ข้อเขียนการเมืองของข้าพเจ้าในลำดับต่อนี้ไป จะไม่ถือการวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์การเมือง แต่ละเรื่องละรายเปนแนวทางสำคัญในการเขียน ด้วยพิเคราะห์ดูเห็นว่ากลไกการปกครองประชาธิปไตยในประเทศของเรา นับแต่ได้ตั้งระบอบนี้มาเปนเวลา ๑๕ ปีก็ยังไม่มีความมั่นคงอะไร จักรกลต่าง ๆ ที่จำเปนจะต้องมีและควรจะมีสำหรับระบอบนั้น ก็ยังไม่มีครบถ้วนสมบูรณ์ และที่มีอยู่ก็ล้วนแต่ยังโยกคลอนครั้นเมื่อเกิดการใช้กำลังศัสตราวุธบังคับเปลี่ยนรัฐบาลในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๐ กลไกประชาธิปไตยก็ย่อมประสพการโยกคลอนอย่างรุนแรงประหนึ่งเปนการถอนรากถอนโคน [เหตุผลที่อ้างในการใช้กำลังบังคับเปลี่ยนรัฐบาลในสมัยนั้นจะประกอบด้วยน้ำหนักหลักฐานพึงฟังเพียงไรนั้น เปนเรื่องที่สมควรจะละไว้ รอการศึกษาพิจารณาอันยุตติธรรมในอนาคต แต่ผลที่เห็นประจักษ์แก่ตาข้อหนึ่งก็คือ ได้เกิดปฏิกิริยาที่จะใช้กำลังบังคับเปลี่ยนรัฐบาลติดตามมา ดังที่ได้สำแดงออกมาในเหตุการณ์วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ อันเปนที่เศร้าสลดใจแก่ประชาราษฎรทั่วไป]
แลเมื่อมีปฏิกิริยาที่จะก่อการจลาจลหรือการใช้กำลังบังคับเปลี่ยนรัฐบาล ปรากฏเช่นนั้นแล้วก็เปนธรรมดาที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการป้องกันโดยเข้มงวด เพื่อจะรักษาความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมืองและรักษาฐานะของรัฐบาลเองด้วย ในการดำเนินการเช่นนั้น รัฐบาลก็จะต้องเพ่งเล็งไปในการปราบปรามปรปักษ์ทางการเมือง ซึ่งจะบังเกิดผลใหญ่ ๆ ๒ ประการ คือหนึ่ง รัฐจะต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ไปในการปราบปราม ซึ่งถ้าไม่มีเหตุอันจะต้องพะวงในทางปราบปรามปรปักษ์ทางการเมืองแล้ว เงินก้อนใหญ่นั้นก็อาจจะได้นำไปใช้ในการทำนุบำรุงประเทศ อันจะเปนผลนำความก้าวหน้ามาสู่ประเทศและเพิ่มพูนความผาสุกแก่ประชาชน ประการที่ ๒ เมื่อรัฐบาลตกอยู่ในฐานะที่จะต้องระวังภัยอย่างเข้มงวดจากการจู่โจมล้มรัฐบาล โดยการใช้กำลังบังคับจากคณะนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามแล้ว รัฐบาลก็มักจะหลีกเลี่ยงการใช้พระเดชอย่างเข้มงวดและการใช้มาตรการอันมิใช่เปนลักษณะธรรมดาของประชาธิปไตยไปไม่ได้ เปนต้นว่าจะต้องปกครองโดยอาศัยพระราชกฤษฎีกาภาวะฉุกเฉิน จะต้องตรวจข่าวหนังสือพิมพ์ จะต้องคอยระดมกำลังตำรวจออกล่าตัวผู้ต้องสงสัยในคดีการเมืองโดยไม่เลือกขนาดน้ำหนักแห่งความสงสัย และจะต้องจัดการระวังป้องกันในวิธีการพิเศษอื่น ๆ อีก ซึ่งมิใช่เปนเหตุการณ์ปรกติวิสัยของประเทศประชาธิปไตย
นอกจากผลใหญ่ๆ ๒ ประการดังกล่าวข้างต้นนี้แล้ว ยังมีผลในทางกระทบกระเทือนศีลธรรมและจิตต์ใจของประชาชน ซึ่งเปนผลยังความเสียหายร้ายแรง แต่ก็มิใคร่มีผู้คำนึงถึง อันที่จริงรัฐบาลทุกรัฐบาลย่อมถือตัวว่ามีหน้าที่ในอันจะรักษาไว้ซึ่ง “ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน” แต่บางที่การกระทำบางอย่างของรัฐบาลนั้นเอง ได้ก่อภาวะอันไม่เปนที่ปรารถนาขึ้น จะโดยสำนึกหรือไร้สำนึกก็ตาม การดำเนินการปราบปรามปรปักษ์ทางการเมืองโดยเข้มงวดนั้น บางทีก็ปรากฏออกในรูปที่ใช้อำนาจเกินกว่าเหตุหรือบางทีก็อาจจะเลยขอบเขตต์ของกฎหมายไปทีเดียว ในขณะที่มีการล่าจับผู้ต้องสงสัยในคดีการเมืองอย่างจ้าละหวั่นนั้น ศีลธรรมและจิตต์ใจของบุคคลก็ สท้านสเทือนไป ในยามเช่นนั้น ความระแวงสงสัยก็แผ่กว้างออกไปแทบไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะเดียวกันทราบกันดีทุกฝ่ายว่ารัฐบาลที่ปกครองอยู่ในขณะนั้นเปนรัฐบาลที่แทนประชาชนฝ่ายข้างมาก
ถ้าจะให้รัฐบาลที่อยู่ในฐานะเช่นนั้นลาออกแล้วก็จะเปนการผิดหลักประชาธิปไตยเสียช้ำ การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการวัดกันด้วยการออกเสียงของราษฎรแล้ว ก็จะถือได้แต่เพียงว่าเปนการวิพากษ์ของชนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ยังหาใช่เปนมติของชนส่วนมากไม่ ในออสเตรเลีย รัฐบาลพรรคเลเบ้อได้ปกครองประเทศมา ในท่ามกลางเสี่ยงวิพากษ์อึงคนึงของฝ่ายค้าน แต่เมื่อถึงกำหนดออกและมีการเลือกผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ ผลปรากฏว่าราษฎรยังคงพอใจให้รัฐบาลพรรคเลเบ้อปกครองต่อไป และรัฐบาลพรรคเลเบ้อก็ได้ปกครองประเทศต่อเนื่องกันมาเปนเวลาถึง ๙ ปีแล้ว ในราวเดือนพฤศจิกายนปีนี้ จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในออสเตรเลียและราษฎรออสเตรเลียนก็จะใช้ความวินิจฉัยของเขาอีกครั้งหนึ่งว่า จะเลือกโชชะลิสต์ให้ปกครองประเทศต่อไปอีก ๓ ปีหรือจะเปลี่ยนเอาลิเบอรัลเปนรัฐบาลเสียบ้าง ในอเมริกา พรรคเดโมแครดก็ได้อำนาจปกครองประเทศต่อเนื่องกันมาเปนเวลา ๑๒ ปี เมื่อเดือนที่แล้วราษฎรอเมริกันก็ได้วินิจฉัยให้พรรคนั้นปกครองประเทศสืบต่อไปอีก ๔ ปี
อย่างไรก็ดี ใช่ว่ารัฐบาลจะไม่รับเอาเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาคำนึงเสียทีเดียว เพราะว่าถ้ารัฐบาลทำการพลาดพลั้งลงไป ความนิยมในรัฐบาลอาจเสื่อมลง และไปเพิ่มความนิยมของฝ่ายค้านหรือฝ่ายข้างน้อยได้ เหตุฉะนั้นรัฐบาลที่ปกครองประเทศในมติของประชาชนจึงคำนึงถึงเสียงวิพากษ์หรือเสียงค้านอยู่เสมอ เพื่อจะรักษาน้ำหนักประชานิยมไว้ โดยที่กลไกประชาธิปไตยได้กำหนดให้พรรคการเมืองทุกฝ่ายต้องแสวงความเห็นชอบจากประชาชนในการบริหารรัฐกิจ ฉะนั้นพรรคการเมืองจึงแข่งขันกันที่จะประกอบคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศและประชาชนอยู่เปนนิจ รวมทั้งคอยระวังรักษาชื่อเสียงของพรรคเต็มกำลัง การที่จะแถลงบริการของตนว่ามีคุณค่าเพียงใดนั้น ก็จะต้องแถลงโดยมีหลักฐาน มิฉะนั้นประชาชนก็ไม่เชื่อถือและจะไม่เลือกให้ปกครองประเทศต่อไป
อนึ่ง เนื่องด้วยการปกครองแบบนี้จะต้องมีการวิพากษ์ คัดค้านโต้เถียงกันอยู่เปนนิจ ซึ่งถ้วนเปนมูลยั่วให้เกิดโทษะและก่อความร้าวฉานระหว่างฝ่ายต่างๆ ได้ง่าย ซึ่งถ้าไม่มีเครื่องกำกับเหนี่ยวรั้งอารมณ์ฉุนโกรธของแต่ละฝ่ายไว้แล้ว เมื่อโทษะและโมหะจริตเข้าครอบงำ พวกนักการเมืองก็อาจหันเข้าหาการใช้กำลังเข้าบังคับการให้เปนไปตามประสงค์ของตน ถ้าการณ์เปนไปดังนั้น การต่อสู้จะเปลี่ยนจากการต่อสู้กันในทางความคิดเห็นมาเปนการต่อสู้โดยศัตราวุธและการแข่งขันช่วงชิง ก็จะไม่ใช่เปนการช่วงชิงประชามติ แต่จะเปนการช่วงชิงบาซูก้า รถถัง สเตน คาไบน์หรือตึกรามที่จะใช้เปนปราการเพื่อจะป้องกันชีวิตของตนเอง ในขณะที่หมายมั่นจะเอาชีวิตของอีกฝ่ายหนึ่งในสภาวะการณ์เช่นนั้น วิญญานและสถาบันประชาธิปไตยก็จะอาบเลือดไปด้วย
เหตุฉะนั้น เพื่อจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์น่าทุเรศและน่าสลดใจดังว่า นักการเมืองในประเทศประชาธิปไตยจึงต้องอบรมบ่มนิสสัยให้เปนผู้ประกอบด้วยขันติธรรม ตระหนักในคุณค่าของการปรานีประนอมและวินัยของการต่อสู้ ปราศจากคุณธรรมสำคัญๆ ดังกล่าวนี้ ประชาธิปไตยยากจะดำรงอยู่และดำเนินไปได้โดยราบรื่น
การที่นักการเมืองในประเทศประชาธิปไตยไม่มีอำนาจโทษะหันเข้าหาการใช้กำลังบังคับล้มรัฐบาลก็ดี หรือถ้าเปนฝ่ายรัฐบาลไม่ใช้พลการหรืออำนาจตามอำเภอใจเข้าประหัสประหารฝ่ายปรปักษ์หรือฝ่ายค้านก็ดี ความข้อนี้หาใช่เปนเรื่องเคล็ดลับอะไรไม่ เปนเรื่องมองดูความจริงด้วยความสำนึกธรรมดาเท่านั้น การที่ฝ่ายค้านไม่ใช้กำลังบังคับล้มรัฐบาล ก็เพราะทราบดีว่าถ้าทำดังนั้นแล้วก็จะเสียความสนับสนุนจากประชาชนหมดสิ้น และก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะได้อำนาจปกครองประเทศชั่วคราว โดยปราศจากความสนับสนุนของประชาชน อนึ่งเล่าหากนำเอาวิธีการใช้กำลังบังคับล้มรัฐบาลมาใช้แล้ว
ครั้นฝ่ายของตนเปนรัฐบาลขึ้นมา ก็จะต้องคาดหมายว่า ในวันหนึ่งตนที่อาจจะถูกล้มโดยวิธีเดียวกัน จะไม่มีเวลานอนตาหลับสนิทได้ ทั้งจะต้องจ่ายเงินแผ่นดินมากมาย ในการสอดส่องปราบปรามปรปักษ์ทางการเมือง เมื่อตีความพวักพวนอยู่ดังนี้ก็จะบริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปได้ยาก การใช้กำลังบังคับเปลี่ยนรัฐบาลอาจเปนคุณประโยชน์ และได้รับสนับสนุนจากประชาชน ก็ต่อเมื่อเปนการล้มรัฐบาลเพื่อจะเปลี่ยนจากระบอบหนึ่งไปสู่อีกระบอบหนึ่ง เช่น จากระบอบฟัสซิสต์หรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตย การเปลี่ยนระบอบเช่นนั้น ออกจะการจำเปนต้องใช้กำลังบังคับล้มรัฐบาล เพราะยากจะทำได้โดยทางอื่น ในส่วนระบอบประชาธิปไตยนั้น การล้มหรือเปลี่ยนรัฐบาลย่อมทำได้โดยทางมติหรือทางออกเสียงของประชาชน และก็ถือวิธีการเช่นนั้นเปนปรกติวิสัยในการล้มหรือเปลี่ยนรัฐบาล
ดังนั้น ฝ่ายค้านหรือฝ่ายปรปักษ์จึงไม่ทันเข้าใช้กำลังบังคับล้มรัฐบาล เพราะรู้ได้ว่าการกระทำดังนั้นจะเปนการทำลายหลักการประชาธิปไตยและก็จะปกครองประเทศยั่งยืนไปไม่ได้ ด้วยจะไม่ได้รับสนับสนุนจากประชาชนเลย เหตุฉะนั้น ในประเทศประชาธิปไตยเช่น ในออสเตรเลียและอเมริกาดังยกมากล่าวข้างต้น แม้พรรคการเมืองฝ่ายหนึ่งจะได้ชนะการเลือกตั้งมาหลายยกและได้อำนาจปกครองประเทศติดต่อกันมาหลายปี พรรคฝ่ายตรงกันข้ามก็อดทนคอยเวลาของคนและหากเพียรที่จะเอาชนะปรปักษ์แต่โดยทางสติปัญญาอย่างเดียว ไม่เคยคำนึงถึงวิธีการใช้กำลังบังคับเลยในประเทศอังกฤษพรรคกรรมกรได้พากเพียรต่อสู้โดยทางสติปัญญากับพรรคฝ่ายนายทุนมาเปนเวลานานปี กว่าจะชนะประชามติและได้อำนาจปกครองประเทศ
ในทางกลับกันพรรคที่เปนรัฐบาล ถึงแม้ได้รับการวิพากษ์รุนแรงหรือไม่เปนธรรมเพียงใด ก็ไม่หันเข้าหาการใช้พลการหรืออำนาจตามอำเภอใจเพื่อกำราบปราบปรามปรปักษ์ทางการเมือง เพราะรัฐบาลตระหนักดีว่า ถ้าตนประพฤตินอกลู่นอกทางไปแล้ว ถึงแม้ประชาชนจะไม่พอใจฝ่ายค้านเพียงไรก็ดีที่จะมีความชิงชังทีเดียว ถ้ารัฐบาลละเสียซึ่งขันติธรรมและหันเข้าหาการใช้พลการปราบปรามปรปักษ์ของตน อีกประการหนึ่ง รัฐบาลย่อมทราบอยู่ว่า ในระบอบประชาธิปไตยนั้นพรรคฝ่ายค้านอาจที่จะกลับมาเปนรัฐบาลได้เสมอ และรัฐบาลที่จะต้องกลับไปอยู่ในฐานะของฝ่ายค้านเหมือนกัน เหตุฉะนั้น ถ้ารัฐบาลปฏิบัติแก่ฝ่ายค้านในอาการอย่างไร ตนก็ต้องหมายว่าจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน
สรุปก็คือ ในประเทศประชาธิปไตย ความชั่วร้ายต่างๆ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก เพราะเหตุประชาธิปไตยนี้กลไกมหัศจรรย์ที่คอยเตือนนักการเมืองทุกฝ่ายให้สำนึกอยู่เสมอว่า ฐานะของตนอาจถูกสับเปลี่ยนได้เสมอ สิ่งใดที่ตนไม่ปรารถนาจะได้รับเมื่อตนอยู่ในฐานะอย่างหนึ่ง ตนก็จะต้องไม่ปฏิบัติแก่อีกฝ่ายหนึ่งในเมื่อตนอยู่ในฐานะตรงกันข้าม กล่าวคือ เมื่อตนเปนฝ่ายค้านไม่ปรารถนาให้รัฐบาลเล่นพวกเล่นพ้อง ไม่ปรารถนาให้ใช้อำนาจราชการเอาเปรียบฝ่ายค้านในกรณีเลือกตั้งผู้แทนราษฎรไม่ปรารถนาให้ประกาศภาวะฉุกเฉินเซนเซอร์หนังสือพิมพ์ จับกุมคุมขังด้วยข้อสงสัยอันไม่มีน้ำหนัก หรือเมื่อจับไปแล้วก็ห้ามเยี่ยม ห้ามประกัน ห้ามพูด ห้ามอ่านหนังสือ และให้อยู่ในห้องสกปรกทุเรศ เปนที่ทรมานใจนานาประการ ดังนั้นเมื่อตนได้เปนรัฐบาลเมื่อใด ก็จะต้องไม่กระทำการเช่นนั้นแก่ฝ่ายค้าน และจะต้องปรับปรุงแก้ไขความน่าทุเรศต่างๆ ที่เคยมีอยู่ให้หมดไป อนึ่ง เมื่อคนเปนฝ่ายรัฐบาลไม่ปรารถนาให้ฝ่ายค้านก่อการจราจลหรือก่อรัฐประหารไม่ปรารถนาให้ฝ่ายค้านวิพากษ์โจมตีรัฐบาลด้วยการปลุกปันข่าวโป้ปดมดเท็จ ส่อเสียดยุยง และทำการต่างๆ ที่ไม่เปนธรรมต่อรัฐบาล ดังนั้นเมื่อตนกลับไปอยู่ในฐานะของฝ่ายค้าน ตนก็จะต้องไม่กระทำการเช่นนั้นต่อรัฐบาลเหมือนกัน
เราจะเห็นว่าประชาธิบไตยมีกลไกที่จัดให้ฝ่ายต่างๆ ยึดหลักถ้อยทีปฏิบัติต่อกัน และก็ตรงกับหลักธรรมของพุทธศาสนาและคริสตศาสนาที่สอนว่า อย่าทำต่อเขาในสิ่งที่เราไม่ประสงค์ให้เขาทำต่อเรา
ที่มา : หนังสือพิมพ์ นครสาร รายวัน
เวลา : 1 เมษายน พ.ศ.2492
หมายเหตุ:
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการหนังสือมนุษย์ไม่ได้กินแกลบฯ และคุณปรีดา ข้าวบ่อ แห่งสำนักพิมพ์ชนนิยมแล้ว
- อักขรและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
- โปรดดูเพิ่มเติม หมายเหตุบรรณาธิการได้ที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ, “กลไกประชาธิปไตย” ใน มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548), 193-203.
- ตัวเน้นโดยผู้เขียน
บรรณานุกรม :
- สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548)
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- ตอนที่ 1 - มนุษยภาพ
- ตอนที่ 2 - ชีวิตของประชาชาติ
- ตอนที่ 3 - ข่าวในหนังสือพิมพ์ไทย
- ตอนที่ 4 - ระบบหัวโขน
- ตอนที่ 5 - เสรีภาพ
- ตอนที่ 6 - ความกาลีแห่งอำนาจ
- ตอนที่ 7 - การวางยาแก้โรคเงินเฟ้อ
- ตอนที่ 8 - เชษฐบุรุษ
- ตอนที่ 9 - รัฐบุรุษอาวุโสกลับคืนสู่มาตุภูมิ
- ตอนที่ 10 - การลาออกของนายปรีดี
- ตอนที่ 11 - บรรยากาศในสภาวันจันทร์
- ตอนที่ 12 - เสถียรภาพทางการเมือง
- ตอนที่ 13 - ดิเรกลาออก
- ตอนที่ 14 - การแปลบัญญัติของรัฐธรรมนูญ