/pueyungphakorn/life.pdf
  • 100 ปี ชาตกาล ป๋วย อึ๊งภากรณ์. (12 กุมภาพันธ์ 2558). ร่างแรกของ “จดหมาย นายเข้ม เย็นยิ่ง เรียน นายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ”. สืบค้นจาก https://web.facebook.com/Puey100/posts/895654643809134/

 

 

[1] ถ่ายภาพโดย ดร.จริย์วัฒน์ สันตะบุตร

[2] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม คือ บรรดาศักดิ์ของปรีดี พนมยงค์ ณ ขณะนั้น

[3] ธนาคารโลก-ในปัจจุบัน

[4] ยศในขณะนั้น

[5] เมื่อพลตรีหลวงพิบูลสงครามเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2481 และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารชาติขึ้นมาใหม่ และในที่สุดก็สามารถร่างกฎหมายจัดตั้งธนาคารชาติไทยสำเร็จ โดยให้มีฐานะเป็นทบวงการเมือง สังกัดกระทรวงการคลัง และมีพระยาทรงสุรรัชฎ์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นผู้อำนวยการ วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทย คือ เพื่อประกอบกิจการธนาคาร รับฝากเงินของรัฐบาล ส่วนราชการ และธนาคารพาณิชย์ของไทยหรือต่างประเทศ รวมถึงให้กู้เงินและจัดการเงินกู้แก่รัฐบาล ที่สำคัญคือ เตรียมการจัดตั้งธนาคารแห่งชาติ และจัดตั้งสำเร็จใน พ.ศ. 2483

[6] รวินทร์ คำโพธิ์ทอง, ศาสตราจารย์ พันตรี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีผู้เป็นแบบ อย่างความดี ความงาม และความกล้าหาญ (พ.ศ. 2518-2519) ใน วารุณี โอสถารมย์ และคณะฯ, ผู้ประศาสน์การและอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ. 2477-2556): ประวัติชีวิต ความคิด และการทำงาน, (กรุงเทพฯ: หอจดหมายเหตุและหอประวัติศาสตร์เกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; 2556), หน้า 246-289.

[7] เข้ม เย็นยิ่ง คือนามจัดตั้งในขบวนการเสรีไทยของป๋วย อึ๊งภากรณ์

[8] ฉบับร่างของจดหมายฯ นี้ โปรดดูเพิ่มเติมที่ 100 ปี ชาตกาล ป๋วย อึ๊งภากรณ์. (12 กุมภาพันธ์ 2558). ร่างแรกของ “จดหมาย นายเข้ม เย็นยิ่ง เรียน นายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ”. สืบค้นจาก https://web.facebook.com/Puey100/posts/895654643809134/?_rdc=1&_rdr

[9] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ทม.4.1.1.16/57 เอกสารทบวงมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง รายงานการประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 1/2519 วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2519, หน้า 8.

[10] ชมัยพร แสงกระจ่าง, ดอกหญ้าเหนือผืนดิน, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559), หน้า 42.

[11] เรื่องเดียวกัน, หน้า 51-52.

[12] เรื่องเดียวกัน, หน้า 97-98.

[13] เรื่องเดียวกันหน้า 102-106.

[14] ดุษฎี พนมยงค์, ปรีดี พนมยงค์ กับชีวิต 21 ปีในจีน, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2555)

[15] ดุษฎี พนมยงค์, ท่านมองเห็นอะไร ? ข้างหลังภาพปรีดี-ป๋วย ใน ปรีดีบรรณานุสรณ์ 2559 หนังสือที่ระลึกในวาระ 116 ปีชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559), หน้า 2.

[16] เรื่องเดียวกัน, หน้า 11-12.

[17] ป๋วย อึ๊งภากรณ์, “จดหมายจากป๋วย ถึงปรีดี ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2515,” ใน มิตรแท้ในยามยาก, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559), หน้า 123-125.

[18] ดุษฎี พนมยงค์, ท่านมองเห็นอะไร ? ข้างหลังภาพปรีดี-ป๋วย ใน ปรีดีบรรณานุสรณ์ 2559 หนังสือที่ระลึกในวาระ 116 ปีชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559), หน้า 13-14.

[19] เรื่องเดียวกัน, หน้า 20-21.