ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ศุขปรีดาเล่าเรื่อง : หวอเหงียนย้าป จอมทัพคู่บารมีโฮจิมินห์ : ศึกแตกหัก

12
พฤศจิกายน
2565

ความเดิมตอนที่แล้ว : ตอนที่ 14
ศุขปรีดาเล่าเรื่อง : หวอเหงียนย้าป จอมทัพคู่บารมีโฮจิมินห์ : สมรภูมิเวียดนามใต้

การตรากตรำทำงานอย่างหนักของ หวอเหงียนย้าป มาตั้งแต่วัยหนุ่มตลอดจนการรับหน้าที่บัญชาการในสงครามปลดปล่อยภาคใต้ ทำให้สุขภาพของท่านเริ่มทรุดโทรมถดถอยไปมาก โดยเฉพาะขณะที่ท่านมีอายุได้ 63 ปี คือในปี 1974 ขณะการรบปลดปล่อยขั้นแตกหักได้ก้าวเข้าสู่ชัยชนะในขั้นสุดท้ายแล้ว

หวอเหงียนย้าป ได้ล้มลงหมดสติ จากการวินิจฉัยของแพทย์พบการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ต้องได้รับการรักษาด่วน ทางกรมการเมืองของพรรคมีความวิตกเป็นอย่างยิ่ง ทางการสหภาพโซเวียตจัดส่งเครื่องบินพิเศษมารับตัวไปรักษาที่กรุงมอสควา ซึ่งทุกอย่างต้องดำเนินไปอย่างปิดลับที่สุด

ผ่านการตรวจ แพทย์โซเวียตลงความเห็นว่าต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน การรักษาพยาบาลมี โอกาสรอดครึ่งต่อครึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้หวอเหงียนย้าปได้เขียนพินัยกรรมสั่งเสียทหารหาญที่ทำการสู้รบให้มุ่งมั่นเพื่อภารกิจจนถึงที่สุด ในทางส่วนตัวท่านไม่มีการสั่งเสียอะไรเป็นพิเศษนอกจากความภาคภูมิใจที่ได้รับใช้ประเทศชาติประชาชน แต่ปรากฏว่าการผ่าตัดได้รับผลดีเกินคาด ท่านหายขาดจากโรคร้าย เมื่อพักฟื้นอยู่ระยะหนึ่งก็กลับมาบัญชาการสู้รบต่อได้

ประธานาธิบดีฟิเดล คัสโตร แห่งคิวบา ผู้มีความประทับใจในการต่อสู้ของประชาชนเวียดนาม ที่นำโดยท่านโฮจิมินห์มาตั้งแต่ก่อนที่คัสโตรจะโค่นอำนาจของเผด็จการบาติสต้าสำร็จ และในระหว่างกลางปี ค.ศ. 1973 ขณะที่กองทัพประชาชนเวียดนามสามารถปลดปล่อยพื้นที่หลายแห่งจากทางใต้ของเส้นขนานที่ 17 ลงมา ประธานาธิบดีฟิเดล คัสโตรได้เดินทางมาเยี่ยมเวียดนาม และเข้าไปถึงเขตปลดปล่อยใหม่ที่ยังเป็นสนามรบอยู่

คัสโตรผู้กล้าหาญ และสู้รบนำชัยชนะให้ประเทศคิวบามาแล้ว ท่านสวมชุดทหารพร้อมรบ พกอาวุธปืนสั้นประจำกายตลอดเวลา เดินทางตรวจแนวรบและเยี่ยมเยียนทหารเป็นเวลาหลายวัน กลางคืนก็นอนหลุมเพลาะ ย้ายสถานที่ไปมาหลายแห่ง เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้เสริมสร้างกำลังใจให้แก่ผู้รักชาติเวียดนาม เป็นการแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์แห่งคติธรรมระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ คัสโตรยังได้สั่งซื้อรถยนต์ขนส่งจากญี่ปุ่นมาให้ใช้ในกิจการกองทัพ ทั้งที่ฐานะทางเศรษฐกิจของคิวบาก็ไม่นับว่ามีความแข็งแกร่งนัก น้ำใจแห่งความเสียสละ ได้รับการยกย่องจากหวอเหงียนย้าปเป็นอย่างสูง

 

ไตเหวียน - บวนเมถวด

หวอเหงียนย้าป เสนอแผนยุทธการปลดปล่อย ไตเหวียน-บวนเมถวด (Tay Nguyen - Buon Ma Thuot) แก่คณะกรรมาธิการทหาร และได้รับความเห็นชอบจากองค์คณะแห่งกรมการเมือง โดยเห็นว่าเป็นโอกาสแห่งชัยชนะ และการปลดปล่อยทั่วประเทศจะประสบความสำเร็จเร็วขึ้น เนื่องด้วยกำลังข้าศึกบริเวณนี้มีการป้องกันที่อ่อนแอ ทั้งๆ ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดในการรุกคืบสู่ภาคใต้สุดในดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง

 

ยึดกองบัญชาการของศัตรูที่บวนเมถวด
ยึดกองบัญชาการของศัตรูที่บวนเมถวด

 

แผนที่แสดงการรุกรบและรุกฮือพร้อมกันทุกๆ พื้นที่ในปี 1973
แผนที่แสดงการรุกรบและรุกฮือพร้อมกันทุกๆ พื้นที่ในปี 1973

 

นายพลวันเตี่ยนหยง รับหน้าที่บัญชาการทัพ ร่วมกับ นายพลตรั่นวันจร่า ผู้เคยสู้รบกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสแถบย่านนี้มาแล้ว จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของประชาชนในบริเวณดังกล่าว

แผนยุทธการกำหนดให้เข้าโจมตีจุดแรกโดยฉับพลันที่เมืองบวนเมถวด บนที่ราบสูงเปลกู ซึ่งก็ได้รับความสำเร็จ สามารถบดขยี้กำลังข้าศึกได้หลายกรม ทำลายกำลังทหารนับหมื่นคน ผู้รอดตายเสียขวัญและหมดกำลังใจสู้รบ แตกทัพหนีกลับไปหาครอบครัวที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆ รอบกรุงไซ่ง่อน ทุกคนไม่ต้องการเป็นทหารอีกต่อไป แม้ว่ากฎวินัยสำหรับทหารหนีทัพคือการประหารชีวิตสถานเดียว ก็ไม่มีใครเกรงกลัวอีกแล้ว

การเข้าตีไตเหวียนในขั้นต่อไปก็ไม่เป็นเรื่องยาก ทหารข้าศึกถูกทำลายและถูกจับเป็นเชลยมากมาย เมื่อทั้งสองเมืองได้รับการปลดปล่อยแล้ว ทำให้กำลังทหารฝ่ายเวียดนามใต้ถูกตัดขาดเป็นสองส่วน ได้แก่ส่วนที่ตั้งมั่นอยู่บริเวณแนวเส้นขนานที่ 17 ลงมาถึงเส้นขนานที่ 13 ตัดขาดจากส่วนที่อยู่ตั้งแต่เส้นขนานที่ 13 ลงมาจนถึงไซ่ง่อน และทางใต้สุดของประเทศ

ระหว่างปลายปี ค.ศ. 1974 ถึงต้นปี ค.ศ. 1975 เวียดนามเหนือพร้อมที่จะเผด็จศึกขั้นสุดท้ายได้แล้ว ขึ้นกับว่าการต่อสู้อย่างหัวชนฝาของขุนศึกเวียดนามใต้จะดันทุรังไปได้เพียงใด ในทางเป็นจริงก็ไม่น่าที่จะยืดเยื้อต่อไปได้อีก แต่ด้วยความไม่ประมาทก็เตรียมแผนกำหนดเวลาเผด็จศึกออกไปจนถึงปี ค.ศ. 1976

การรุกใหญ่เข้าปลดปล่อยไซ่ง่อนเปิดฉากขึ้นในช่วงหลังของปี 1974 หลังจากได้ชัยชนะที่ “บวนเมถวด” และ “ไตเหวียน” กองพลหลักของกองทัพประชาชนเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นกองพลที่ 308 ก็ดี 316 ก็ดี หรือ 320 ก็ดี ได้จัดเสริมขยายกำลังขึ้นเป็นกองทัพใหม่ รวบรวมหน่วยทหารเข้าอีกหลายหน่วย และโอบล้อมแนวต้านทานของข้าศึกที่ไซ่ง่อน

เมื่อฝ่ายเวียดนามใต้เข้าสู่ภาวะวิกฤตยิ่งขึ้น อเมริกาก็ยังเป็นเจ้ากี้เจ้าการบีบคั้นกดดันให้เหวียนวันเถี่ยวลาออกจากตำแหน่ง และให้เยืองวันมิงห์ หรือ “บิ๊กมิงห์” ผู้เคยถูกตั้งเป็นประธานาธิบดีมาครั้งหนึ่งให้กลับเข้ามารับตำแหน่งอีก เพื่อหาลู่ทางต่อรองและปรองดองกับฝ่ายเวียดนามเหนือแต่ทุกอย่างสายไปเสียแล้วส่วนเหวียนวันเถี่ยวก็พาครอบครัวพร้อมสินทรัพย์จำนวนไม่น้อย ขึ้นเครื่องบินหนีไปไต้หวัน และไปอยู่อังกฤษในที่สุด

รถถัง T54 จำนวนสองคันของกองทัพประชาชนเวียดนาม ได้บุกฝ่าเข้าใจกลางเมืองไซ่ง่อนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1975 และด้วยความที่ไม่สันทัดเส้นทางในตัวเมืองจึงต้องถามทางสู่ทำเนียบประธานาธิบดีจากชาวบ้าน จนเมื่อถึงประตูทางเข้าก็พุ่งชนเหยียบประตูเหล็กเข้าไป นายทหารประจำรถได้กระโดดออกมาพบกับเยืองวันมินห์ ผู้รักษาการประธานาธิบดี โดยสั่งเยืองวันมินห์ออกคำสั่งให้ทหารเวียดนามใต้ยุติการต่อสู้ และวางอาวุธยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข

 

11.30 น. วันที่ 30-4-1975 รถถังของกองทัพประชาชนเวียดนามพุ่งชนประตูทางเข้าทำเนียบประธานาธิบดี ตัดเส้นเลือดใหญ่ของรัฐบาลอเมริกาและรัฐบาลไซ่ง่อนประกาศชัยชนะทั่วทั้งภาคใต้ รวมประเทศเป็นเอกภาพ
11.30 น. วันที่ 30-4-1975 รถถังของกองทัพประชาชนเวียดนามพุ่งชนประตูทางเข้าทำเนียบประธานาธิบดี ตัดเส้นเลือดใหญ่ของรัฐบาลอเมริกาและรัฐบาลไซ่ง่อนประกาศชัยชนะทั่วทั้งภาคใต้ รวมประเทศเป็นเอกภาพ

 

ธงเวียดนามใต้ถูกดึงลง ธงชาติสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามพื้นแดงดาวทองตรงกลาง และธงชาติแนวร่วมปลดปล่อยเวียดนามใต้ครึ่งด้านบนสีแดง ด้านล่างสีน้ำเงิน มีดาวทองอยู่ตรงกลาง ก็ถูกเชิญขึ้นยอดเสาบนตึกทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้กลางเมืองไซ่ง่อน

 

อเมริกาและสมุนพ่ายแพ้หลบหนีออกนอกประเทศ

 

อเมริกาและสมุนพ่ายแพ้หลบหนีออกนอกประเทศ
อเมริกาและสมุนพ่ายแพ้หลบหนีออกนอกประเทศ

 

ในช่วงชีวิต นับเวลาถึง 35 ปีของการรับใช้ชาติและประชาชนเวียดนามทางด้านทหาร เริ่มไต่เต้าจากหน่วยเล็กๆ แห่งกองโฆษณาประกอบอาวุธ ในเขตฐานที่มั่นทางภาคเหนือของหวอเหงียนย้าป การปลดปล่อยเวียดนามใต้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1975 ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1995 ทางสหรัฐอเมริกาขอให้นายพลหวอเหงียนย้าป ได้พบปะกับนายโรเบิร์ต แม็คนามารา อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ สมัยประธานาธิบดีเดเนดี้และประธานาธิบดีจอห์นสัน ผู้เคยมีบทบาทสำคัญในการวางแผนสงครามเวียดนาม ตอนหนึ่งในการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หวอเหงียนย้าปได้บอกแก่แม็คนามาราว่า

 

“ในหนังสือบันทึกความทรงจำของท่านนั้น ท่านได้เขียนถึงการที่สหรัฐอเมริกาสู้รบกับเวียดนาม โดยปราศจากความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติเวียดนาม ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมของคนเวียดนามและประชาชาติเวียดนาม และโดยเฉพาะผู้นำเวียดนามนั้น เป็นความจริงที่ถูกต้องอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะเราได้ผ่านวัฒนธรรมอันยากลำบากยาวนาน ได้สะสมทฤษฎีทางทหารที่ผ่านมาทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้ชัยชนะ”

 

ประชาชนแซ่ซ้องฉลองชัยชนะ

 

ประชาชนแซ่ซ้องฉลองชัยชนะ

 

ประชาชนแซ่ซ้องฉลองชัยชนะ
ประชาชนแซ่ซ้องฉลองชัยชนะ

 

แม็คนามารายอมรับว่าเป็นความจริงอย่างแน่แท้ แต่ทว่าหวอเหงียนย้าปก็รู้สึกเสียดายว่า เป็นการสายไปเสียแล้วสำหรับการบรรลุถึงซึ่งสัจจะนี้ของแม็คนามารา

“เส้นทางโฮจิมินห์” นำมาซึ่ง “ยุทธการโฮจิมินห์”

สงครามปลดปล่อยเวียดนามใต้ที่ นายพลเอกพิเศษหวอเหงียนย้าป ได้บัญชาการรบ จบลงด้วยชัยชนะของประชาชนเวียดนามทั้งประเทศ เมื่อเดือนพฤษภาคม 1975 ขณะที่ท่านนายพลมีอายุย่างเข้า 65 ปี

 

ที่มา : ศุขปรีดา พนมยงค์. ปรีดา ข้าวบ่อ (บรรณาธิการ), ศึกแตกหัก, ใน, หวอเหงียนย้าป จอมทัพคู่บารมีโฮจิมินห์, (กรุงเทพฯ: มิ่งมิตร, 2553), น. 133 - 139.

บทความที่เกี่ยวข้อง :