Focus
- บทบาทของคณะทูตไทยในประเทศญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งได้รับมอบหมายภารกิจพิเศษในการรักษาผลประโยชน์ของไทย และพยายามสื่อสารกับฝ่ายสัมพันธมิตรตามแนวคิดของนายปรีดี พนมยงค์ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ถูกจับตามองจากญี่ปุ่นอย่างเข้มงวด

เมื่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นมาเยี่ยมท่านเอกอัครราชทูตดิเรกชัย นาม (จากซ้าย) เอส. ชิบุซาวา ท่านเอกอัครราชทูต (หันหลัง) เอช. นิชิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ทวี ตะเวทิกุล ที่ปรึกษาสถานทูตอังกฤษ
ที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในบทที่ ๗ เมื่อคุณดิเรก ชัยนาม ยอมรับไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ตามความประสงค์ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม คุณดิเรกได้รับอนุญาตให้เลือกเฟ้นข้าราชการประจำสถานเอกอัครราชทูตไปเองเป็นกรณีพิเศษ ความจริงนั้นที่คุณดิเรกคัดเลือกด้วยตนเองมีเพียง ๒ คน คือ คุณทวี ตะเวทิกุล ผู้ไปดำรงตำแหน่งเป็นอัครราชทูตที่ปรึกษา และคุณถนัด คอมันตร์ เลขานุการโท ส่วนข้าพเจ้า คุณทวีเป็นผู้ทาบทามและร้องขอ เนื่องจากเป็นเพื่อนรักของพี่พลเชาวน์ของข้าพเจ้า สมัยเป็นนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญแผนกภาษาฝรั่งเศสด้วยกัน
คุณทวีมาบ้านเราบ่อย ข้าพเจ้ามีโอกาสได้รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี คุณทวีถือข้าพเจ้าเป็นเสมือนน้อง แล้วเรายังทำงานด้วยกันที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง คุณทวีตำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยจัดทำตำรา ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าแผนกแปลและห้องสมุด ต่อมาในปี ๒๔๗๙ คุณทวีได้รับทุนของมหาวิทยาลัยไปศึกษาวิชากฎหมายต่อที่กรุงปารีส ครั้นเมื่อข้าพเจ้าสอบชิงทุนของรัฐบาลได้ไปศึกษาวิชากฎหมายและการทูตที่ฝรั่งเศสในปี ๒๔๘๐ คุณทวีได้กรุณาทำตนเป็นเสมือนพี่เลี้ยงพาข้าพเจ้าไปอยู่บ้านเดียวกันในกรุงปารีส จนกระทั่งข้าพเจ้าหาครอบครัวฝรั่งเศสได้ ข้าพเจ้าจึงได้จากไป แต่ก็คงพบกันอยู่เป็นเนืองนิจคุณทวีพาข้าพเจ้าให้ได้พบกับ ชีวิตนักศึกษาในกรุงปารีส เมื่อถึงเวลาประชุมนักเรียนประจำปี เราก็ไปร่วมการประชุมด้วยกัน
เมื่อเสร็จการศึกษาแล้วกลับมารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ ข้าพเจ้าก็ได้พบกับคุณทวีอีก ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองกลาง คุณทวีได้ ตามข้าพเจ้าให้ไปพบแจ้งความลับให้ทราบว่า ท่านเอกอัครราชทูตดิเรกขอให้ไป ช่วยงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว การไปครั้งนั้นมิใช่ไปอย่างปกติแต่มีความมุ่งหมายพิเศษที่จะต้องพยายามหาทางติดต่อกับฝ่ายสหประชาชาติเพื่อทำความเข้าใจอันดีต่อกันโดยวิธีใดวิธีหนึ่งตามความประสงค์ของท่านปรีดี พนมยงค์ จึงอาจจะต้องเสี่ยงภัยบ้าง ท่านเอกอัครราชทูตจำต้องอาศัยผู้ติดตามที่ไว้วางใจได้ จริง ๆ คุณทวีจึงใคร่จะขอให้ข้าพเจ้าเดินทางไปด้วยอีกคนหนึ่ง โดยเป็นที่เข้าใจว่า เราทั้ง ๔ คือ ท่านเอกอัครราชทูต ที่ปรึกษา คุณถนัด และข้าพเจ้า จะต้องช่วยกัน กระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่แยกจากกันจะอยู่ร่วมกันในประเทศญี่ปุ่น หากจะกลับก็จะกลับด้วยกันไม่ทอดทิ้งกันเป็นอันขาด เมื่อได้รับคำขอจากผู้เป็นเสมือนพี่ ข้าพเจ้าตอบตกลงไปด้วยทันที ข้าพเจ้ายังโสดไม่มีครอบครัว จึงสามารถกระทำหน้าที่เช่นว่านั้น ได้โดยปราศจากความห่วงใย สำหรับมารดาของข้าพเจ้า ท่านก็มีพี่กมลและน้องกรณีอยู่กับท่านแล้ว
เมื่อคณะของท่านเอกอัครราชทูตเดินทางถึงกรุงโตเกียว นับเป็นการปฏิบัตินอกจารีตประเพณีทางการทูตอยู่บ้าง เพราะตามปกตินั้นทูตคนเก่าจะต้องเดินทางออกจากประเทศที่ประจำเสียก่อนที่ทูตคนใหม่จะมาถึง กล่าวกันว่าสิงโตสองตัวจะอยู่ในถํ้าเดียวกันไม่ได้ หากจะมีการสั่งเสียหรือมอบหมายงานที่ปฏิบัติคั่งค้างอย่างใด เป็นเรื่องจะต้องไปพบกันในประเทศที่ส่งทูต มิใช่ในประเทศที่รับทูตแต่ตอนนั้นท่านดิเรก ชัยนาม ได้รับคำสั่งให้รีบเดินทางออกไปรับหน้าที่ ณ กรุงโตเกียวกะทันหัน อาศัยเครื่องบินทหารญี่ปุ่นเป็นพาหนะ หากจะรอให้พระยาศรีเสนาเอกอัครราชทูตเดิมกลับเสียก่อน เกรงจะล่าช้า ฉะนั้น ท่านทูตทั้งสองจึงพบกันที่กรุงโตเกียว
ที่สถานเอกอัครราชทูตมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อยู่คนหนึ่งแล้ว คือ คุณหลวงรัตนทิพในฐานะเลขานุการเอก และมีข้าราชการชั้นผู้น้อยอีก ๒ คน ชั้นนายเวร คือ คุณเอื้อ ตีระแพทย์ ทำหน้าที่ด้านโทรเลข และคุณยวด สุลิลาศ ทำหน้าที่ด้านการเงิน นอกจากข้าราชการสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ยังมีพลตรี หลวงวีระโยธา เป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก พลเรือตรี หลวงสมบูรณ์ยุทธวิชา ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือ ต่อมาได้เปลี่ยนตัวผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก โดยพลตรี พระยาสรกิจพิศาล เข้ารับตำแหน่งแทนหลวงวีระโยธา ซึ่งได้รับแต่งตั้งไปเป็นอัครราชทูตประจำประเทศแมนจูกัว การแบ่งงานฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศภายในสถานเอกอัครราชทูต หลังจากที่ท่านเอกอัครราชทูตคนใหม่ไปถึงแล้ว ตกลงกันดังนี้ คือ คุณทวี ตะเวทิกุล ควบคุมงานในด้านนโยบายและด้านการบริหารทั่วไปแทนท่านเอกอัครราชทูต ทุกเรื่องจะต้องผ่านคุณทวีก่อนเสนอถึงเอกอัครราชทูต คุณหลวงรัตนทิพทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่บ้าน งานใดที่มิได้มอบหมายเป็นหน้าที่ของเลขานุการอื่นตกเป็นภาระของคุณหลวงรัตนทิพ คุณถนัดรับงานด้านการเมืองทำรายงานการเมืองเสนอรัฐบาล ร่างสุนทรพจน์สำหรับท่านเอกอัครราชทูตไปแสดง ณ สถานที่ต่าง ๆ ทั้งของทางราชการและนอกราชการ นํ้าหนักความสนิทสนมทางการเมืองระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ต้องฟังจากความคิดเห็นริเริ่มของคุณถนัด ส่วนข้าพเจ้าได้รับมอบหมายงานด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งในยามสงครามเช่นนั้น ประเทศไทยต้องถูกตัดการค้ากับต่างประเทศ ต้องอาศัยญี่ปุ่นเป็นแหล่งสินค้าเข้าประเทศเดียว ความขาดแคลนสินค้าที่เคยซื้อหาจากภายนอกมีมาก ต้องคอยติดตามขอร้องจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างทางญี่ปุ่นเขาก็ไม่มีภายในประเทศเขาเอง หากอาศัยการนำเข้าจากที่อื่นเหมือนกัน เขาย่อมขาดแคลนและต้องระมัดระวังในการใช้ แต่เขาพยายามเจียดสรรปันให้แก่เรามากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณี คุณเฉลา สมิตเวช ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาญี่ปุ่น รับหน้าที่ด้านพิธีการ เพราะจะต้องติดต่อกับฝ่ายญี่ปุ่นโดยใกล้ชิด ญี่ปุ่นมีการกำหนดปันส่วนอาหารประเภทเนื้อ ไข่ ผลไม้ ประชาชน ต้องจำกัดจำเขี่ยมาก สำหรับพวกบุคคลในคณะทูตได้รับปันส่วนเป็นพิเศษให้เพียงพอ แก่ความต้องการในการอุปโภคบริโภค รวมตลอดถึงการเลี้ยงรับรอง แต่การเบิกซื้อจะต้องขออนุญาตผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นเป็นราย ๆ ไป ฉะนั้น คุณเฉลาจึงมีงานไม่น้อย คุณเทียมเข้ารับหน้าที่ทางการเงินเป็นผู้บังคับบัญชาเหนือ คุณยวดอีกที ส่วนคุณสละรับเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านเอกอัครราชทูต
นอกจากข้าราชการไทยแล้ว สถานเอกอัครราชทูตยังมีเจ้าหน้าที่สัญชาติญี่ปุ่น อีก ๒ คน คือ นายทามูระ ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน บุคคลผู้นี้ประจำสถานทูตไทยมาเป็นเวลาหลายสิบปี รับใช้หัวหน้าคณะทูตไทยมาหลายต่อหลายคน จึงเป็นที่รักและยกย่องของบรรดาข้าราชการอย่างสูง อะไรต่ออะไรจะต้องถามหรือขอให้นายทามูระทำทั้งนั้น อีกคนหนึ่งชื่อนายโอกูระ เป็นล่ามประจำสถานทูตทำหน้าที่แปลหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นเสนอทุกวัน จริงอยู่ที่กรุงโตเกียวมีหนังสือพิมพ์ออกเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งพวกเราได้อาศัยอ่านอยู่มาก แต่นายโอกูกระเป็นผู้รวบรวมความคิดเห็น และข้อวิจารณ์ที่ลงในหนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นทั้งในด้านการเมือง การเศรษฐกิจ การค้า เสนอให้พวกเราทราบ
เมื่อเราไปถึงใหม่ ๆ ที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตอยู่ที่ ๕๒ ฮิกาวาโซ ตำบลอากาซากะ ส่วนทำเนียบเอกอัครราชทูตอยู่ที่ตำบลชิบุย่า ทั้งสองแห่งคับแคบไม่เพียงพอแก่ปริมาณงานและจำนวนข้าราชการที่เพิ่มขึ้น ทางรัฐบาลกรุณาให้แสวงหาทั้งที่ทำการและทำเนียบใหม่สำหรับทำเนียบตกลงในหลักการให้ซื้อได้เลย
ในตอนนั้นมีคฤหาสน์ที่ตำบลเมกุโระ ซึ่งนายฮามากุจิ มหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของเสนอขาย ข้อจำกัดต่าง ๆ ยามสงครามบีบบังคับมิให้คนญี่ปุ่นเก็บคฤหาสน์ใหญ่โตไว้ คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ในบริเวณกว้างขวางบนสวนญี่ปุ่นที่สวยงาม ประกอบด้วยนํ้าตกไหลเป็นลำธารอยู่ในสวนด้านหลังมีบ้านแบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ใช้เป็นที่รับรองเวลามีงานการได้ ทั้งยังมีอาคารหลังย่อม ๆ สำหรับคนใช้ญี่ปุ่นอาศัยอยู่อีกหลายหลัง ถ้าเจ้าของคงเก็บไว้ทางราชการจะเข้ามารื้อถอนเอาส่วนประกอบคฤหาสน์ที่ทำด้วยเหล็ก เช่น ประตูหน้าบ้าน ราวบันได ตลอดจนเครื่องจักรกลทำความร้อนเสียสิ้น
ท่านเอกอัครราชทูตชอบคฤหาสน์หลังนี้มาก เสนอขออนุมัติซื้อไปทางรัฐบาล แล้วแต่งตั้งคณะกรรมการเจรจาคณะหนึ่งประกอบด้วยอัครราชทูตที่ปรึกษาเป็น ประธาน หลวงรัตนทิพ และข้าพเจ้า เป็นกรรมการ การเจรจาส่วนใหญ่ตกเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า ต่อรองกับผู้แทนฝ่ายเจ้าของบางอย่างเขาอยากจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของเรา ข้าพเจ้าปฏิเสธไป เขาวิ่งไปหา เอกอัครราชทูตไม่ให้ข้อเท็จจริงแน่ชัด ท่านเห็นว่าน่าจะทำได้ ครั้นเมื่อได้ฟังคำชี้แจงของข้าพเจ้า ท่านก็เห็นด้วย ทำเอาผู้แทนฝ่ายขายงงเป็นไก่ตาแตกถามว่า “นายกนต์ธีร์เป็นใคร เหตุใดเอกอัครราชทูตว่าได้ นายกนต์ธีร์ยืนยันว่าไม่ได้” ระเบียบข้อบังคับทางการเงินของเรามีอยู่ จะให้บิดเบือนเพื่อสนองความสะดวกของเขาเทวดาก็ดลบันดาลให้ไม่ได้
การเจรจาดำเนินมาเป็นเวลาหลายเดือน ในที่สุดตกลงกันได้ซื้อขายกันในราคา ๑ ล้านเยน เป็นยามที่ญี่ปุ่นกำลังเจรจาขอให้ไทยปรับค่าเงินบาทให้เท่ากับเงินเยน แทนที่จะเป็น ๗๕ สตางค์ต่อ ๑ เยน ทางสถานเอกอัครราชทูตรีบขอให้รัฐบาลโอน เงิน ๑ ล้านเยนมาให้ก่อนวันปรับอัตราการแลกเปลี่ยนใหม่เพียงวันเดียว เป็นอันว่า ในการซื้อคฤหาสน์รายนี้ รัฐบาลจ่ายเงินเพียง ๗๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น รวมทั้งเครื่องเรือนที่ใช้ประจำคฤหาสน์ แต่ไม่รวมภาพสีติดผนังที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อจ่ายเงินค่าซื้อบ้านให้แล้ว เจ้าของเกิดใจดียกภาพสีทั้งหมดให้เป็นของขวัญแก่ท่านเอกอัครราชทูต เพื่อใช้ติดประจำคฤหาสน์ต่อไป ทางสถานทูตได้ขึ้นบัญชีเป็นของหลวงไว้ แล้วรายงานให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเป็นหลักฐาน
ท่านเอกอัครราชทูตย้ายเข้าไปอยู่ในทำเนียบใหม่ โดยมีคุณถนัด คอมันตร์ และภริยาเข้าไปอยู่เป็นเพื่อน ทำเนียบเดิมตกลงให้เป็นที่พักของอัครราชทูตที่ปรึกษา คืนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ชั้น ๓ ของทำเนียบใหม่ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและเพื่อนบ้านข้างเคียงพากันมาช่วยดับเพลิง ข้าพเจ้าทราบเข้าได้มาเฝ้าดูเหตุการณ์จนเพลิงสงบ ทราบว่า ท่านเอกอัครราชทูตเสียอกเสียใจมาก ถึงร้องไห้ ปรารภจะยิงตัวตาย เนื่องจากไม่สามารถคุ้มครองรักษาสถานที่ของทางราชการ คุณหญิงปุ๋ยต้องแอบนำปืนไปซ่อน พยายามปลอบโยนกัน ให้ถือว่าเป็นเรื่องของเคราะห์กรรมจะเอาผิดกับใครไม่ได้ ท่านจึงสงบจิตใจลง
ส่วนที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตได้ย้ายจากที่เดิม ตำบลอากาซากะ ไปตั้งอยู่ที่บ้านของมาร์ควีสมาเอด้า ที่โคมาบะ ตำบลเมกุโระเดียวกันกับทำเนียบใหม่ ภายหลังที่ประจำอยู่เป็นเวลาพอสมควร เราเริ่มรู้สึกว่าความดำริจะอาศัยกรุงโตเกียว เป็นที่หาทางติดต่อกับฝ่ายสหประชาชาตินั้นไม่อาจจะทำได้ ญี่ปุ่นควบคุมความเคลื่อนไหวของนักการทูตต่างประเทศอย่างใกล้ชิด บรรดาคนชาติญี่ปุ่นที่รับใช้ตาม ที่ทำการสถานทูตต่างประเทศและบ้านพักอาศัยของนักการทูต ตั้งแต่ตัวท่านเอกอัครราชทูตลงไป มีหน้าที่รายงานอิริยาบถของสถานทูตทุกอย่าง ผู้ใดไปมายังสถานเอกอัครราชทูต ฝ่ายญี่ปุ่นได้รับทราบทุกระยะ สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมรบอยู่ข้างญี่ปุ่น การควบคุมผ่อนคลายลงไปบ้าง เล่ากันตอนนั้นว่า หน้าสถานเอกอัครราชทูตสหภาพโซเวียต ซึ่งยังมิได้เข้าเป็นฝ่ายในสงคราม มักจะมีเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นนอกเครื่องแบบประจำอยู่เสมอ วันหนึ่งมีรถญี่ปุ่นเฝ้าอยู่ ๒ คัน มีรถยนต์แล่นออกจากสถานเอกอัครราชทูต ๓ คัน วิ่งแยกกันไป ๓ ทาง ทำเอาคนขับรถยนต์ของฝ่ายญี่ปุ่นที่คอยเฝ้าความเคลื่อนไหวอยู่ปวดศีรษะ ไม่ทราบจะติดตามได้อย่างไรทั้ง ๓ คัน
การจะเดินทางไกลไปนอกเมือง ข้าราชการไทยจะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น ทราบก่อนล่วงหน้าเสมอคนขับรถของสถานทูต ดูจะเป็นผู้ส่งข่าวความเคลื่อนไหวให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบทุกฝีก้าว คุณถนัดและข้าพเจ้าต้องขับรถเอง และถ้าท่านเอกอัครราชทูตหรือที่ปรึกษาจะไปไหนที่ไม่อยากจะให้เปิดเผยนัก ก็ต้องอาศัยพวกเราเองเป็นคนขับรถ ฉะนั้น เราจึงจำต้องระวังตัวไม่ทำสิ่งที่อาจจะเกิดความ ระแวงสงสัยขึ้น เราจะอยู่กันได้ด้วยความสงบสุข อาศัยการไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไม่มีข้อระแวงกังขาต่อกัน เพราะถ้าเขาเกิดความไม่แน่ใจขึ้นแล้ว การเคลื่อนไหวของเราก็ยิ่งจะยากขึ้น การจะติดต่อกับฝ่ายสหประชาชาติจะโดยทางอ้อมอย่างใดมองไม่เห็นทางสำเร็จ สิ่งที่พวกเราทั้ง ๔ จะกระทำได้ก็เห็นจะจำกัดเฉพาะการรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยให้เสียน้อยที่สุด และในขณะเดียวกันสิ่งใดที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เราจำต้องพยายามสอดแสวงหาให้ได้มากที่สุด ซึ่งมิใช่ของง่ายนัก เพราะญี่ปุ่นเป็นคนมีไหวพริบแหลมคม ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่นิด
เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างเราประจำปฏิบัติงานอยู่ที่กรุงโตเกียวพอสรุปได้ดังนี้
๑. การประกาศสงครามของไทยกับอังกฤษและสหรัฐฯ

ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485
ท่านเอกอัครราชทูตดิเรก ชัยนาม พาคณะเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิเพื่อถวายพระราชสาส์นตราตั้งเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๔๘๕ ต่อมาเพียง ๑ สัปดาห์ สถานเอกอัครราชทูตได้รับโทรเลขจากนายกรัฐมนตรีในหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งการประกาศสงครามของไทยกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาพวกเราทั้ง ๔ คนรู้สึกไม่สบายใจมาก เพราะการที่ไทยทำกติกาสัญญาพันธไมตรีกับญี่ปุ่น แสดงการเข้าข้างญี่ปุ่นในสงครามโลกหนักพออยู่แล้ว ทางฝ่ายสหประชาชาติมิได้แสดงปฏิกิริยาเท่าใดนัก เขาอาจจะเชื่อว่า รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม อยู่ในบังคับให้จำต้องกระทำเพื่อเอาใจญี่ปุ่น แต่บัดนี้เราเดินรุดหน้าออกไปอีกก้าวหนึ่ง ประกาศตนเป็นศัตรูกับอังกฤษและสหรัฐฯ เลยทีเดียว ทางรัฐบาลอังกฤษประกาศสงครามกับไทยตอบทันทีที่ได้รับทราบการประกาศของเราเป็นทางการ หากแต่เดชะบุญทางสหรัฐฯ ยังมิได้โต้ตอบประการใด
เท่าที่เราพยายามสดับตรับฟังอยู่ทางกรุงโตเกียว ปรากฏว่าในวงการต่าง ๆ มีความคิดเห็นแตกต่างกันแยกเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งเห็นชอบด้วย และมีความพอใจที่รัฐบาลไทยแสดงตนเป็นศัตรูต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกาอย่างชัดแจ้ง การร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นย่อมจะสนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดียิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่า การดำเนินงานของญี่ปุ่นมีชาวเอเชียด้วยกันอีกชาติหนึ่งที่สนับสนุน และพร้อมจะเสี่ยงโชคชะตาด้วย ไทยเลือกแล้วเมื่อมาถึงสองแพร่ง ไม่เปิดโอกาสให้มีการเสี่ยงทายกันอีกต่อไป อีกพวกหนึ่งมองไปว่า ไม่มีความจำเป็นอย่างใดเลยที่ไทยจะประกาศสงครามกับสองประเทศนั้น ถึงอย่างไรไทยก็ต้องให้ความร่วมมือแก่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว ทุกวิถีทางที่ญี่ปุ่นต้องการ ญี่ปุ่นอาจจะได้รับประโยชน์มากกว่าหากไทยไม่ประกาศสงคราม เพราะฝ่ายสหประชาชาติอาจจะเกรงใจไม่กล้าทำรุนแรงต่อประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นมิตรของอังกฤษและอเมริกามาเป็นเวลานาน หากฝ่ายสหประชาชาติอดกลั้นอย่างใดกับไทย ญี่ปุ่นย่อมได้รับประโยชน์ด้วย พวกหลังนี้จึงเสียดายเหมือนกันที่รัฐบาลไทยตัดสินใจไปเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นนโยบายของรัฐบาลไทยแน่นอนเช่นนั้นแล้ว ท่านเอกอัครราชทูตดิเรก ชัยนาม ก็ได้แต่ส่งโทรเลขตอบกระทรวงการต่างประเทศรับทราบ และแจ้งว่าได้นำความแจ้งรัฐบาลญี่ปุ่นตามคำสั่งแล้ว และลงท้ายโทรเลขว่า “พวกเราทั้งหมดที่นี่ขอร่วมด้วยกับรัฐบาลทั้งชีวิตและจิตใจในการต่อสู้อันยิ่งใหญ่นี้ เราภาวนาให้ชัยชนะขั้นสุดท้ายจงเป็นของเรา และของรัฐบาลผู้จะนำประชาชาติไทยไปสู่ความรุ่งเรืองในที่สุด”
๒. ความดำริจะเข้าข้างฝ่ายอักษะ
เหตุการณ์ช่วงนั้นรู้สึกจะรุดหน้ารวดเร็วผิดปกติ ภายหลังที่ได้รับโทรเลขการประกาศสงครามของไทยไม่กี่วัน ท่านเอกอัครราชทูตได้รับทราบจากนายวิจิตร วิจิตรวาทการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธว่า ท่านนายกรัฐมนตรีพิจารณาโดยถ่องแท้รอบคอบแล้วเห็นว่า เมื่อไทยเข้าพัวพันเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นถึงประกาศสงครามต่ออังกฤษและอเมริกา หากยังมิได้เข้าเป็นภาคีสัญญาฝ่ายอักษะ เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม ซึ่งเข้าใจว่า ฝ่ายอักษะต้องชนะแน่ในการเข้าร่วมประชุมสันติภาพ ประเทศไทยจะอยู่ในฐานะเสียเปรียบ อาจจะถูกถือเป็นประเทศเล็กที่ไม่มีความสำคัญเหมือนอย่างประเทศอักษะด้วยกัน จึงใคร่ขอให้ เอกอัครราชทูตยกเรื่องขึ้นเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อขอเข้าร่วมฝ่ายอักษะให้ได้ เมื่อถึงเวลาเสียงของไทยจะได้มีน้าหนักบนโต๊ะสันติภาพ ขอให้เอกอัครราชทูตรีบดำเนินการเพื่อให้สำเร็จความประสงค์ของฝ่ายเราก่อนที่จะเริ่มมีการเจรจาเลิกสงครามกัน

เมื่อข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นมาเรื่องราชการที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว
(จากซ้าย) เค. มียาเกะ ผู้เขียน เค. อาซาโก เอม. มารูยามา
ท่านเอกอัครราชทูตได้เรียกประชุมคณะเราทั้ง ๔ ทันที มีความเห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์ว่า ไทยไม่ควรสมัครเข้าข้างอักษะโดยเด็ดขาด จริงอยู่ญี่ปุ่นกำลังรุดลํ้าเข้าไปในเกาะฟิลิปปินส์ ขับไล่กองกำลังทหารอเมริกาและฟิลิปปินส์ไปยังแหลมบาทาน พลเอก แม็กอาเธอร์ ได้รับคำสั่งจากประธานาธิบดีรุสเวลท์ให้ไปตั้งกองบัญชาการใหม่ที่ออสเตรเลีย ทางด้านยุโรป ฝ่ายอักษะยังครองส่วนใหญ่ของยุโรป ประกาศตนเป็นคู่สงครามกับสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๘๔ กำลังทางนาวีของสหรัฐฯ ยังไม่แข็งพอที่จะสู้กับฝ่ายอักษะ กำลังทัพบกของฝ่ายสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านรถถังยังอยู่ในระดับอ่อนกำลังทางอากาศก็เพิ่งจะเริ่มสร้างตัวขึ้น ยังไม่ทันเท่าเทียมกับเครื่องบินเยอรมันที่จัดเจนในสมรภูมิกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฝ่ายสหประชาชาติยังอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อกำลังจะตั้งตัว แต่เราทั้ง ๔ ยังคงเห็นว่า ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพียงชัยชนะเบื้องแรกในสงครามเท่านั้น สุดท้ายปลายทางฝ่ายอักษะจะต้องประสบกับจุดจบไม่เร็วก็ช้า เพราะกำลังทางเศรษฐกิจของฝ่ายสหประชาชาติเข้มแข็งมั่นคงยิ่งกว่าฝ่ายอักษะนัก ยิ่งนานไปฝ่ายสหประชาชาติก็ยิ่งจะเพิ่มพูนแสนยานุภาพขึ้น เหตุใดเราจึงจะเอาอนาคตของเราไปผูกมัดไว้กับฝ่ายอักษะ เท่าที่ผูกกับญี่ปุ่นก็หนักหนามากอยู่แล้ว การวินิจฉัยในระยะแรกของเราที่ต้องให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่น โลกภายนอกถือว่าไทยถูกบังคับไม่มีทางหลีกเลี่ยง แต่การที่จะแสดงเจตนาโดยอิสระเข้าข้างฝ่ายอักษะทีเดียวนั้น ไทยจะไม่มีทางแก้ตัวอย่างไรเลย
ปัญหาจึงเหลือว่า ทางสถานเอกอัครราชทูตจะพึงปฏิบัติอย่างใด กรุงเทพฯ มิได้ถามความเห็นของเราก่อน บงการมาเลยทีเดียวให้เอกอัครราชทูตเจรจากับญี่ปุ่นให้ไทยเข้าร่วมอักษะ เมื่อเป็นคำสั่งทางนโยบายเช่นนั้นก็ไม่มีทางอื่นนอกจากปฏิบัติ ตามแต่เรายังคิดต่อไปว่า ถ้าเรายกเรื่องขึ้นพูดกับญี่ปุ่นแล้ว หากญี่ปุ่นเห็นด้วยและเอออวยให้ไทยเข้าร่วมอักษะก็ดีไป แต่ถ้าเกิดญี่ปุ่นไม่เห็นด้วย ญี่ปุ่นอาจจะเลยระแวงไปว่า รัฐบาลไทยต้องการจะดึงเอาเยอรมันและอิตาลีมาช่วยไทยในการติดต่อกับญี่ปุ่น เสมือนเอาสองประเทศนั้นมาเป็นเกราะกำบังป้องกันไทยขัดขวางญี่ปุ่นก็เป็นได้ ไทยจะเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง
ท่านเอกอัครราชทูตเกิดความคิดแยบคายว่า จะถือเรื่องความดำริเข้าอักษะเป็นของตัวท่านเอง แล้วฟังญี่ปุ่นดูว่า จะมีปฏิกิริยาอย่างใด ก่อนที่จะติดต่อเป็นทางการกับรัฐบาลญี่ปุ่น ท่านเอกอัครราชทูตได้พยายามสดับตรับฟังจากบุคคลภายนอกดูปรากฏว่า ส่วนใหญ่ไม่สู้จะกระตือรือร้นเท่าใดนัก เท่าที่ไทยอยู่ข้างญี่ปุ่น และญี่ปุ่นเป็นภาคีฝ่ายอักษะก็ดูจะเพียงพอแล้ว ไม่จำต้องให้ไทยเข้าเป็นภาคีร่วมกับฝ่ายอักษะ ซึ่งดีไม่ดีจะเป็นทางให้เยอรมันและอิตาลีมาเรียกร้องเกณฑ์ให้ไทยต้องร่วมมือทางเศรษฐกิจและทางทหารเพิ่มขึ้นอีก
ท่านเอกอัครราชทูตได้ขอนัดไปพบนายชิเงโนริ โตโง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ และปรารภเป็นความเห็นส่วนตัวว่า ถ้าไทยจะคิดเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะเสียเลย รัฐมนตรีจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเห็นด้วยท่านเอกอัครราชทูตจะได้รายงานไปให้รัฐบาลไทยพิจารณาต่อไป นายโตโงตอบว่า การร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นดำเนินมาด้วยดี เป็นที่น่าพอใจอยู่แล้ว ท่านมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปพึ่งพาอาศัยผู้อื่น เราเอเชียด้วยกันช่วยเหลือกันเองก็เพียงพอ คำตอบของรัฐมนตรีโตโงทำให้พวกเราโล่งใจไปถนัด ท่านเอกอัครราชทูตรีบส่งโทรเลขและมีหนังสือรายงานยืนยันให้รัฐบาลทราบ และเสนอไปด้วยว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงน่าที่ฝ่ายเราจะระงับความคิดที่จะเข้าร่วมฝ่ายอักษะเสีย จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีบัญชาให้นายวิจิตร วิจิตรวาทการ ตอบขอบใจเอกอัครราชทูตที่เสนอความคิดเห็นไป ท่านเห็นด้วยทุกประการและแทงสั่งในรายงานของท่านเอกอัครราชทูตฉบับนั้นว่า ขอให้ทุกคนรักษาเรื่องนี้เป็นความลับที่สุด ถ้าปรากฏว่ารั่วไหลจากผู้ใดจะถูกประหารชีวิต
ที่ทางการญี่ปุ่นไม่ต้องการให้ไทยเข้าร่วมอักษะด้วยนั้น ก็เนื่องจากเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๔๘๕ ได้มีการลงนามในความตกลงระหว่างผู้แทนทหารของญี่ปุ่น เยอรมัน และอิตาลี แบ่งปันบริเวณรบไว้ชัดเจนว่า ญี่ปุ่นรับหน้าที่ทั่วไปสำหรับด้านเอเชีย ส่วนเยอรมันและอิตาลีรับภาระด้านยุโรปและมหาสมุทรแอตแลนติก การปรึกษาหารือระหว่างกันนั้นย่อมกระทำได้ ซึ่งในทางปฏิบัติดูเหมือนจะไม่สู้มีเท่าใดนัก ต่างฝ่ายต่างมุ่งประโยชน์ของตนโดยเฉพาะ ทั้ง ๆ ที่ได้รับผูกพันกันแต่เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๘๕ ว่า ทั้ง ๓ ประเทศจะช่วยกันรบกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยจะไม่แยกทำสัญญาสงบศึกหรือสันติภาพเป็นอันขาด ญี่ปุ่นย่อมมองถึงเขตวงไพบูลย์ร่วมกันในมหาเอเชียบูรพาเป็นเกณฑ์ในการติดต่อทางเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เคยได้ยินได้ฟังจากนักธุรกิจญี่ปุ่นที่สนิทสนมกันพอสมควรว่า เมื่อฝ่ายอักษะจะชนะสงครามแล้ว ต่อไปญี่ปุ่นก็จะต้องสู้กับเยอรมันอีก พวกเราชาวเอเชียจึงควรรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวเพื่อสวัสดิภาพของภูมิภาค
๓. การแลกเปลี่ยนคณะทูตสันถวไมตร
รัฐบาลไทยส่งคณะทูตสันถวไมตรี มีพระยาพหลพลพยุหเสนา เชษฐบุรุษ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้า เดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายน จนกระทั่งวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๘๕ เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับญี่ปุ่น นอกจากกรุงโตเกียวยังได้เลยไปเยือนเมืองสำคัญทางวัฒนธรรม การเศรษฐกิจ การค้า ฯลฯ ฝ่ายญี่ปุ่นพยายามให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นในคณะทูตไทยนี้ มีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นรองหัวหน้า และนายวนิช ปานะนนท์ ร่วมอยู่ด้วย หลวงธำรง นาวาสวัสดิ์เคยเป็นหัวหน้าคณะทูตสันถวไมตรีไปเยือนอินเดีย พม่า มลายู และออสเตรเลียมาแล้วเมื่อก่อนเกิดสงคราม ส่วนนายวนิช ปานะนนท์ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเจรจาปัญหาทางเศรษฐกิจและการคลังกับญี่ปุ่น พระเจ้าจักรพรรดิญี่ปุ่น พระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันให้เป็นเกียรติแก่คณะทูตสันถวไมตรีไทยด้วย
เพื่อถ้อยทีถ้อยปฏิบัติสนองตอบ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งคณะทูตสันถวไมตรีมาเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ ๑๐ ถึง ๒๒ กรกฎาคม ประกอบด้วยนายโกกิ ฮิโรต้า อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้า มีนายยาตาเบ อดีตอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยร่วมอยู่ด้วย ฝ่ายไทยได้จัดการต้อนรับคณะทูตญี่ปุ่นอย่างอบอุ่นไม่น้อยหน้า รวมตลอดทั้งให้กล่าวคำปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงต่อประชาชนชาวไทยด้วย
๔. การรับรองรัฐบาลจีนภายใต้วังจิงไว

วังจิงไว หรือวังจิงเว่ย
อดีตประธานาธิบดีประเทศจีน
วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๘๕ นายโตโง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเชิญท่านเอกอัครราชทูตไปพบ และปรารภว่า เนื่องจากไทยและญี่ปุ่นมีความผูกพันจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันฐานพันธมิตร และกำลังทหารไทยได้เข้าไปปฏิบัติในประเทศพม่า อาจจะต้องปะทะกับกองกำลังทหารของจอมพลเจียงไคเช็ค ฝ่ายไทยน่าจะแสดงท่าทีอย่างใดอย่างหนึ่งต่อรัฐบาลจุงกิงของจอมพล เจียงไคเช็ค รัฐบาลญี่ปุ่นคิดว่า แทนที่ไทยจะประกาศสงครามกับรัฐบาลจุงกิงซึ่งจะมีผลเท่ากับไทยรับรองฐานะของรัฐบาลนั้น ไทยควรจะรับรองรัฐบาลชาติใหม่ของจีนที่ตั้งอยู่นครนานกิงภายใต้นายวังจิงไวเสียจะดีกว่า รัฐบาลญี่ปุ่นถือเป็นนโยบายว่า ประเทศจีนมีรัฐบาลเดียวที่ชอบด้วยกฎหมาย อันได้แก่รัฐบาลของนายวังจิงไว ซึ่งพันธมิตรของญี่ปุ่นทุกประเทศได้ยอมรับนับถือแล้ว จึงอยากจะให้รัฐบาลไทยประสานนโยบายกับญี่ปุ่นในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศจีน เช่นเดียวกันกับที่ไทยเคยรับรองรัฐบาลแมนจูกัวมาแล้ว
ท่านเอกอัครราชทูตตอบรัฐมนตรีว่า จะเปรียบจีนกับแมนจูกัวไม่ได้ เพราะมีคนเชื้อชาติจีนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก มีปัญหาสลับซับซ้อนหลายเรื่อง รัฐบาลจะต้องไตร่ตรองใครครวญถึงผลได้ผลเสียอย่างละเอียดรอบคอบ ท่านเอกอัครราชทูตรับจะรายงานเรื่องให้รัฐบาลพิจารณา
เย็นวันที่ ๑๘ มิถุนายน นายโตโงให้เลขานุการโทรศัพท์แจ้งมาให้ทราบว่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยแจ้งต่อเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นที่กรุงเทพฯ ว่า รัฐบาลไทยตกลงที่จะรับรองรัฐบาลวังจิงไวแล้ว โดยที่เรื่องนี้นายโตโงเป็นผู้ขอร้องต่อท่านเอกอัครราชทูตดิเรก เมื่อไทยตัดสินใจแล้ว เหตุใดท่านเอกอัครราชทูตจึงไม่ไปพบนายโตโงแจ้งให้ทราบเป็นทางการ วันรุ่งขึ้นท่าน เอกอัครราชทูตจึงได้รับโทรเลขจากกระทรวง และได้ขอไปพบรัฐมนตรีโตโงทันที นายโตโงพอใจคำวินิจฉัยของรัฐบาล แต่ขอติงในวิธีการว่า เขาเป็นผู้ขอร้องผ่านท่าน เอกอัครราชทูตดิเรก เขาจึงน่าจะเป็นคนแรกที่ได้รับทราบข้อตกลงใจของรัฐบาลไทย มิใช่เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นที่กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามต้องรอมาจนวันที่ ๗ กรกฎาคม รัฐบาลไทยจึงออกประกาศการรับรองรัฐบาลวังจิงไวเป็นทางการ
การที่รัฐบาลไทยรับรองรัฐบาลวังจิงไว ได้สร้างความผิดหวังและไม่พอใจให้แก่ จอมพลเจียงไคเช็คมาก ความจริงจอมพลเจียงไคเช็คเคยแสดงความเห็นอกเห็นใจประเทศไทยมาแต่แรก ครั้นเมื่อรัฐบาลไทยเกิดตัดสินใจให้การรับรองรัฐบาลคู่แข่งที่ญี่ปุ่นเสกสรรปั้นแต่งขึ้น จอมพลเจียงไคเช็คจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นธรรมดา
พอไทยประกาศรับรองรัฐบาลจีนที่นานกิง นายซุยเหลียง เอกอัครราชทูตจีนนานกิงประจำประเทศญี่ปุ่น ได้ไปพบท่านเอกอัครราชทูตดิเรก ชัยนาม เพื่อขอบคุณรัฐบาลไทยในไมตรีจิตและได้หารือเรื่องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน นายซุยเหลียงให้ความเห็นว่า เพื่อการประหยัดในยามสงคราม ทูตคิดจะเสนอให้ตั้งทูตเองเป็นทูตจีนประจำประเทศไทยด้วย จะเป็นชั้นเอกอัครราชทูตหรือเพียงอัครราชทูตก็ได้ และถ้าฝ่ายไทยเห็นด้วย ก็อาจจะตั้งท่านเอกอัครราชทูตดิเรกดำรงตำแหน่งทูตไทย ณ กรุงนานกิง ทำนองเดียวกัน นายซุยเหลียงยังอ้างด้วยว่า ได้ปรึกษาหารือกับนายโตโงแล้ว ไม่ขัดข้องประการใด
ท่านเอกอัครราชทูตดิเรกรายงานข้อเสนอของนายซุยเหลียงให้รัฐบาลทราบ พร้อมทั้งเสนอความเห็นว่า รัฐบาลพึงพิจารณาให้ลึกซึ้ง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไทยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำสนธิสัญญาหรือทำความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศจีน เนื่องจากมีคนเชื้อชาติจีนอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จะเป็นปัญหาแก่เราภายหลัง แต่เมื่อรัฐบาลไทยเกรงใจญี่ปุ่นจำต้องรับรองรัฐบาลนานกิงไปแล้ว ก็ช่วยไม่ได้ แต่จะถึงกับตกลงแลกเปลี่ยนทูตไปประจำต่อกันอาจจะมากไป
ท่านเอกอัครราชทูตดิเรกยังไม่ทันได้รับตอบจากกรุงเทพฯ นายซุยเหลียงได้ไปขอพบอีก และแจ้งให้ทราบว่า รัฐบาลนานกิงเห็นพ้องกับข้อเสนอของเขาทุกประการ และถ้าฝ่ายไทยยังห่วงใยในเรื่องปัญหาคนจีนในประเทศไทย รัฐบาลนานกิงขอให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะไม่แตะต้องปัญหานี้ และจะแนะนำให้คนจีนอยู่ในโอวาทปฏิบัติตามกฎหมายไทยทุกประการ โดยให้ความร่วมมือกับประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อความสำเร็จของสงคราม
ในชั้นแรก ทางกระทรวงการต่างประเทศไทยมีดำริคิดอยากจะตั้งให้พลตรี หลวงวีระโยธา อัครราชทูตประจำแมนจูกัว ไปดำรงตำแหน่งทูตไทยที่นานกิง แต่ต่อมาเปลี่ยนจะแยกตั้งเป็นทูตที่นานกิงอีกคนหนึ่งต่างหาก นายวิจิตร วิจิตรวาทการ ซึ่งได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแทนจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน พูดวิทยุโทรศัพท์สั่งให้ท่านเอกอัครราชทูตดิเรกติดต่อให้ไทยตั้งทูตประจำประเทศนานกิงให้ได้ แต่ฝ่ายญี่ปุ่นยังไม่อยากจะให้กระทำเช่นนั้น เพราะเห็นว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพียงแต่ส่งทูตไปยื่นสาส์นตราตั้งต่อกันก็เพียงพอ ไม่ถึงกับจะต้องตั้งเป็นสถานทูตอีกแห่งหนึ่ง แล้วจากนั้นเรื่องการตั้งทูตประจำนานกิงก็เงียบเป็นคลื่นกระทบฝั่ง
พวกเรามีความรู้สึกว่า แม้นายซุยเหลียงจะเป็นทูตที่รัฐบาลนานกิงส่งไปประจำที่กรุงโตเกียวก็ตาม แต่ก็มีความคิดเห็นที่ไม่สู้จะสอดคล้องกับฝ่ายญี่ปุ่นเท่าใดนัก เมื่อสนทนาด้วยนาน ๆ จนเกิดความสนิทสนมอย่างพอที่จะให้ความไว้วางใจกันได้ นายซุยเหลียงมักจะตำหนิติเตียนการดำเนินงานของฝ่ายญี่ปุ่นเสมอ อย่างน้อยมักจะมีการกระแนะกระแหนไม่ได้ขาด
หมายเหตุ :
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ หนังสือการวิเทโศบายของไทยแล้ว
- โปรดดูเพิ่มเติม หมายเหตุบรรณาธิการได้ที่ ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “สองปีในประเทศญี่ปุ่น”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 140-153.
บรรณานุกรม :
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “สองปีในประเทศญี่ปุ่น”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 140-153.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 1 : สงครามโลกครั้งแรก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 2 : สงครามโลกครั้งที่ ๒
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 3 : วิเทโศบายของไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 4 : การเรียกร้องดินแดนคืน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 5 : การรักษาความเป็นกลางของประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 6 : ประเทศไทยเข้าสงครามข้างญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 7 : ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น