ความเดิมตอนที่แล้ว : ตอนที่ 9
ศุขปรีดาเล่าเรื่อง : หวอเหงียนย้าป จอมทัพคู่บารมีโฮจิมินห์ : นิ้วมือทั้งห้า
ป้อมค่ายฝ่ายฝรั่งเศสมีมาตรการป้องกันแน่นหนา ทุกจุดที่คาดว่าฝ่ายเวียดมินห์จะบุกเข้าโจมตีมีการวางทุ่นระเบิดนานาชนิด ผสมผสานกับรั้วลวดหนาม พร้อมด้วยรังปืนกลที่จัดวางไว้ตามแบบฉบับวิชาทหารที่เล่าเรียนมาจากโรงเรียนทหารอันลือชื่อของฝรั่งเศส เรียกได้ว่าเกือบไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง
พลันหน่วยปืนใหญ่เปิดฉากระดมยิงในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1954 อันเป็นการเปิดฉากเข้าตีที่มั่นฝรั่งเศสในศึกเดียนเบียนฟูอย่างเต็มรูปแบบ ฝ่ายเวียดมินห์มอบหมายให้กองพล 308 อันประกอบด้วยกรมทหารราบ 4 กรม บุกเข้าโจมตีป้อมกาเบรียลล์ แนวป้องกันด้านเหนือสุดของฝรั่งเศส
ฝ่ายฝรั่งเศสส่งสัญญาณขอปืนใหญ่ของพวกตนยิงโต้ตอบ ซึ่งเท่ากับเผยที่ตั้งหน่วยปืนใหญ่ให้เวียดมินห์ทราบและปรับพิกัดยิงถล่มได้แม่นยำ ปรากฏว่าปืนใหญ่ของฝรั่งเศสถูกทำลายจนไม่สามารถใช้การได้ อันเป็นเหตุให้พันเอกปิโรตต์ (Colonel Piroth) ผู้บังคับการที่เคยอวดอ้างว่าจะถล่มปืนใหญ่เวียดมินห์ให้สิ้นซาก ต้องอับอายขายหน้า ผิดหวัง และเสียใจขนาดหนัก ถึงขั้นปลดสลักระเบิดมือประจำกายฆ่าตัวตาย
กองพล 312 อันประกอบด้วยทหารราบ 4 กรม ได้รับมอบหมายให้เข้าโจมตีป้อมค่ายแอนน์-มารี ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของแนวป้องกันเช่นเดียวกับกาเบรียลล์ ทหารฝรั่งเศสส่วนใหญ่เก็บตัวอยู่ในที่กำบัง ยิงตอบโต้เมื่อเวียดมินห์บุกเข้าใกล้ และส่งกำลังออกตีโต้บ้างเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา กองพันทหารต่างด้าวและกองพันชาวแอฟริกาเหนือผู้มีความสามารถในการรบพอตัวก็ไม่อาจต้านความเด็ดเดี่ยวในการสู้รบของเวียดมินห์
พลแม่นปืนเวียดมินห์มีความสามารถใช้ปืนเล็กยาวสปริงฟิลด์ (Springfield Rifle) ซึ่งเป็นปืนเล็กยาวธรรมดา ยิงได้ทีละนัด มีความแม่นยำสูงมากในระยะ 400 เมตร ปืนนี้ผลิตในอเมริกาช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกาส่งมาช่วยเหลือฝรั่งเศส แต่เวียดมินห์ยึดเอามาอีกต่อหนึ่ง กรณีนี้ทำเอาทหารฝรั่งเศสเสียขวัญไม่กล้าออกจากที่กำบัง เพราะเป็นเป้านิ่งให้พลแม่นปืนฝ่ายตรงข้ามทำลายชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ กระทั่งการตักน้ำในลำธารบางแห่งต้องใช้เชือกผูกถังโยนลงไปแล้วค่อยๆ สาวดึงขึ้นมา แม้กระนั้นถังน้ำก็ถูกยิงทะลุจนใช้การไม่ได้
การขนส่งอาวุธยุทธภัณฑ์เสบียงอาหารซึ่งก็คือการส่งกำลังบำรุงฝรั่งเศสใช้การขนส่งทางอากาศ เนื่องจากเดียนเบียนฟูตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายตรงกันข้าม ไม่สามารถขนส่งทางบกได้อีก นอกจากนี้เครื่องบินทิ้งระเบิดนาปาล์มโจมตีก็ไม่ปรากฏว่าเวียดมินห์ได้รับความเสียหาย เพราะแนวรบประชิดปราการป้องกันฝรั่งเศสเข้าไปทุกที
หน่วยต่อสู้อากาศยานพร้อมด้วยปืนขนาด 37.5 ม.ม. อันทรงประสิทธิภาพได้เคลื่อนเข้าคุมพื้นที่ทางวิ่ง ทำให้เครื่องบินฝรั่งเศสไม่สามารถขึ้นลงและโฉบต่ำได้ ต้องไต่เพดานบินสูง ใช้ร่มชูชีพทิ้งสัมภาระลงมา ทำให้ยุทธปัจจัยต่างๆ ตกลงไปในแนวยึดครองของเวียดมินห์
หน่วยต่อสู้อากาศยานเวียดมินห์สามารถยิงเครื่องบินข้าศึกตกจำนวนไม่น้อย เครื่องบินส่วนใหญ่ผลิตในอเมริกา อาทิเช่น เครื่องแบร์แคท เครื่องบินทิ้งระเบิด B26 และเครื่องบินลำเลียง C47 เป็นต้น ครั้งหนึ่งพบนักบินอาสาของอเมริกันที่มาช่วยฝรั่งเศสรบเสียชีวิตในซากเครื่องบิน ถือว่าเป็นครั้งแรกที่อเมริกาถลำเข้าสู่สงครามเวียดนามแล้ว
ทหารราบเวียดมินห์นำอาวุธหนักของเหล่า อันได้แก่ ปืนครก ค.80 ม.ม. และ ค.120 ม.ม. ปืนไร้แรงสะท้อน 57 ม.ม. และ 75 ม.ม. ทางเวียดนามเรียกว่าปืน เดกาแซด (DKZ) ยิงถล่มแนวป้องกันของฝรั่งเศสพร้อมกับรุกคืบหน้า หลายครั้งหลายหนห้ำหั่นประจัญบานกันด้วยดาบปลายปืน
ป้อมค่ายบางแห่งใช้เวลาไม่นานก็ตีแตก แต่บางแห่งการต่อสู้ยืดเยื้อ เช่น บริเวณป้อมเอเลน ที่เนิน A1 ทางเวียดมินห์ขุดสนามเพลาะเข้าประชิดเป็นระยะทางยาวร่วมหนึ่งกิโลเมตร ทางฝ่ายตั้งรับก็ขุดสนามเพลาะยันไว้ การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือด บางครั้งข้าศึกรุกกลับเข้ามาในสนามเพลาะ เวียดมินห์ต้องยันกลับไป ขนาดปืนเดกาแซด 75 ม.ม. ยังไม่สามารถถล่มทำลายป้อมปราการที่เป็นรังปืนของฝรั่งเศส ในที่สุดทหารกล้าต้องเป้ระเบิดทีเอ็นที่น้ำหนักหนึ่งตันบุกประชิดแล้วจุดชนวน ผู้แบกรับภารกิจต้องเสียสละชีวิตจึงสามารถตีหักเข้าไปทำลายและยึดป้อมค่ายสำเร็จ แต่กระนั้นฉากสัประยุทธ์นี้ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันจึงนับศพกันได้
ยุทธวิธีเข้าตีของเวียดมินห์ส่วนใหญ่ใช้เวลากลางคืนเพราะมีความชำนาญในภูมิประเทศ พอฟ้าสางก็เข้ายึดยุทธภูมิเป้าหมายไว้ แม้ระยะนั้นทางฝรั่งเศสมีกล้องส่องทางไกลระบบ “อินฟราเรด” ของอเมริกาไว้ประจำการแล้ว แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้ใช้งานให้เกิดมรรคผลอะไร
การเข้าตีป้อมค่ายต่างๆ นอกจากกองพล 304 และ 308 เข้าโจมตีทางด้านเหนือดังกล่าว กองพล 312, 316 และ 325 ก็ได้รับมอบหน้าที่ให้เข้าตีป้อมค่ายที่เหลืออยู่ทั้งหมด โดยจัดกำลังให้แต่ละกรมของกองพลผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่
การสู้รบอันดุเดือดเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม นับชั่วโมงนับวันยิ่งทำให้เวียดมินห์มั่นใจชัยชนะ ถึงแม้ว่าจะประสบความยากลำบาก แต่ขวัญกำลังใจของนักรบที่เข้าทำสงครามกอบกู้เอกราชดียิ่ง ตรงข้ามกับฝ่ายรุกรานที่มองเห็นแต่ความหายนะคืบคลานเข้ามา และเพื่อบำรุงขวัญของผู้บัญชาการพันเอกเดอกัสตรีย์ ทางกระทรวงกลาโหมฝรั่งเศสจึงอนุมัติเลื่อนชั้นให้ยศนายพลตรีเป็นกรณีพิเศษ โดยใช้เครื่องบินทิ้งร่มชูชีพนำส่งให้เดอกัสตรีย์ แต่ปรากฏว่าเครื่องหมายยศจดหมายภรรยา และหนังสือนวนิยาย 2 เล่ม ที่เธอฝากให้สามีปลิวไปตกอยู่ในมือกองกำลังเวียดมินห์ หวอเหงียนย้าป มีบัญชาให้ส่งมอบของทั้งหมดคืนแก่เดอกัสตรีย์ เพราะถือเป็นของใช้ส่วนตัว มิใช่สินสงครามเวลาติดต่อขอคืนสิ่งของเหล่านี้ทหารฝรั่งเศสถือธงขาวมารับเอาไป
ป้อมอิซาเบลล์เป็นปราการสุดท้ายที่ยอมจำนนในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1954 ภายหลังที่เดอกัสตรีย์ถูกจับเป็นเชลย พร้อมด้วยนายทหารยศพันเอก, พันโท และเชลยศึกอีกหลายพันคน ในจำนวนนี้มีสตรีเสนารักษ์รวมอยู่ด้วยคนหนึ่งเธอคือ เจเนเวียฟ เดอกูลารด์ หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวาฝรั่งเศส เช่น เลอฟิกาโร (Le Figaro) สดุดีความกล้าหาญของเสนารักษ์ผู้นี้เสียเลิศลอย ถึงกับเทียบเทียมนางพยาบาลชาวอังกฤษที่ชื่อฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ผู้ได้รับการยกย่องในสงครามกับรัสเซียที่แหลมไครเมียบนฝั่งทะเลดำ ซึ่งสงครามครั้งนั้นพวกปฏิกิริยาสุดขั้วกลุ่มประเทศ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ทำสงครามแย่งชิงผลประโยชน์กันเองฉันใดก็ดี ถึงแม้เจเนเวียฟจะทำหน้าที่ดูแลรักษาทหารบาดเจ็บ แต่ก็ยากจะเข้าใจว่าทำไมฝรั่งเศสจึงส่งสตรีเข้าปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบเยี่ยงนี้
ก่อนพันเอกลางกเลย์ และพันเอกลาแลนด์ ผู้รับหน้าที่ป้องกันป้อมอิซาเบลล์จะยอมปลดอาวุธกองกำลังของตนเอง ได้ขอต่อรองเวียดมินห์ให้เปิดทางหลบหนีเข้าลาวผ่านแขวงพงสาลี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ในที่สุดทหารฝรั่งเศสชุดสุดท้ายก็ถูกจับเป็นเชลยหมดสิ้น
ตลอดระยะเวลาที่กำลังทั้งสองฝ่ายรบพุ่งกันอย่างดุเดือด ผลัดกันรุกผลัดกันรับ สลับกันบุกเข้าโจมตีและตีโต้กลับ ทั้งกลางเปลวแดดและค่ำคืนมืดมิดเหน็บหนาว ทำให้สูญเสียกำลังพลทั้งสองฝ่าย เวียดนามผู้ชนะก็ดูจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฝรั่งเศส
เวียดนามสังหารและจับเชลยทหารข้าศึกได้กว่า 16,200 นาย นายทหารฝรั่งเศสที่ถูกจับประกอบด้วยระดับพลตรี 1 นาย (เดอกัสตรีย์) พันเอก 16 นาย และนายทหารระดับรองอีกมากโดยทางเวียดนามอนุมัติเครื่องบินทหารลำเลียงผู้บาดเจ็บสาหัสกลับฮานอย รวมทั้งเจเนเวียฟ เดอกูลารด์ สตรีเสนารักษ์ส่วนที่เหลือเดินเท้าจนถึงจุดที่ทางการฝรั่งเศสสามารถรับตัวกลับกรมกองของตนได้
ก่อนศึกเดียนเบียนฟูจะปิดฉาก ฝ่ายฝรั่งเศสเล็งเห็นแล้วว่าคงไม่อาจใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามได้อีกต่อไป ตรงกันข้าม เริ่มเห็นลางแห่งความพ่ายแพ้ของฝ่ายตน ต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1954 นั้น ฝรั่งเศสจึงขอเปิดเจรจากับเวียดนามขึ้นที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในชั้นแรกฝรั่งเศสตกลงให้เวียดนามได้รับสิทธิปกครองประเทศบางประการ แต่ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของฝรั่งเศส ลูกคู่ของฝ่ายฝรั่งเศสคือ นายแอนโทนี อีเด็น ร.ม.ต. ต่างประเทศอังกฤษ, นายจอนห์ ฟอสเตอร์ ดัลเลส ร.ม.ต. ต่างประเทศอเมริกา ส่วนเวียดนามได้มอบหมายให้นายฟ่ามวันด่ง นายกรัฐมนตรี และ ร.ม.ต. ต่างประเทศเข้าประชุม โดยมีนายโมโลตอฟ ร.ม.ต. ต่างประเทศสหภาพโซเวียต และนายโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรี และ ร.ม.ต. ต่างประเทศของจีนเข้าร่วมประชุม
ก่อนหน้านี้ นายพลนาวารร์ ผู้บัญชาการสูงสุดฝรั่งเศสในอินโดจีนได้เสนอแนะทางรัฐบาลว่า ฝรั่งเศสต้องไม่ลงนามรับรองใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าสถานการณ์ทางทหารยังไม่เป็นฝ่ายได้เปรียบ โดยเฉพาะถ้าทหารฝรั่งเศสยังไม่สามารถเอาชนะกองกำลังเวียดมินห์ที่เดียนเบียนฟูได้ แล้วถึงที่สุดการศึกครั้งนี้จบลงด้วยความปราชัยของฝรั่งเศส ทำให้การประชุมที่เจนีวาดำเนินไปอย่างเร่งรีบ
หลังจากศึกเดียนเบียนฟูสิ้นสุดลง 4 เดือน “การเจรจาเจนีวา” ก็บรรลุข้อตกลง แต่เป็นที่สังเกตว่าอเมริกาไม่ยอมลงนามในข้อตกลงครั้งนี้
ความจริงปรากฏให้ประจักษ์ในเวลาต่อมาจาก “ข้อตกลงเจนีวา ค.ศ. 1954” มีสาระสำคัญกำหนดให้บริเวณเหนือเส้นขนานที่ 17 เป็นดินแดนในความปกครองอันมีเอกราชสมบูรณ์ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ส่วนใต้เส้นขนานที่ 17 ลงมานั้นให้ฝรั่งเศสและเจ้าหน้าที่เวียดนามที่ฝรั่งเศสแต่งตั้ง จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศใน 2 ปีข้างหน้า
11 ตุลาคม ค.ศ. 1954 เป็นวันที่ชาวเวียดนามในนครฮานอยมีโอกาสต้อนรับทหารแห่งกองทัพประชาชนเวียดนามที่ได้ถอนตัวออกจากเมืองไปเมื่อ 8 ปีก่อน
นักรบกองพลที่ 308 ผู้เข้าตีค่ายเดียนเบียนฟูกองพลแรก ได้รับเกียรติให้นำทัพเดินทางเข้าฮานอยจากด้านสะพานลองเบียน ที่ทอดข้ามแม่น้ำแดงแห่งแรก สะพานนี้สร้างขึ้นสมัยฝรั่งเศสปกครองเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1899 - 1900 อำนวยการสร้างโดยนายปอล ดูแมร์ ข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศสขณะนั้น
ทหารแห่งกองทัพประชาชนเวียดนามได้รับการต้อนรับด้วยความปรีดาปราโมทย์ ธงชาติเวียดนามพื้นแดงดาวทองตรงกลาง ปลิวสะบัดพร้อมป้ายคำขวัญ “สาธารณรัฐประชาธิปไตยวียดนาม จงเจริญ” “โฮจิมินห์จงเจริญ” ปรากฏอยู่ทั่วเมือง ในขณะทหารฝรั่งเศสถอนตัวไปลงเรือที่เมืองท่าไฮฟอง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 100 กิโลเมตรอย่างเงียบๆ
หวอเหงียนย้าป ร.ม.ต. กระทรวงป้องกันประเทศและแม่ทัพผู้พิชิตเดียนเบียนฟู ในชุดทหารธรรมดา สวมหมวกกะโล่สีเขียว ไม่มีเครื่องหมายยศใดๆ นั่งรถจี๊ปเคลื่อนเข้าฮานอยท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับและเชิดชู
การที่หวอเหงียนย้าปสามารถเอาชนะฝรั่งเศสได้ ทำให้ชื่อเสียงของท่านขจรขจายเป็นที่รู้จักทั่วโลก โซ่ตรวนแห่งลัทธิล่าอาณานิคมถูกทำลายลงด้วยการต่อสู้กู้เอกราชของชาวเวียดนาม และส่วนหนึ่งยังผลให้ทหารชาวแอลจีเรียในกองทัพฝรั่งเศสที่ถูกจับเป็นเชลยในการศึกครั้งนี้ เกิดจิตสำนึกทางความคิดการเมือง เมื่อกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตนจึงหันปากกระบอกปืนเข้าต่อสู้กับฝรั่งเศสเพื่อปลดปล่อยประเทศ จนได้รับเอกราชในเวลาต่อมา รวมทั้งบรรดาอาณานิคมในแอฟริกา ฝรั่งเศสได้มอบคืนเอกราชให้ประเทศเหล่านั้นเพราะเกรงประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
อนึ่ง ในห้วงเวลาแห่งชัยชนะครั้งนี้ ภรรยาของหวอเหงียนย้าปได้ให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจึงตั้งชื่อเป็นที่ระลึกว่า “หวอเดียนเบียน”
ที่มา : ศุขปรีดา พนมยงค์. ปรีดา ข้าวบ่อ (บรรณาธิการ), ป้อมค่ายแห่งความปราชัย, ใน, หวอเหงียนย้าป จอมทัพคู่บารมีโฮจิมินห์, (กรุงเทพฯ: มิ่งมิตร, 2553), น. 90 - 99.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- ตอนที่ 1 - ถิ่นกำเนิดปฐมวัย
- ตอนที่ 2 - นักอภิวัฒน์หนุ่ม
- ตอนที่ 3 - แรกพบโฮจิมินห์
- ตอนที่ 4 - จัดตั้งกองทัพประชาชน
- ตอนที่ 5 - ควบรวมกระทรวงกลาโหม - มหาดไทย
- ตอนที่ 6 - ถอยเพื่อรุก
- ตอนที่ 7 - “รุก” ยุทธการชายแดน
- ตอนที่ 8 - เดียนเบียนฟู
- ศุขปรีดาเล่าเรื่อง
- ศุขปรีดา พนมยงค์
- ป้อมค่ายแห่งความปราชัย
- ฝ่ายฝรั่งเศส
- ฝ่ายเวียดมินห์
- ศึกเดียนเบียนฟู
- ปิโรตต์
- Colonel Piroth
- กองพล 312
- ป้อมค่ายแอนน์-มารี
- ป้อมเอเลน
- กองพล 304
- กองพล 308
- กองพล 316
- กองพล 325
- เดอกัสตรีย์
- หวอเหงียนย้าป
- เจเนเวียฟ เดอกูลารด์
- เลอฟิกาโร
- Le Figaro
- ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล
- พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์
- ลางกเลย์
- ลาแลนด์
- ป้อมอิซาเบลล์
- สตรีเสนารักษ์
- แอนโทนี อีเด็น
- จอนห์ ฟอสเตอร์ ดัลเลส
- ฟ่ามวันด่ง
- โมโลตอฟ
- โจวเอินไหล
- นาวารร์
- การเจรจาเจนีวา
- ข้อตกลงเจนีวา 1954
- สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม
- กองทัพประชาชนเวียดนาม
- ปอล ดูแมร์
- สะพานลองเบียน
- หวอเดียนเบียน