เมื่อตอนเด็กๆ ปลายไปดูการแข่งขันฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยธรรมจักรเสียงเพลงกราวกีฬา ดังกระหึ่มทั่วสนามบอล
“กีฬา กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล ตาละล่า....”
พี่ๆ นักกีฬาแข็งแรง คล่องแคล่วว่องไว และมีพละกำลัง
ปลายดูด้วยความชื่นชม แต่ปลายยังไม่มีโอกาสเป็นนักกีฬากับเขาสักที
แล้วความฝันของปลายก็กลายเป็นจริง มีอยู่วันหนึ่งผิงผิงบอกว่า ทีมบาสเกตบอลของห้อง ม. 2/2 ขาดลูกทีมหนึ่งคน ไม่รู้ว่าปลายอยากร่วมทีมด้วยหรือไม่
“ฉันนะหรือที่เธอชวนร่วมทีม จะไหวหรือ เดี๋ยวทำให้ทีมบาสห้องเราแพ้นะ จะบอกให้” ปลายลังเลที่จะตอบรับคำชวน
“เอาเถอะน่า ครูจ๊างรับปากว่าจะฝึกให้เธอเป็นพิเศษ” ผิงผิงกล่าวอย่างมั่นใจ
“อีกอย่างหนึ่ง จะแพ้จะชนะไม่สำคัญ ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงและเสริมมิตรภาพระหว่างพวกเรากันเองสำคัญกว่า” ผิงผิงมักจะมีเหตุผลในการโน้มน้าวใจผู้ฟังเสมอ
หลังเลิกเรียนตอนเย็น ปลายอยู่ในแถวของทีมบาสเกตบอลด้วยคนหนึ่ง ลูกบอลกลมๆ ใช่จะว่าง่าย พอนิ้วมือทั้งห้าสัมผัสลูกบอลแรงหน่อย มันก็กระเด้งเสียสูง ปลายพยายามเลี้ยงลูกบอลให้กระเด้งขึ้นลงในระดับเอว ครูจ๊างคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ พร้อมทั้งสาธิตให้ปลายดู เท้าทั้งสองของครูจ๊างลอยเหนือพื้นดินที่บดจนแข็งเรียบ มือขวาค่อยๆ กระดกลูกบอลลงถุงตาข่ายที่แขวนบนแผ่นไม้สูงเหนือศีรษะ
ฝึกซ้อมเช่นนี้ทุกเย็นเป็นเวลา 1 เดือน ปลายได้รับเลือกให้เป็นปีกซ้ายของกองหน้า
“จิ๊ย้าหยิว จิ๊ย้าหยิว” (แปลว่า เติมน้ำมัน) เสียงเชียร์ดังก้อง นักกีฬาก็เหมือนรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน แล้วเรี่ยวแรงก็จะพรั่งพรูออกมาเต็มที่
ปลายแย่งลูกบอลมาได้ วิ่งพลางเลี้ยงลูกบอลพลาง โยกตัวซ้ายทีขวาทีหลบกองหลังของทีมคู่แข่ง แนวป้องกันหนาแน่นจนไม่สามารถแทรกตัวเข้าใกล้เขตหวงห้าม ทันใดนั้นผิงผิง กองหน้าที่ทำหน้าที่ศูนย์กลางวิ่งเข้ามาด้านขวาของปลาย ปลายโยนลูกบอลให้ผิงผิง ผิงผิงอาศัยจังหวะที่ทีมคู่แข่งไม่ทันระวังระไว กระโดดลอยตัว 3 ก้าว วางลูกบอลลงห่วงอย่างแม่นยำ
57 ต่อ 55 ทีมบาสเกตบอลห้อง ม. 2/2 ชนะ อย่างเฉียดฉิว
“พวกเธอเล่นได้ดีมาก เล่นกันเป็นทีม ร่วมมือกันทะลวงแนวป้องกันของทีมคู่แข่ง” ครูจ๊างเอ่ยปากชม
เย็นวันรุ่งขึ้น ทีมบาสเกตบอลห้อง ม. 2/2 รวมตัวกันที่ลานบาสเกตบอลเช่นเคย จากนั้นออกวิ่งไปยังถนนเลียบกำแพงพระราชวังต้องห้าม แล้ววิ่งย้อนกลับมาที่ลานบาสเกตบอลอีก ครูจ๊างออกคำสั่งให้แบ่งเป็น 2 ทีมย่อย ผลัดกันรุกผลัดกันรับ.....
ฤดูหนาวมาเยือนอีกคำรบหนึ่ง เพียงแต่เห็นต้นไม้ไร้ใบแห้งโกร๋นก็รู้ถึงความหนาวเหน็บ คืนใดที่มีหิมะตก เกล็ดหิมะเหมือนผลึกแก้วแวววาว รวมตัวเป็นลำแสง แสงนี้จับไปที่ใดก็ดูสว่างไสวไปหมดไม่ว่าบ้านเรือน รถรา และผู้คน
หิมะค้างคาอยู่บนกิ่งไม้และหลังคาบ้านได้ไม่นานนัก เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ละลายเป็นน้ำ เหลือแต่หิมะบนพื้นดินที่ยังไม่ละลาย
ช่วงพักระหว่างคาบวิชา เด็กๆ วิ่งกรูออกไปบริเวณลานหน้าห้องเรียน สงครามขว้างปาก้อนหิมะเกิดขึ้นอย่างสนุกสนาน บางคนที่ซนหน่อย ปั้นหิมะให้เป็นก้อนกลมๆ แล้วยัดใส่คอปกเสื้อด้านหลังของเพื่อน เสียงร้องเจี๊ยวจ๊าวตามมา
ปลายกับผิงผิงช่วยกันปั้นหิมะเป็นก้อนกลม แล้วนำไปกลิ้งไปกลิ้งมาบนหิมะหนาบนพื้น ก้อนหิมะใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น จนทั้งสองคนไม่มีแรงดันให้กลิ้งได้อีก ปลายใช้ฝ่ามือโกยหิมะมาแต่งก้อนหิมะจนมีขนาดสูงเกือบเท่าตนเอง ถุงมือนวมเปียกชุ่มไปหมด
เสียงกริ่งดังขึ้น ชั่วโมงเรียนเริ่มขึ้นอีก คุณครูบรรยายอะไรบ้างปลายฟังไม่รู้เรื่อง ใจอยู่กับก้อนหิมะที่ปั้นค้างไว้ อยากให้เวลา 50 นาที ในห้องเรียนผ่านไปเร็วๆ
ช่วงพักเรียนที่ 2 ปลายกับผิงผิงช่วยกันปั้นหิมะก้อนกลมอีกลูกหนึ่งคราวนี้ก้อนหิมะไม่ใหญ่นัก ขนาดเท่าหัวคน ผิงผิงค่อยๆ ยกก้อนหิมะนี้วางบนหิมะก้อนใหญ่อย่างเหมาะเหม็ง
ตุ๊กตาหิมะกว่าจะตกแต่งเสร็จก็เป็นช่วงพักเรียนที่ 3 ผิงผิงวิ่งไปขอเศษหัวแครอทสีส้มจากโรงครัว ปักหัวแครอทลงตรงกลางหิมะก้อนเล็ก ดูประหนึ่งจมูกแหลมที่ยื่นออกมา ถ่านหินสีดำ 2 ก้อนแปะเป็นนัยน์ตา 2 ข้าง ส่วนกิ่งไม้เล็กดัดงอโค้งเป็นรูปปาก
“เอ๊ะ ดูจะขาดๆ อะไรไปนะ” ผิงผิงพูดพลางคว้าเอาไม้กวาดมาเสียบเฉียงๆ ไว้บนหิมะก้อนใหญ่
“นั่นเป็นแขนกับมือใช่ไหม” ปลายถามผิงผิง แล้วทั้งสองก็หัวเราะด้วยความพออกพอใจ
“ประเดี๋ยวพวกเราช่วยกันกวาดหิมะบนทางเดินในโรงเรียนและฟุตปาธบริเวณหน้าโรงเรียนไปจนถึงสี่แยกไฟแดง ถ้าทิ้งไว้นานเดี๋ยวกลายเป็นน้ำแข็งผู้คนเดินไปเดินมาอาจจะลื่นหกล้ม” หลี่หยิงบอกกับทุกคน
ผิงผิงดึงไม้กวาดออกมาเพื่อจะไปกวาดหิมะที่ปกคลุมทางเดิน ทันใดนั้น ตุ๊กตาหิมะตัวนั้นกลายเป็นตุ๊กตาแขนด้วนมือกุด
เย็นวันนั้นทีมบาสเกตบอลไม่ได้ฝึกซ้อม หิมะหนายังคงปกคลุมสนามบาสเกตบอล ปลายแอบกระซิบบอกผิงผิง
“เธอช่วยติววิชาพีชคณิตให้ทีนะ วันนี้ฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลย”
ในช่วงฤดูหนาวที่ยาวนาน น้ำในคูคลองและบึงใหญ่จับตัวเป็นน้ำแข็ง อุณหภูมิยิ่งต่ำน้ำแข็งยิ่งหนา สวนสาธารณะกั้นพื้นที่ส่วนหนึ่งของบึงเป็นลานสเก็ตธรรมชาติ พื้นผิวน้ำแข็งตะปุ่มตะป่ำ ใบมีดของรองเท้าสเก็ตขูดขีดเป็นรอยลึก การดูแลคือราดน้ำบนผืนน้ำแข็งในตอนกลางคืน น้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ราดน้ำครั้งเดียวไม่พอ ก็ราดซ้ำอีก 2-3 ครั้ง เป็นเช่นนี้ ผิวน้ำแข็งก็จะลื่นเรียบดังกระจก
ลานสเก็ตของสวนจ๊งซ้านอยู่ใกล้โรงเรียนที่สุด ปลายมาเล่นสเก็ตที่นี่เสมอ กางเกงนวมหนาทำให้ไถลลื่นหกล้มอย่างไรก็ไม่รู้สึกเจ็บ
ที่มา : ว.ณ. พนมยงค์, “กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ,” ใน “วันวานในโลกกว้าง,” ใน อนุสรณ์ วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์. (กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2562), น. 268-273.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- ตอนที่ 1 - ปลายแถว
- ตอนที่ 2 - เด็กหญิงกล้วยน้ำว้า
- ตอนที่ 3 - ไปโรงเรียน
- ตอนที่ 4 - จุดหักเห
- ตอนที่ 5 - นกน้อยในกรงเหล็ก
- ตอนที่ 6 - สู่โลกกว้าง
- ตอนที่ 7 - ฉันเป็นชาวสยาม
- ตอนที่ 8 - การเดินทาง 15,000 กิโลเมตร
- ตอนที่ 9 - บ้านหลังใหม่
- ตอนที่ 10 - ปู้หวา
- ตอนที่ 11 - พระราชวังต้องห้าม
- ตอนที่ 12 - ตามล่าหาสายลับ
- ตอนที่ 13 - น้ำพริกแอปเปิ้ล