ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

เมื่อรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา 25 มกราคม พ.ศ. 2485

25
มกราคม
2566

“การประกาศสงครามเมื่อวันที่ 25 มกราคม พุทธศักราช 2485 ต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งการกระทำทั้งหลายซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อสหประชาชาตินั้น เป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทย และฝ่าฝืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง”

ปรีดี พนมยงค์,
ประกาศสันติภาพ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488[1]

ภายหลังจากไทยถูกญี่ปุ่นบุกในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 และรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตัดสินใจรับข้อเสนอบางประการจากญี่ปุ่น ฝ่ายอักษะในสงครามมหาเอเชียบูรพา ต่อมาในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลก็ลงนามในกติกาสัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นการรับข้อเสนอข้อที่ 2 และในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 ทางรัฐบาลได้ประกาศสงครามใหญ่กับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา[2]

นับตั้งแต่การรับข้อเสนอครั้งแรกของรัฐบาลไทยก็เกิดข้อถกเถียงและความขัดแย้งภายในสมาชิกคณะราษฎรชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะในกรณีที่นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ ในเวลาดังกล่าวที่ไม่ได้ลงนามในการประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา[3] ซึ่งนายปรีดี ได้บันทึกประวัติศาสตร์และข้อวิจารณ์สงครามครั้งนี้ไว้อย่างละเอียดและไม่ค่อยมีการกล่าวถึง จึงขอนำเสนอไว้ในบทความชิ้นนี้พร้อมกับหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ ณ ช่วงเวลาดังกล่าว

 

นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในระหว่างการประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา 25 มกราคม พ.ศ. 2485
นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ
ในระหว่างการประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา 25 มกราคม พ.ศ. 2485

 

ก่อนการประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา

 

หนังสือโมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์
หนังสือโมฆสงคราม
บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์

 

ในบันทึกส่วนบุคคลของ นายปรีดี พนมยงค์ ที่ตีพิมพ์ในหนังสือ โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ เล่าถึงสงครามจิตวิทยาของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก่อนการประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาเพื่อหวังให้ประชาชนเกิดความนิยมในฝ่ายอักษะหรือแสนยานิยมของญี่ปุ่น และตัวผู้นำมากยิ่งขึ้นไว้ว่า ในสมัยที่ นายวิจิตร วิจิตรวาทการ (หลวงวิจิตรวาทการ) ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมโฆษณาการนั้น รัฐบาลได้สั่งห้ามประชาชนไม่ให้ฟังวิทยุแบบคลื่นสั้นของฝ่ายสัมพันธมิตร ณ ขณะนั้นราษฎรส่วนใหญ่ไม่มีเงินซื้อเครื่องรับวิทยุและชนชั้นกลางก็มีแต่เครื่องรับวิทยุที่ฟังได้เฉพาะแบบคลื่นยาว เช่น รายการของกรมโฆษณาการ จึงมีเพียงราษฎรส่วนน้อยเท่านั้นที่มีวิทยุแบบที่ฟังรายการของฝ่ายสัมพันธมิตรได้

นายปรีดียังเสนอว่า ในช่วงเวลานั้นรัฐบาลได้เข้มงวดตรวจตราการเผยแพร่ข่าวสารต่างประเทศในไทย ทั้งการตรวจเรื่องที่หนังสือพิมพ์จะลงข่าวต่างประเทศ ซึ่งกรมไปรษณีย์โทรเลขรับฟังมา แล้วนำมาพิมพ์จำหน่ายหรือแจกให้แก่รัฐมนตรีกับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ และหนังสือพิมพ์บางฉบับ โดยปฏิบัติการจิตวิทยาอย่างหนึ่ง คือการที่รัฐบาลไทยกับญี่ปุ่นได้ตั้งกรรมการตรวจข่าวต่างประเทศร่วมกัน และมีการตัดข่าวในแง่บวกของฝ่ายพันธมิตรออก ให้ลงได้แต่ข่าวที่พันธมิตรยอมรับว่าพ่ายแพ้ ส่วนข่าวของฝ่ายอักษะไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลีนั้น สามารถเผยแพร่ได้อย่างเต็มที่

ผลลัพธ์จากปฏิบัติการทางจิตวิทยา นายปรีดีระบุว่าส่งผลให้ประชาชนส่วนมากได้ยินความข้างเดียวของรัฐบาลและฝ่ายอักษะ และเมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ควบคุมวิทยุของกรมโฆษณาการแล้ว จึงมีการนำเสนอบทความโจมตีฝ่ายสัมพันธมิตร ที่มีลีลาการเขียนด้วยถ้อยคำก้าวร้าว เช่น บทความโจมตีพระราชวงศ์ของอังกฤษที่นายปรีดีชี้ว่าผู้ที่เขียนบทความนี้อาจจะเป็นหนึ่งในจตุสดมภ์[4] หรือคนสนิทสี่คนที่หนุนช่วยจอมพล ป. อยู่ก็เป็นได้[5]

 

บันทึกนิรนามบันทึกเรื่องการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในไทย ระหว่างวันที่ 8 - 25 มกราคม พ.ศ. 2485
บันทึกนิรนามบันทึกเรื่องการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในไทย
ระหว่างวันที่ 8 - 25 มกราคม พ.ศ. 2485

 

ภาพความเสียหายบริเวณหัวลำโพง จากการทิ้งระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตรในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2485 - 2487
ภาพความเสียหายบริเวณหัวลำโพง
จากการทิ้งระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตรในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2485 - 2487

 

1 เดือนก่อนการประกาศสงครามได้มีข้อมูลจากบันทึกของราษฎรนิรนามเสนอภาพความรุนแรงจากสงครามมหาเอเชียบูรพาว่ามีการโจมตีในเขตธนบุรีเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2485 โดยเครื่องบินอังกฤษมาทิ้งระเบิด และหลังจากนั้นกรุงเทพฯ ก็ถูกโจมตีจากฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นระยะและปรากฏร่องรอยความเสียหายทั้งในเขตพระนครและเขตธนบุรีซึ่งการโจมตีจะเน้นไปที่สถานที่ราชการสำคัญ หากต่อมากลับไม่เว้นแม้กระทั่งโรงทาน และบันทึกของราษฎรดังกล่าวยังระบุว่ามีการโจมตีในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 อีกด้วย

 

ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485
ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485

 

และช่วงเที่ยงของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้การประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา โดยปัญหาทางประวัติศาสตร์ของประกาศสงครามฯ ฉบับนี้คือ การอ้างชื่อของนายปรีดี พนมยงค์ ทั้งที่มิได้อยู่ลงนามและการอ้างอิงความชอบธรรมของรัฐบาลจากบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ “อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 54 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศทราบทั่วกันว่า ได้มีสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยฝ่ายหนึ่งกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันของวันที่ 25 มกราคม 2485 เป็นต้นไป”[6]

 

คำแถลงการณ์เกี่ยวแก่การประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา
คำแถลงการณ์เกี่ยวแก่การประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา

 

คำแถลงการณ์เกี่ยวแก่การประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาฉบับถัดมาได้ระบุข้อมูลการโจมตีไทยจากฝ่ายพันธมิตรไว้ว่า

 

“ในระหว่างเวลาตั้งแต่วันที่ 8 ​ธันวาคม ถึง 20 มกราคม ไทยได้ถูกโจมตีทางอากาศ 30 ครั้ง และโจมตีทางบกถึง 36 ครั้ง”

 

และในคืนวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2485 เครื่องบินอังกฤษยังบินมาโจมตีกรุงเทพฯ อีกครั้งซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่รัฐบาลอ้างถึง แล้วนำมาสู่การประกาศสงครามระหว่างไทยกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485[7]

 

พระบรมราชโองการประกาศให้ปฏิบัติตามความเป็นกลาง พุทธศักราช 2482
พระบรมราชโองการประกาศให้ปฏิบัติตามความเป็นกลาง พุทธศักราช 2482

 

เมื่อสงครามสิ้นสุดลงได้มีการประกาศวันสันติภาพในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 โดย นายปรีดี พนมยงค์ และภายหลังสงครามจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์เรื่องการประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 สำคัญ จากทั้งนักประวัติศาสตร์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นักกฎหมาย หรือทั้งฝ่ายอนุรักษนิยม และฝ่ายเสรีนิยมว่าการประกาศสงครามของรัฐบาลจอมพล ป. ครั้งนั้นเป็นการละเมิดต่อประกาศพระบรมราชโองการให้ปฏิบัติตามความเป็นกลาง พ.ศ. 2482 หรือไม่ อย่างไร

หากมองในทางหลักกฎหมายถือเป็นการละเมิดต่อประกาศฯ นี้อย่างแน่แท้ เนื้อความสำคัญในพระบรมราชโองการฯ เรื่องสถานะความเป็นกลางบัญญัติ มีดังนี้ โดยผู้เขียนได้คงตัวสะกดตามต้นฉบับไว้

 

“โดยที่บัดนี้มีสถานะสงครามอยู่ในบริเตนใหญ่ ฝรั่งเศส และ เยอรมนี, และ

โดยที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดํารงเป็นผาสุกอยู่ในสันติภาพและมิตรภาพกับพระมหากษัตริย์และประมุขแห่งรัฐ ตลอดจนอาณาประชาชนและคนชาติแห่งรัฐนั้นๆ แต่ละรัฐ และ

โดยที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ที่จะให้อาณาประชาราษฎรของพระองค์คงได้รับประโยชน์เป็นมั่นคงอยู่ในสันติภาพอันเป็นคุณหาที่สุดมิได้ และเพื่อการนี้ ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดและ เที่ยงธรรมในสถานะสงครามดั่งกล่าวแล้ว

ฉะนั้น คณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึ่งให้ตราประกาศขึ้นไว้ดังต่อไปนี้

ให้บันดาข้าราชการและอาณาประชาราษฎรไทย และบันดาบุคคลซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ปฏิบัติตามความเป็น กลางอย่างเคร่งครัดและเที่ยงธรรม ในระหว่างที่มีสถานะสงครามอยู่นีั้…”[8]

 

ส่วนข้อถกเถียงอีกแง่คือรัฐบาลจอมพล ป. มีทางเลือกอื่นในการไม่ประกาศสงครามหรือไม่ในเวลานั้น

 

จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิท

นอกจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากเอกสารของทางราชการที่เกี่ยวเนื่องกับการประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาแล้วยังมีหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญประเภทจดหมายส่วนบุคคลของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิท ได้ชี้แจงและโต้แย้งเรื่องการประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่ฯ ในประเด็นที่ว่า เมื่อครั้งจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่ฯ นั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำอยู่กรุงวอชิงตัน ได้“พกใบประกาศสงครามไว้ในกระเป๋าโดยไม่นำไปยื่นต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกา” จึงเป็นเหตุทำให้สหรัฐอเมริกาไม่ถือว่ามีสถานะสงครามกับไทยซึ่งนายปรีดีได้แย้งต่อกรณีดังกล่าวด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้ดังนี้

 

“รัฐบาลจอมพลพิบูลฯ ได้แจ้งการประกาศสงครามให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาทราบถูกต้องสมบูรณ์แบบตามระเบียบการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศแล้วคือ รัฐบาลพิบูลฯ ได้แจ้งประกาศสงครามแก่กงสุลสวิสประจํากรุงเทพฯ ซึ่ง รัฐบาล ส.ร.อ. (สหรัฐอเมริกา—ผู้เขียน) ตั้งเป็นตัวแทนดูแลผลประโยชน์ของ ส.ร.อ. เอกสารหลักฐานซึ่งลงพิมพ์ในหนังสือของรัฐบาล ส.ร.อ. ชื่อ Foreign Relations of the United States ค.ศ. 1942 เล่ม 1 หน้า 915” 

 

หลักฐานประวัติศาสตร์ Foreign Relations of the United States ค.ศ. 1942 เล่ม 1 หน้า 915 ที่นายปรีดี เสนอให้เห็นว่ารัฐบาลของจอมพล ป. แจ้งประกาศสงครามฯ ต่อสหรัฐอเมริกาแล้ว
หลักฐานประวัติศาสตร์ Foreign Relations of the United States ค.ศ. 1942 เล่ม 1 หน้า 915
ที่นายปรีดี เสนอให้เห็นว่ารัฐบาลของจอมพล ป. แจ้งประกาศสงครามฯ ต่อสหรัฐอเมริกาแล้ว

 

จากหลักฐานประวัติศาสตร์ที่พิมพ์เป็นทางการในหนังสือชื่อ Foreign Relations of the United States ค.ศ. 1942 เล่ม 1 หน้า 915 ปรากฏให้เห็นว่า รัฐบาลของจอมพล ป. ได้แจ้งต่อกงสุลสวิตเซอร์แลนด์ประจำกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ เพื่อแจ้งการประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 ไปยังอุปทูตสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485[9]

ต่อมานายปรีดียังให้สัมภาษณ์ นายฉัตรทิพย์ นาถสุภา ที่บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2525 เรื่องการแจ้งประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่ฯ ไว้ อีก 3 ประการว่า

 

“(1) รัฐบาลจอมพล พิบูลฯ ได้แจ้งประกาศสงครามนั้นต่อกงสุลสวิตเซอร์แลนด์ที่เป็นตัวแทนของ ส.ร.อ. (สหรัฐอเมริกา-ผู้เขียน) โดยชอบตามระเบียบการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ผมจึงไม่ทราบว่า รัฐบาลนั้นมีเหตุผลประการใดที่จะทำ “ใบประกาศสงคราม” ส่งซ้ำไปยังท่านอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ให้ยื่นต่อรัฐบาล ส.ร.อ. ซ้ำอีก

(2) ระหว่างสงครามโลกนั้น การสื่อสารทางไปรษณีย์อากาศและทางเรือกับทางบกระหว่างประเทศไทยกับยุโรป และ ส.ร.อ. นั้นต้องชะงักลง ถุงเมล์ไปรษณีย์จากกรุงเทพฯ ถึงทวีปดังกล่าวนั้น ไม่อาจส่งไปได้

(3) คนไทยสมัยนั้นก็ได้ยินวิทยุกระจายเสียง ส.ร.อ. ประกาศถึงการที่ท่านอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันได้ตัดขาดกับรัฐบาลกรุงเทพฯ เป็นเวลาหลายวัน ก่อนวันที่รัฐบาลจอมพล พิบูลฯ ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่ และ ส.ร.อ. แล้ว ผมจึงสงสัยว่า รัฐบาลจอมพล พิบูลฯ มีเหตุผลอย่างใดจึงโทรเลขไปขอร้องให้ท่านอัครราชทูตไทยนั้นไปแจ้งประกาศสงครามต่อ ส.ร.อ. อีก เพราะรัฐบาลจอมพล พิบูลฯ รู้อยู่แล้วว่า ท่านอัครราชทูตไทยได้ตัดขาดกับรัฐบาลจอมพล พิบูลฯ”

 

ปรีดี พนมยงค์ วิจารณ์สงคราม

 

ต้นฉบับตัวพิมพ์ดีดของนายปรีดี พนมยงค์
ต้นฉบับตัวพิมพ์ดีดของนายปรีดี พนมยงค์

 

จากบันทึกของนายปรีดีในหนังสือ โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ตอนหนึ่งเรื่องวิจารณ์สงคราม ได้ระบุว่ามาจากการที่ได้สนทนากันกับ นายทวี บุณยเกตุ มิตรและผู้ช่วยคนสำคัญของนายปรีดี ในสมัยสงครามเอเชียมหาบูรพาและยังถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้ช่วยหมายเลข 1 ของนายปรีดีในขบวนการเสรีไทย โดยนายปรีดีได้สนทนากับนายทวีเพราะวิตกต่อชะตากรรมของประเทศชาติในช่วงที่ญี่ปุ่นบุกไทย ความกังวลต่อชาติของนายปรีดีมีดังนี้

 

“ข้าพเจ้ากับนายทวี บุณยเกตุ ได้สนทนากันต่อไปถึงความวิตกของเราทั้งสองที่มีต่อชะตากรรมของประเทศชาติ ข้าพเจ้าชี้แจงว่า แม้ญี่ปุ่นจะเป็นฝ่ายชนะสงครามและเขาจะแบ่งดินแดนที่ยึดได้มาให้ประเทศไทยบ้าง แต่เราก็ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของญี่ปุ่นซึ่งวางตนเป็นนายใหญ่ของวงไพบูลย์แห่งเอเซียบูรพา ซึ่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้ รัฐบาลไทยได้ยอมลงนามในพิธีสารเข้าสู่ระบบใหม่แห่งมหาเอเชียเพื่อแลกกับการได้ดินแดนบางส่วนคืนมาจากอินโดจีนฝรั่งเศส ซึ่งทำให้ชาติไทยที่ทรุดหนักอยู่แล้ว จะต้องรับผลที่เกิดขึ้นจากการประกาศสงครามนี้ คือ ยิ่งจะเป็นเหตุให้ทั้งประเทศไทยและดินแดนที่จะได้ส่วนแบ่งจากญี่ปุ่นมีฐานะเสมือนเมืองขึ้นของญี่ปุ่น ประดุจเป็นตัวหุ่นให้ญี่ปุ่นเชิดเหมือนดังมานจูกัวและประเทศต่างๆ ที่ญี่ปุ่นตั้งขึ้นในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของจีนและรัฐบาลจีนแห่งวังจิงไว

แต่ถ้าสัมพันธมิตรชนะสงคราม ชาติไทยเราก็สิ้นความเป็นเอกราชโดยจะถูกยึดครองเหมือนประเทศที่แพ้สงครามทั้งหลาย บูรณภาพแห่งประเทศของเราก็จะหมดไป…”

 

นายปรีดีได้แสดงความกังวลปนวิจารณ์สงครามในมุมมองเปรียบเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ไว้ด้วยว่า

 

“ขอให้ดูตัวอย่างเยอรมันที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 และออสเตรียฮังการีที่เป็นมหาอาณาจักรต้องสลายลงโดยชนชาติต่างๆ ที่เคยร่วมอยู่นั้นต่างก็พากันแยกตนออกเป็นชาติอิสระมากหลาย มหาอาณาจักรนั้นก็เหลือเพียงส่วนที่เป็นออสเตรียนิดเดียวเท่านั้น อาณาจักรออตโตมันที่แพ้สงครามก็สลายตัวไปเหลือแต่ตุรกี นอกนั้นตกอยู่ในอาณัติของสันนิบาตชาติแล้วก็แยกย้ายกันเป็นเอกเทศออกไป เช่น อิรัก เยเมน ซาอุดิอาระเบีย ซีเรีย เลบานอน ฯลฯ”

 

นายทวี บุณยเกตุ ผู้ช่วยคนสำคัญของนายปรีดี พนมยงค์ ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพาและในบทบาทเสรีไทย
นายทวี บุณยเกตุ ผู้ช่วยคนสำคัญของนายปรีดี พนมยงค์
ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพาและในบทบาทเสรีไทย

 

นายทวียังขอให้นายปรีดีวิจารณ์ความเห็นของนักการทหารและนักการเมืองที่เสนอให้จอมพล ป. เลือกข้างฝ่ายอักษะหรือญี่ปุ่น นายปรีดีได้วิจารณ์โดยไม่ระบุนามและเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์การสงครามในต่างประเทศว่า

 

“นายทวีฯ ขอให้ข้าพเจ้าวิจารณ์ความเห็นของนักการทหารและการเมือง บางคนที่เสนอจอมพล ป. ให้เข้าข้างญี่ปุ่นโดยเห็นว่า ญี่ปุ่นทำการรบรุกได้รวดเร็ว เป็นฝ่ายชนะสงครามและบางคนก็อ้างว่าทางวิชาทหารนั้น การร่วมรบกับญี่ปุ่นในดินแดนนอกประเทศไทยจะดีมาก

ข้าพเจ้าจึงชี้แจงว่า การอ้างเช่นนั้น ทำให้นักการทหารและนักการเมืองที่แท้จริงต้องพลอยเสียหายไปด้วย ถ้านายทวีฯ มีโอกาสก็ลองถามคนคนนั้น ดูว่า เขาอาศัยตำราการทหารและการเมืองเล่มใด ใครเป็นผู้สอนที่ไหน เท่าที่ข้าพเจ้าอ่านมาบ้างก็ระลึกได้ว่า นโปเลียนที่ทางทหารนิยมนั้น ได้ทำการรบมีชัยหลายครั้งทั่วภาคพื้นยุโรป ได้ยาตราทัพไปไกลถึงมอสโกและถึงจุดจบพ่ายแพ้ ณ ที่นั้น อันเป็นสนามรบนอกประเทศฝรั่งเศส ต้องถอยทัพอย่างเสียหายมาก เป็นเหตุให้หลายชาติร่วมกันเป็นพันธมิตร กรีฑาทัพมายึดกรุงปารีสได้ คือ เป็นการชักศึกเข้าเมืองนั่นเอง นโปเลียนต้องถูกบังคับให้สละบัลลังก์จักรพรรดิฝรั่งเศส แล้วถูกส่งไปเป็นราชาธิบดีแห่งเกาะน้อย “เอลบา” ต่อมานโปเลียนยกพลขึ้นฝรั่งเศสกลับไปเป็นจักรพรรดิอีก จึงทำสงครามนอกประเทศฝรั่งเศสอีกและพ่ายแพ้ในสมรภูมิ “วอเตอร์ลู” แล้วถูกส่งไปกักบริเวณอยู่ที่เกาะ “เซนด์ เฮเลน่า” จนสิ้นชีพ”

 

และนายปรีดีได้ชี้ให้เห็นในมุมเปรียบเทียบว่า การที่นักการทหารหรือนักการเมืองบางกลุ่มมองว่าในช่วงต้นสงครามญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะชนะสงครามนั้นอาจจะต้องพิจารณาเงื่อนไขในระยะยาวและปัจจัยอื่นประกอบกัน 

 

“เราจะวินิจฉัยว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะในสงครามโดยเพียงแต่อาศัยการรบในระยะต้นสงครามว่าใครรุกรบได้รวดเร็วก็เป็นฝ่ายชนะสงครามนั้น ยังไม่ถูกต้อง เราต้องดูว่าฝ่ายใดจะต่อสู้ได้ยืดเยื้อนานที่สุดกว่าฝ่ายอื่นและเอาชนะในการรบขั้นสุดท้ายได้อย่างไร ทั้งนี้เกี่ยวกับเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคนิคว่าฝ่ายใด เหนือกว่าฝ่ายใด กำลังใจของพลรบยอมเสียสละเพื่อชาติได้จริงจังหรือเพียงแต่คำพูดพล่อยๆ พลเมืองอันเป็นกระดูกสันหลังภายในประเทศนั้นๆ เองให้การสนับสนุนแก่การทำสงครามจริงจังเพียงใด…

ข้าพเจ้าได้วิจารณ์ให้นายทวีฯ ฟังว่า ในด้านเศรษฐกิจนั้น ฝ่ายอักษะด้อยกว่าฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะประการแรก อักษะอัตคัดอาหารกว่าสัมพันธมิตร…พลรบญี่ปุ่นและเยอรมันมีกำลังใจสูง แต่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งคติหลอกลวงให้บูชาผู้วิเศษตามลัทธินาซีและบูชิโดซึ่งเป็นไปได้ชั่วขณะ แต่วันใดพลรบรู้ว่าถูกหลอกลวงก็เสียกำลังใจได้ง่ายๆ พลเมืองของฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตร ส่วนมากก็สนับสนุนการทำสงครามของฝ่ายตน แต่ฝ่ายใดสนับสนุนโดยอาศัยคติประชาธิปไตยที่แท้จริง การสนับสนุนก็คงทน แต่ถ้าเป็นไปโดยถูกหลอกลวง ก็อาจทิ้งการสนับสนุนเมื่อรู้ว่าถูกหลอกลวง…”

 

คำถามสุดท้ายที่นายทวีได้ถามนายปรีดีคือ เราจะทำอย่างไรกันดีจึงจะรับใช้ชาติให้พ้นภัยพิบัติได้ นายปรีดีตอบคำถามนี้ว่า

 

“ข้าพเจ้าจึงขอให้นายทวีฯ ไปพิจารณาตัวอย่างของผู้รักชาติที่ดำเนินการต่อต้านภายในประเทศ และมีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนอกประเทศที่สัมพันธมิตรรับรอง ก็จะเป็นการล้างสิ่งที่รัฐบาลในประเทศที่เข้าข้างอักษะนั้น ความเป็นเอกราชและบูรณภาพแห่งชาติก็คงอยู่ได้ดังเดิม นายพล เดอโกลล์ ได้แก้ภัยพิบัติแห่งชาติฝรั่งเศสโดยตั้งเสรีฝรั่งเศสและคณะกรรมการแห่งชาติฝรั่งเศสขึ้นที่ลอนดอน ซึ่งได้รับการรับรองจากสัมพันธมิตรและได้รับการช่วยเหลืออาวุธยุทธภัณฑ์ในการต่อต้านเยอรมันภายในประเทศ”[10]

 

ข้อวิจารณ์สงครามของนายปรีดีเชิญชวนให้ขบคิดและพิจารณา กระทั่งต่อมานายทวีคู่สนทนาจึงได้เข้าร่วมเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งของขบวนการเสรีไทยและเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของนายปรีดี[11] เมื่อสิ้นสุดสงครามใน พ.ศ. 2488 ด้วยเหตุที่มีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงนามในประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาไม่ครบ 3 ท่าน โดยขาดการลงนามจากนายปรีดีจึงมีผลให้การประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 นั้นเป็นโมฆสงครามและนายปรีดีได้ขอให้นายทวี เสนอต่อจอมพล ป. ว่าการประกาศสงครามที่ทำไปนั้นเป็นโมฆะเพื่อให้ไทยได้รับเอกราชและประชาธิปไตยสมบูรณ์และเสียประโยชน์น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในฝ่ายที่พ่ายแพ้สงคราม[12]

 

ภาพประกอบบทความ :

  • ภาพหลักฐานชั้นต้นจาก เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา
  • ภาพถ่ายจาก หนังสือโมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ และห้องวิจัยประวัติศาสตร์

บรรณานุกรม

เอกสารชั้นต้น :

  • คำแถลงการณ์เกี่ยวแก่การประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 59 ตอนที่ 5 (25 มกราคม 2485): 247-251.
  • ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 25 มกราคม 2485, ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 59 ตอนที่ 5 (25 มกราคม 2485): 244–246.
  • พระบรมราชโองการประกาศให้ปฏิบัติตามความเป็นกลาง พุทธศักราช 2482, ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 56 (5 กันยายน 2482): 847-849.

หนังสืออนุสรณ์งานศพ :

  • ทวี บุณยเกตุ. “ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทยในระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 2”, ใน อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทวี บุณยเกตุ ม.ป.ช.,ท.จ.ว.,ท.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2515. (กรุงเทพฯ: คุรุสภา, 2515)

หนังสือภาษาอังกฤษ :

  • Charivat Santaputra, Thai Foreign Policy 1932-1946, (Bangkok: Suksit Siam, 2000)

หนังสือภาษาไทย :

  • กษิดิศ อนันทนาธร บรรณาธิการ, บางเรื่องของประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2563)
  • ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เล่มที่ 1 พิมพ์ครั้งที่ 2, (พระนคร: แพร่พิทยา, 2510)
  • ปรีดี พนมยงค์, จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิท เรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับการในแคนดี นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2522)
  • ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2526)
  • ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558)
  • วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ และคณะบรรณาธิการ, คือวิญญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพ (1984), 2543)

สื่ออิเล็กทรอนิกส์ :

 


[1] สถาบันปรีดี พนมยงค์. (16 สิงหาคม 2564). ประกาศสันติภาพ โดย ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  

[2] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. (23 มกราคม 2564). ไทย-ญี่ปุ่น และสงครามมหาเอเชียบูรพา

[3] กษิดิศ อนันทนาธร. (25 มกราคม 2564). ปรีดี ไปไหน? จึงไม่ลงนามในประกาศสงคราม และปรีดี พนมยงค์, บางเรื่องของประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2563)

[4] นายปรีดีกล่าวถึงจตุสดมภ์หรือคนสนิทสี่คนของจอมพล ป. ไว้ว่าคือ “ผู้ที่หนุนหลวงพิบูลฯ นั้น มิใช่มีเพียงนายประยูรฯ กับหลวงวิจิตรฯ เท่านั้นคือ ยังมีบุคคลอื่นที่อยู่นอกคณะรัฐมนตรีแต่เป็นผู้คอยเอาใจใส่ส่งเสริม…บุคคลทั้งสี่ซึ่งสมัยก่อนโน้นมีฉายาว่า “จตุสดมภ์” ของหลวงพิบูลฯ มีผู้เอาชื่อเดิมของสี่คนนี้มาผูกเป็นวลีสอดคล้องกัน…ส่วนหลวงวิจิตรฯ นั้นไม่เข้าอยู่ใน “จตุสดมภ์” แต่มีผู้ให้ฉายาว่า “ปุโรหิต”...”

[5] ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558), น. 205-207.

[6] ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 25 มกราคม 2485, ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 59 ตอนที่ 5 (25 มกราคม 2485): 244–246.

[7] คำแถลงการณ์เกี่ยวแก่การประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 59 ตอนที่ 5 (25 มกราคม 2485): 247-251.

[8] พระบรมราชโองการประกาศให้ปฏิบัติตามความเป็นกลาง พุทธศักราช 2482, ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 56 (5 กันยายน 2482): 847-849.

[9] ปรีดี พนมยงค์, จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิท เรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับการในแคนดี นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2522), น.7-9.

[10] ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558), น. 218-221.

[11] โปรดดูเพิ่มเติม ทวี บุณยเกตุ. “ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทยในระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 2”, ใน อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทวี บุณยเกตุ ม.ป.ช.,ท.จ.ว.,ท.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2515. (กรุงเทพฯ: คุรุสภา, 2515)

[12] ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558), น. 217. และกษิดิศ อนันทนาธร บรรณาธิการ, บางเรื่องของประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2563), น. 110-116.