ฤดูร้อนมาถึง ชาวปารีสปิดบ้านปิดช่องพากันไปพักผ่อนตามชายทะเล เขตเขา และชนบท ปารีสกลายเป็นเมืองร้าง แม่ปลายพาลูกๆ ไปพักผ่อนที่บ้านเพื่อนในอังกฤษ
วันใดที่ฝนตกพรำๆ อากาศหนาวเย็น เด็กๆ เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ก็เล่นไพ่จำ หรือไม่ก็เล่นเกมส์ แต่ถ้าวันใดท้องฟ้าเปิด แจ่มใส ปลายกับเพื่อนๆ จะออกไปวิ่งเล่นกันในสนาม มีหมาพันธุ์พุดเดิ้ลขนปุกปุย 3-4 ตัว วิ่งตามเป็นพรวน บางครั้งก็เตรียมของว่างไปรับประทานกันที่ริมบึงใหญ่ชายป่าต้นโอ๊ก
หงส์ขาวคู่หนึ่งลอยคู่กันมาบนผิวน้ำ ผืนน้ำใสนิ่งเหมือนแผ่นกระจก สะท้อนเงาหงส์ขาว จากสองตัวกลายเป็นสี่ตัว
ในป่าโปร่ง สตรอเบอร์รี่สีแดงขึ้นแซมใบหญ้าสีเขียว ปลายดึงใบโอ๊กมาทำเป็นกรวยใส่สตรอเบอร์รี่ป่าลูกเล็กที่หอมและรสจัด ระหว่างทางกลับบ้าน ผลไม้สีแดงชวนกิน เข้าปากปลายทีละลูก ทีละลูก จนไม่มีเหลือเป็นของฝากแม่…
... ... …
ปลายกลับมาปารีสอีกครั้ง ยังคงเรียนภาษาฝรั่งเศสกับมาดามโรเช
ใบของต้นชาแตญเปลี่ยนจากสีเขียวแก่เป็นสีเหลืองอ่อน จากสีเหลืองอ่อนเป็นสีเหลืองอร่าม มีบางใบที่ด่วนกลายเป็นสีน้ำตาลแล้วผลัดใบตกลงบนพื้นดิน ฝนตกครั้งหนึ่งๆ ทวีความหนาวเย็นให้รู้สึก
แม่พาปลายไปซื้อโอเวอร์โค้ตสีเขียวตุ่นยาวลงมาใต้เข่า แล้วซื้อบู๊ตให้ด้วยคู่หนึ่ง หมวกไหมพรมสีน้ำตาลอีกใบและถุงมือหนังกลับอีกคู่
“เราจะไปขั้วโลกเหนือหรือคะ”
ปลายถามแม่ ปลายเคยเห็นชาวเอสกิโมในภาพยนตร์ พวกเขาอยู่ในกระโจมน้ำแข็งก็ต้องแต่งกายมิดชิดแบบนี้
แม่หัวเราะ ไม่ได้ตอบปลาย
แม่พาปลายออกเดินทางจากปารีสมุ่งเหนือไปกรุงสต็อคโฮล์ม เมืองหลวงของประเทศสวีเดน
“อย่าซนและอย่าออกไปไหนนะลูก” แม่กำชับ
“แม่ไปทำธุระแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ”
แม่ปลายออกไปติดต่อเรื่องการเดินทาง
ตึกสูงฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่ปลายอยู่ มีปรอทวัดอุณหภูมิใหญ่ ติดอยู่กับขอบตึก ลมกรรโชกจนบานหน้าต่างสั่นไหว อุณหภูมิลดลงมาต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียส น้ำในทะเลสาบหน้าโรงแรมและแม้กระทั่งผิวถนนเป็นฝ้าขาวบางๆ ผู้คนเดินบนทางเท้าริมถนนด้วยความระมัดระวัง ปลายเห็นเด็กคนหนึ่งลื่นไถลหกล้ม ก้นกระแทกบนแผ่นน้ำแข็ง
ปลายรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แม่ตกใจเมื่อมือแตะหน้าผากปลาย ปลายเป็นไข้ตัวร้อนจี๋ แม่ซื้อยาแก้ไข้ให้ปลายกิน อาการไข้ค่อยทุเลา
“พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปเฮลซิงกิ” แม่บอกให้ปลายจัดกระเป๋า
“ไชโย”
ปลายร้องอุทานด้วยความดีใจ เฮลซิงกิ (เมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์) อยู่ไม่ไกลจากขั้วโลกเหนือ ปลายคงได้ไปนั่งรถเลื่อนสุนัขอย่างชาวเอสกิโมบ้าง
ปลายผิดหวังเล็กน้อย แวะพักที่เฮลซิงกิไม่กี่ชั่วโมง ก็เปลี่ยนเป็นเครื่องบินรัสเซียรุ่นสงครามโลกครั้งที่ 2 บินไปเลนินกราด (Leningrad หรือกรุง Saint Petersburg) แล้วมาปลายทางที่มอสโก
แสงไฟจากหัวเครื่องบินสาดส่องลานบินสว่างไสว หิมะที่พร่างพรูตกลงมาบนปีกเครื่องบินละลายกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งปนหยาดน้ำ
ปลายไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ทำไมมีเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนมาให้การต้อนรับ ไม่ได้คาดหวังด้วยว่า อีกไม่นานเกินรอก็จะได้พบคนที่ปลายถวิลหา
หมีขาวตัวสูงใหญ่ยืนตระหง่านชูสองขาตรงชานบันไดโรงแรมซาวอย ปลายรี่เข้าไปทักทายสัตว์จากขั้วโลกเหนือที่สตัฟฟ์ไว้ ขนขาวยาวฟูนุ่มชวนลูบไล้
เมื่อแต่งตัวด้วยชุด “เอสกิโม” เสร็จสรรพ ปลายก็รบเร้าขอออกไปผจญความหนาวเหน็บของกรุงมอสโก
ภาพวาดบนกระเบื้องโมเสค รูปปูนปั้น โคมไฟระย้า ทำให้สถานีรถไฟใต้ดินของกรุงมอสโกมีความงดงามยิ่งกว่าสถานีรถไฟในกรุงปารีสและกรุงลอนดอนที่ปลายเห็นมา บันไดเลื่อนสูงเท่าตึก 4-5 ชั้น เล่ากันว่า เพราะความลึกลับนี่เองทำให้สถานีรถไฟเหล่านี้กลายเป็นหลุมหลบภัยในสมัยกองทัพฮิตเลอร์[1] ประชิดกรุงมอสโก
ปลายยืนอยู่กลางจัตุรัสแดง แหงนมองโบสถ์รูปทรงแปลก ยอดโดมคล้ายหอมหัวใหญ่ ประดับด้วยกระเบื้องหลากสี กำแพงสีแดงตุ่นๆ ของพระราชวังเครมลินสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เหมือนดั่งปราสาทในเทพนิยาย ปลายรู้สึกแปลกใจที่เห็นคนเข้าแถวยาวอย่างเป็นระเบียบ
“ผู้คนเข้าแถวเพื่อเคารพศพเลนินกับสตาลิน ศพของบุคคลทั้งสองถูกรักษาสภาพให้เหมือนคนนอนหลับ ครอบด้วยโลงแก้วเจียระไน” มัคคุเทศก์อธิบาย
ใครคือเลนิน? สตาลินเป็นใคร?[2] แล้วทำไมผู้คนเหล่านี้ยืนเหมือนแท่งน้ำแข็งท่ามกลางความหนาวเหน็บเป็นชั่วโมงๆ
“เลนินเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในรัสเซีย ส่วนสตาลินเป็นผู้นำสหภาพโซเวียต” ปลายได้คำตอบที่ไม่กระจ่างนักจากมัคคุเทศก์
ปลายเคยเห็นมัมมี่ของคนอียิปต์โบราณที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มาแล้ว จึงไม่อยากตากลมหนาวเหมือนคนอื่น เพียงเพื่อเห็นเลนินและสตาลินในโลงแก้ว
กรุงมอสโกต่างจากกรุงปารีส ที่นี่ไม่ค่อยจะมีชาวต่างชาติ ดังนั้นคนไทยสองคนแม่ลูกจึงเป็นเป้าสายตาของชาวมอสโกหรือมอสโควิช มีทั้งสายตาที่เป็นมิตร ทั้งสายตาที่ระคนความรู้สึกแปลกๆ มีหลายคนทักปลายด้วยภาษารัสเซีย ปลายฟังไม่รู้เรื่อง จึงได้แต่ยิ้มๆ
ปลายได้แต่จับคำที่ออกเสียงว่า “กีไต”แล้วทึกทักว่าที่เขาพูดนั้นหมายถึง “คนไทย” หารู้ไม่ว่า “กีไต” หรือ Китай ในภาษารัสเซียหมายถึง “ประเทศจีน”
การเดินทางไกลเริ่มขึ้นอีก รถไฟคือยานพาหนะในครั้งนี้ ขบวนรถไฟเคลื่อนออกจากสถานีมอสโกมุ่งสู่ดินแดนตะวันออก ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ทิ้งตึกรามบ้านช่องที่ดูคล้ายกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมใบใหญ่ๆ ไว้เบื้องหลัง
วันแรกๆ ปลายตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์สองข้างทาง ปลายยืนข้างหน้าต่างรถไฟบานกว้าง ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลอยลับขอบฟ้า แม้ในตู้รถไฟจะมีเครื่องทำความอุ่น ปลายก็ยังรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ หิมะหนานุ่มและขาวบริสุทธิ์ปกคลุมพื้นดินเกาะอยู่บนกิ่งสนฉัตรสีเขียว นานๆ ทีจึงจะเห็นบ้านไม้ซุงหลังไม่ใหญ่นัก บางหลังเกือบจมมิดใต้ทะเลหิมะตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว บางครั้งปลายเห็นรถลากเทียมด้วยม้า 3 ตัว ที่ชาวรัสเซียเรียกว่า “ทรอยก้า” แล่นขนานรถไฟ
“ถ้าได้ลองนั่งรถลากบ้างก็ดีนะ” ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมองของปลาย
7 วัน 7 คืน ที่รอนแรมในรถไฟ ปลายได้รู้จักทุ่งราบไซบีเรีย ได้รู้จักชาวรัสเซีย แม้จะไม่รู้ภาษารัสเซียแต่หาได้เป็นอุปสรรคไม่ มนุษย์เรามีสมองและสองมือเป็นภาษาสากลที่ไปถึงไหนก็ไม่อดตาย ปลายชี้รูปไก่ หมู ไข่...ในตำราเรียนภาษาฝรั่งเศสที่พกพาติดตัวไปด้วย เมื่อสั่งอาหารในรถเสบียง บางทีเห็นโต๊ะข้างๆ รับประทานซุปผักรวมมิตรสีชมพูเรื่อๆ ปลายก็ชี้บอกบริกร
“บอร์ช” บริกรพยักหน้าพลางทวนเป็นภาษารัสเซีย ปลายจึงได้ลิ้มรสแกงส้มแบบรัสเซียที่มีครีมขาวลอยฟ่องอยู่ในจานก้นลึก
รถไฟแล่นเลียบทะเลสาบไบคาล ผิวน้ำเป็นระลอกคลื่นน้อยๆ อุณหภูมิติดลบ ต่ำกว่าศูนย์องศาถึง 40 องศาเซลเซียส มิได้ทำให้น้ำในทะเลสาบไบคาลจับตัวเป็นน้ำแข็ง นับว่าเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ของธรรมชาติ
แล้วรถไฟที่วิ่งมาอย่างเมื่อยล้าก็มาหยุดที่สถานีแห่งหนึ่ง ผู้โดยสารทุกคนต่างหอบหิ้วสัมภาระลงมายังชานชาลา มีเจ้าหน้าที่โซเวียตในเครื่องแบบตรวจหนังสือเดินทางกับหนังสือรับรองการแพทย์สมุดปกสีเหลือง เจ้าหน้าที่เจรจากับแม่ปลายเป็นนาน สักครู่แม่หันมาบอกปลายว่า
“ทุกคนต้องฉีดวัคซีนป้องกันกาฬโรค”
ปลายทำหน้าสงสัย แม่จึงอธิบายต่อ “เห็นเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าทางภาคอีสานของจีนกำลังมีกาฬโรคระบาด ซึ่งเป็นผลจากสงครามเกาหลี ประเทศมหาอำนาจใช้อาวุธเชื้อโรคประหัตประหารราษฎรตาดำๆ ...”
เมื่อเข็มปักลงตรงหัวไหล่ ปลายเบะปากราวกับจะร้องไห้
“อะไรกันปลาย อายคนอื่นเค้า” แม่กล่าวเตือน
ปลายรู้สึกเจ็บตุบๆ บริเวณหัวไหล่ ปลายกัดริมฝีปากแน่น ไม่กล้าร้องเสียงดัง
ปลายช่วยแม่หิ้วกระเป๋าเดินมาอีกด้านหนึ่งของชานชาลา เจ้าหน้าที่แต่งชุดเขียวขี้ม้า หน้าตาเป็นคนจีน ขอตรวจหนังสือเดินทาง บัดนี้เท้าของปลายได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนประเทศจีนแล้ว แมนจูเรียหรือหม่านโจ๊วหลี่คือด่านแรกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน
“ดูนั่นซิปลาย มีใครมารับปลายด้วย” แม่บอก
สายตาของปลายมองไปยังกลุ่มคนที่เดินสวนมาข้างหน้า ชายกลางคนในชุดเสื้อโค้ตผ้านวมสีกรมท่าหนาเตอะตะ ริมหมวกขนสัตว์สองข้างปิดลงมาถึงกกหู หนวดเรียวยาวตัดเรียบเสมอเหนือริมฝีปาก นานแสนนานแล้วที่ไม่ได้เจอะเจอ แต่ปลายจำท่าทางเดินสง่าผ่าเผยได้ ปลายวางกระเป๋าลงกับพื้น วิ่งถลาเข้าไปซุกในอ้อมกอดของชายคนนั้น
ที่มา : ว.ณ. พนมยงค์, “การเดินทาง 15,000 กิโลเมตร,” ใน “วันวานในโลกกว้าง,” ใน อนุสรณ์ วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์. (กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2562), น. 236-241.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- ตอนที่ 1 - ปลายแถว
- ตอนที่ 2 - เด็กหญิงกล้วยน้ำว้า
- ตอนที่ 3 - ไปโรงเรียน
- ตอนที่ 4 - จุดหักเห
- ตอนที่ 5 - นกน้อยในกรงเหล็ก
- ตอนที่ 6 - สู่โลกกว้าง
- ตอนที่ 7 - ฉันเป็นชาวสยาม
[1] ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) (พ.ศ. 2432-2488) อาชญากรสงครามชาวเยอรมัน ในระหว่างสงครามโลกคร้ังที่ 2 นำกองทัพนาซี (Nazi) รุกรานประเทศต่างๆ ในยุโรปและอัฟริกาเหนือ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ที่มิใช่เป็นชาวอารยัน และประชาชนผู้บริสุทธิ์และรักสันติ.
[2] เลนิน (Vladimir Ilyich Ulyanov หรือ Lenin) (พ.ศ. 2413-2467)
สตาลิน (Joseph Vissarionovich Stalin หรือ Dzhugashvili) (พ.ศ. 2422-2496).