ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

(ปราบ) กบฏบวรเดช : ชัยชนะของระบอบใหม่และความร่วมใจของราษฎร ตอนที่ 2

15
ตุลาคม
2565
พิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ หรืออนุสาวรีย์ปราบกบฏ ณ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2479
พิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ หรืออนุสาวรีย์ปราบกบฏ ณ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2479

 

15 ตุลาคม พ.ศ. 2479[1] เป็นวันที่ทางราชการในสมัยรัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้สร้างอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจขึ้น ณ ตำบลหลักสี่ อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร เพื่ออุทิศแด่ผู้ที่เสียชีวิตจากการเข้าร่วมปราบปรามกบฏบวรเดช[2] ระหว่างวันที่ 11-24 ตุลาคม พ.ศ. 2476[3] ซึ่งผลสะท้อนหลังเหตุการณ์กบฏบวรเดชนี้ทำให้รัฐบาลของคณะราษฎรคุมอำนาจได้มากขึ้น ขณะที่กลุ่มทหารและ/ฝ่ายอนุรักษนิยมที่เป็นชนชั้นนำกับข้าราชการระดับบนลดบทบาทลงพร้อมกับถูกกดปราบ[4] ต้องลี้ภัยการเมืองออกไปยังอินโดจีน และถูกจับกุมคุมขังขึ้นศาลพิเศษ พ.ศ. 2476

ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แง่มุมหนึ่งช่วงเหตุการณ์กบฏบวรเดชปรากฏอย่างละเอียดในหนังสือพิมพ์ประชาชาติ คำพิพากษาของศาลพิเศษ พ.ศ. 2476 หนังสือยุทธโกศ พ.ศ. 2479 รวมทั้งในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี และเอกสารของทางราชการบางส่วนนั้นได้แสดงถึงชัยชนะของระบอบใหม่และความร่วมใจของราษฎรที่ช่วยปราบกบฏพร้อมกับสร้างพื้นที่ความทรงจำ (Site of Memory) ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญของสามัญชนหรือทหารที่ต่อสู้เพื่อรักษาระบอบใหม่ผ่านเมรุ ณ ท้องสนามหลวงและอนุสาวรีย์ปราบกบฏในสมัยคณะราษฎร

 

ชัยชนะของระบอบใหม่และความร่วมใจของราษฎร

เมื่อกองทัพของคณะกู้บ้านกู้เมืองเข้ามาล้อมพระนครตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 โดยมี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นเสมือนแม่ทัพ พระยาเทพสงคราม เป็นรองแม่ทัพ และพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) เป็นเสนาธิการกองทัพของการศึกครั้งนี้พร้อมด้วยกองทหารจากหัวเมืองต่างๆ เช่น ในจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสระบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฯลฯ เข้าร่วม โดยได้ตั้งฐานทัพศูนย์กลางที่กรมอากาศยานดอนเมือง ส่วนทางรัฐบาลฯ ได้ตั้งหลวงพิบูลสงคราม เป็นแม่ทัพของฝ่ายคณะราษฎรที่จะนำทหารเข้าปราบปรามกลุ่มกบฏ[5] ซึ่งฝ่ายรัฐบาลฯ จัดทัพแบ่งออกเป็นกองบังคับ กองผสม มีหลวงพิบูลสงครามเป็นผู้นำ กองรบ กองหนุน กองทหารจังหวัด กองทหารดอนเมือง และกองลำเลียง

จากปูมหลังของเหตุการณ์ข้างต้นยังไม่เพียงพอที่จะสะท้อนให้เห็นชัยชนะของระบอบใหม่และความร่วมใจของราษฎรต่อการปราบกบฏบวรเดช จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์จากหลักฐานชั้นต้นสำคัญ ดังนี้

 

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ

 

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2476
หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2476

 

จากที่รัฐบาลฯ ทยอยออกคำแถลงการณ์ทุกชั่วโมงตั้งแต่ตอนกลางวันของวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2476[6] ต่อมาหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ซึ่งมี กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) เป็นบรรณาธิการได้รายงานข่าวเรื่องกบฏบวรเดชครั้งแรกในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2476 โดยพาดหัวข่าวว่า “ยิงพวกก่อจลาจลที่เข้ามาถึงบางเขน น.ร.กฎหมาย กรรมกรขอปราบจลาจล ในหลวงว่าห้ามท่านบวรแล้วแต่ไม่ฟัง” และมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทันควันทั้งในกรุงเทพฯ และพระนครศรีอยุธยาทันทีพร้อมกับขอให้ร้านค้าปิดตั้งแต่ช่วงบ่าย ส่วนพระยาพหลพลพยุหเสนาก็รีบส่งโทรเลขกราบทูลถึงในหลวงรัชกาลที่ 7 ซึ่งทรงประทับอยู่ที่หัวหิน

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ แสดงตนว่าเป็นกระบอกเสียงของฝ่ายรัฐบาลอย่างเด่นชัดด้วยการลงโทรเลข แถลงการณ์ และคำประกาศของรัฐบาลคณะราษฎรอย่างต่อเนื่องเริ่มต้นตั้งแต่ฉบับวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2476 โดยลงทั้งโทรเลขของรัฐบาลฯ กับรัชกาลที่ 7 และคำแถลงการณ์ของรัฐบาลฯ 6 ฉบับ ซึ่งรัฐบาลประกาศว่ามีความจำเป็นต้องปราบปรามจลาจลนับตั้งแต่วันนี้ รัฐบาลยังเริ่มจับกุมทหารฝ่ายจลาจล ประชุมหนังสือพิมพ์ ตรวจยวดยานยนต์ และมีการประชุมลับของสภาผู้แทนราษฎร

ในระยะแรกรัฐบาลฯ ยังไม่ได้ตอบโต้ด้วยความรุนแรงเห็นได้จากที่มีเครื่องบินของฝ่ายกบฏบินมายังกองป้องกันฯ แล้วโปรยกระดาษที่มีข้อความว่า “ขณะนี้ดอนเมืองตกอยู่ในความควบคุมของฝ่ายก่อการจลาจลแล้วตั้งแต่เวลา 4.30 น.” เมื่อโปรยข้อความเสร็จทางรัฐบาลฯ ก็ปล่อยให้เครื่องบินผ่านไปโดยไม่ได้ยิง แต่กระสุนนัดแรกได้ลั่นไกในวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ขณะที่รัฐบาลฯ พยายามยุติการปะทะด้วยการชี้แจงให้เห็นว่าหลักความมุ่งหมาย 6 ประการที่ฝ่ายกบฏใช้อ้างโดยเฉพาะเรื่องคอมมิวนิสต์นั้นทางรัฐบาลยืนยันว่าจะไม่ยอมให้ผู้ใดดำเนินวิธีการแบบคอมมิวนิสต์เป็นอันขาด ส่วนหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ปรีดี พนมยงค์ ก็มั่นคงต่อถ้อยคำ[7]

และยังปรากฏโทรเลขแสดงความเสียพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อการก่อความไม่สงบของพระองค์เจ้าบวรเดชและทรงขอบใจหลวงพิบูลสงครามที่แสดงความจงรักภักดีและทรงแจ้งว่าไม่ต้องส่งกำลังมาเพิ่มเติมในการรักษาพระองค์[8] ในมุมของราษฎรปรากฏว่ามีคณะทหารอาสา คณะนักเรียนกฎหมาย และกรรมกรหลากหลายประเภทส่งจดหมายมาถึงรัฐบาลฯ ว่าเต็มใจที่จะทำการเสียสละพลีชีพเพื่อชาติ เพื่อประเทศ และเพื่อรัฐธรรมนูญ[9]

 

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2476
หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2476

 

กระทั่งในวันถัดมา 14 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ทหารบางส่วนก็เผยความจริงและย้ายข้างโดยแจ้งว่าถูกหลอกว่าให้มาซ้อมรบ[10] ทั้งมีนักบินยศนายสิบที่เริ่มปลีกตัวออกจากฝ่ายกบฏ[11] และมีการให้กักตัวชนชั้นนำบางท่านไว้ในเขตวังโดยยังไม่จับกุม อาทิ พระองค์เจ้าทศศิริวงศ์, พระองค์เจ้าอลงกฎ และพระยาเทพหัสดิน และเริ่มสืบเสาะหาตัวพระยาเสนาสงคราม กับพระยาศราภัยพิพัฒ ส่วนทางการทูตนั้นหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ[12] ที่ปรึกษาฝ่ายไทยของกระทรวงการต่างประเทศได้ทรงเจรจาซ้อมความเข้าใจกับบรรดาทูตตั้งแต่ช่วงแรกของเหตุการณ์[13]

 

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2476
หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2476

 

เหตุการณ์ปะทะดำเนินไปได้เพียง 5 วัน ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2476 รัฐบาลฯ ก็สามารถยึดแนวรบบางเขนคืนได้ ขณะที่ความรุนแรงในช่วง 5 วันที่ผ่านมาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่น ทหารของฝ่ายรัฐบาลยิงฝ่ายกบฏกว่า 40 นัด และมีการยิงต่อสู้กันขนานใหญ่ในระยะนี้ เมื่อการต่อสู้เข้มข้นการไล่ล่าฝ่ายกบฏโดยตั้งรางวัลนำจับจึงเริ่มต้นขึ้น[14]

กระทั่งในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2476 พระองค์เจ้าบวรเดช เริ่มถอยกลับไปยังโคราชแต่ยังไม่ยอมจำนน[15] และในวันถัดมาเริ่มมีข่าวว่าฝ่ายกบฏคล้ายแตกทัพไม่ว่าจะเป็นกรณีพระกล้ากลางสมร ลอบหนีจากพวกกบฏมาจากดอนเมือง มีข่าวว่า หลวงพลหาญสงคราม ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าของฝ่ายกบฏยิงตัวตาย และหลุย คีรีวัต นักหนังสือพิมพ์ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลฯ ถูกจับกุม[16]

 

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2476
หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2476

 

1 สัปดาห์ หลังเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดชทางฝ่ายทหารจากโคราชก็หันกลับมาเข้าข้างรัฐบาลฯ และฝ่ายกบฏเริ่มแตกพ่ายโดยทิ้งอาวุธยุทธภัณฑ์ตลอดจนเครื่องบินไว้จำนวนมาก

 

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2476
หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2476

 

ส่วนการสู้รบในบริเวณหลักสี่ยังสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน และวัดเทวสุนทรที่อยู่ละแวกนั้นต้องกลายเป็นฐานที่มั่นในการสู้รบของฝ่ายกบฏต้องรับทั้งกระสุนปืนใหญ่ กระสุนปืนเล็ก และกระสุนปืนกล ซึ่งจากปากคำของพระสงฆ์สามรูปกล่าวว่า

 

“ทหารพระองค์เจ้าบวรเดช เขาคงคิดจะเอาพระเป็นค่าย ฉันรู้จากเขากระจายเสียงทางวิทยุก่อนเกิดเหตุแล้วว่าให้หนี ก็เตรียมหนี แต่นายทหารชั้นร้อยเอก…บอกไม่ให้หนี ทั้งห้ามไม่ให้เปิดรับวิทยุฟังเสียด้วย…จนกระทั่งลูกปืนใหญ่ทางฝ่ายโน้น (รัฐบาล) มาตกแตกที่วัดหนาขึ้น และพวกทหารปืนกลรุกมาเหนือสถานีบางเขน พวกทหารพระองค์เจ้าบวรเดช ก็ลากปืนกลกรูกันเข้าไปในกุฏิและหอพระชั้นบน เอาปืนกลที่มีอยู่ราวสี่กระบอกตั้งรายตามหน้าต่าง พวกข้างล่างก็ยึดเอากำแพงวิหารเป็นที่กำบังยิงต่อสู้…”[17]

 

ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนเริ่มปรากฏชัดเจนในการสู้รบสัปดาห์ที่ 2 เมื่อคณะพลเรือนที่ร่วมมือในการอภิวัฒน์ 2475 ได้แก่ ซิม วีระไวทยะ, บุญล้อม พึ่งสุนทร[18] และสงวน ตุลารักษ์ เป็นผู้นำพร้อมด้วยคณะและอาสาสมัครจำนวนมากโดยแต่งกายแบบทหารอย่างรัดกุม กล่าวคือ นุ่งกางเกงขายาว สวมเชิ๊ตสีแคชเมียร์ และสวมหมวกแบบทหาร รวมทั้งทางหัวเมืองทางราษฎรชาวโคราชก็รวมกำลังกันมาต้านทานกบฏ โดยรัฐบาลฯ ชี้แจงให้ทหารที่เข้าร่วมกลับใจมาจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเถิดต่อมาทหารในโคราชได้หันมาเข้ากับรัฐบาลในที่สุด[19]

 

ภาพบริเวณดอนเมืองและบางเขนในช่วงท้ายของเหตุการณ์กบบฏบวรเดช หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2476
ภาพบริเวณดอนเมืองและบางเขนในช่วงท้ายของเหตุการณ์กบบฏบวรเดช
หนังสือพิมพ์ประชาชาติ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2476

 

กระทั่งในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2476 มีข่าวว่าหัวหน้าฝ่ายกบฏหลายคนจนมุมที่อำเภอปากช่อง คือ พระยาศรีสิทธิสงคราม และพระยาเทพสงครามกำลังจนมุมและยังคงคุมกำลังตั้งมั่นอยู่ที่หินลับรอยต่อจังหวัดสระบุรี ทั้งพระยาศรีสิทธิสงครามยังได้ส่งโทรเลขไปถึงพระองค์เจ้าบวรเดชว่า “ทหารที่นี่ (หินลับ) เจ็บป่วยและอิดโรยเต็มที ไม่มีกำลังจะสู้รบ ขอให้ส่งทหารมาผลัดใหม่โดยเร็ว”[20]

 

ภาพทหารฝ่ายกบฏที่แตกพ่ายและหนีออกมาถึงแก่งคอย หนังสือพิมพ์ประชาชาติ วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476
ภาพทหารฝ่ายกบฏที่แตกพ่ายและหนีออกมาถึงแก่งคอย
หนังสือพิมพ์ประชาชาติ วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476

 

ช่วงท้ายของเหตุการณ์กบฏบวรเดชก็ดำเนินมาถึงคือวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476 เวลา 9.55 น. ทางฝ่ายรัฐบาลได้ยกทัพเข้าประชิดฐานที่มั่นของฝ่ายกบฏที่หินลับและทับกวาง บนเชิงเขาดงพระยาเย็น จังหวัดสระบุรี แล้วสามารถยึดทับกวางได้ในวันที่ 23 ตุลาคม และถึงหินลับในวันที่ 24 ตุลาคม เป็นอันจบสิ้นการปราบกบฏ

 

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2476
หนังสือพิมพ์ประชาชาติ วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2476

 

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2476
หนังสือพิมพ์ประชาชาติ วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2476

 

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ประชาชาติ ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ได้เปิดเผยข้อมูลใหม่เรื่องการตายของหัวหน้าก่อการกบฏคนสำคัญที่เสียชีวิต ณ สมรภูมิหินลับคือ พระยาศรีสิทธิสงคราม หรือดิ่น ท่าราบ ถือเป็นข่าวครึกโครมเพราะเป็นหนึ่งในแม่ทัพโดยปรากฏตามข่าวว่าถึงแก่ความตายในการตลุมบอนระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลและทหารฝ่ายกบฏ ซึ่งมีรายงานเพิ่มเติมว่าพระยาศรีสิทธิสงคราม ได้ถูกทหารเรือของรัฐบาลยิงถูกที่สะบักตอนหลัง 1 นัด และท้องข้างซ้ายอีก 1 นัด จนล้มลง แต่ได้ชักปืนจะยิงทหารเรือผู้นั้นก่อนจะเหนี่ยวไกกลับมีทหารอีกนายหนึ่งกระโดดเข้าไปแล้วใช้พานท้ายปืนฟาดตรงหน้าผากพระยาศรีสิทธิสงครามจนถึงแก่ความตายในทันที[21]

ส่วนราษฎรทั้งในพระนครและต่างจังหวัดที่แม้ไม่ได้ร่วมรบแต่ก็เอื้อเฟื้อน้ำใจทางอื่น เช่น จำนงค์ ศรีสวัสดิ์ และข้าราชการสังกัดกองสมุหพระนครบาลได้ส่งส้มเขียวหวาน 350 ผลกับกล้วยไข่ 2 ตระกร้า มอบให้แก่ทหารฝ่ายรัฐบาลที่ยังรักษาการอยู่ตามบริเวณต่างๆ และชาวบ้านจังหวัดราชบุรี เช่น ขุนพรรคพานิช, ขุนช่วงบุระการ, กิมเส็ง สินธุเสก และนางง้อ บวรนายก ได้บอกบุญเรี่ยไรเงิน มอบบุหรี่ และแสดงน้ำใจเป็นฝ่ายรัฐบาลด้วยการทำอาหารเลี้ยงแก่ทหาร ตำรวจ และลูกเสือโดยมิได้เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย[22] จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในหน้าหนังสือพิมพ์ประชาชาติแสดงถึงชัยชนะของระบอบใหม่ คือ ระบอบรัฐธรรมนูญของคณะราษฎรและยังเห็นความร่วมมือร่วมใจของราษฎร ข้าราชการ ชนชั้นนำทั้งในพระนครและต่างจังหวัดสนับสนุนการปราบปรามกบฏบวรเดชในครั้งนี้อย่างท่วมท้น

 

ศาลพิเศษ พ.ศ. 2476

รัฐบาลของคณะราษฎรยังคงประสบชัยชนะอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากชัยชนะในการปราบกบฏบวรเดชแล้วยังคุมเกมและมีชัยชนะในทางกฎหมาย คือ การก่อตั้งศาลพิเศษ พ.ศ. 2476 เพื่อพิจารณาคดีแก่ผู้ก่อการกบฏ หากกำเนิดของศาลพิเศษนี้มีความพิเศษสมชื่อ เพราะเริ่มต้นขึ้นก่อนการสิ้นสุดของเหตุการณ์กบฏ โดยเริ่มก่อตั้งในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ที่ประชุมฯ สรุปว่าควรออกพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษขึ้นเพื่อชำระคดีกบฏบวรเดช ต่อมาภายหลังการปราบกบฏเสร็จสิ้นได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ครั้งนี้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ปรีดี พนมยงค์ เสนอต่อที่ประชุมฯ ว่า

 

“เจ้ากรมพระธรรมนูญกับพระยานิติศาสตร์ไพศาล เห็นพ้องกันว่าควรตั้งศาลพิเศษสำหรับพิจารณาคดีในการกบฏคราวนี้ เพราะศาลพิเศษจะพิจารณาและพิพากษาคดีที่กระทำผิดได้ทั้งในและนอกเขต ที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก”

 

พระยานิติศาสตร์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษมาเสนอ[23] ต่อมาจึงมีการประกาศพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษ พ.ศ. 2476 ในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2476[24] การเดินเกมจัดตั้งศาลพิเศษของฝ่ายรัฐบาลคณะราษฎรนี้มีเป้าหมายเพื่อให้จัดการกลุ่มกบฏได้อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด และฉับไว ส่วนในมุมของผู้ต้องคดีกบฏมองว่ามีอำนาจรัฐอยู่เหนือขั้นตอนของการพิจารณาโดยเฉพาะการตัดสินพิพากษาคดีมีปัจจัยสำคัญที่ต้องขึ้นตรงต่อพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี จนนำไปสู่การที่จำเลยหลายรายเขียนจดหมายถึงพระยาพหลฯ โดยตรง[25]

จำเลยที่ถูกฟ้องต่อศาลพิเศษ พ.ศ. 2476 มีทั้งหมด 318 คน มีสำนวนฟ้อง 45 สำนวน ส่วนปูมหลังของจำเลยในคดีกบฏบวรเดชนั้นนอกจากเป็นคณะผู้ก่อการที่ส่วนใหญ่รับราชการทหารและในกรมต่างๆ แล้วยังมีการวิเคราะห์ว่าเชื่อมโยงทางการเมืองเพราะจับกุมทั้งกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งคณะชาติและนักหนังสือพิมพ์ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลด้วย ส่วนผู้ต้องหาสำคัญที่ลี้ภัยไปยังอินโดจีนมีจำนวน 13 คน อาทิ พระองค์เจ้าบวรเดช, พระยาเทพสงคราม, พระยาเสนาสงคราม, พระปัจจนึกพินาศ และหลวงโหมรอนราญ เป็นต้น[26] ท้ายที่สุดศาลพิเศษได้พิจารณาพิพากษาคดีจำเลย รวม 296 คน ถูกตัดสินประหารชีวิตจำนวน 6 คน ถูกพิพากษาจำคุก 6 เดือนถึงตลอดชีวิต จำนวน 244 คน และศาลพิพากษาให้ปล่อยตัวจำนวน 46 คน[27]

 

เมรุปราบกบฏ ณ ท้องสนามหลวง

ชัยชนะที่สามของรัฐบาลคณะราษฎร คือ ชัยชนะทางวัฒนธรรมจากการขอพระราชทานท้องที่สนามหลวงด้านอนุสาวรีย์ทหารเป็นที่ปลงศพทหารที่เสียชีวิตในการปราบกบฏจำนวน 17 นาย โดยรัฐบาลฯ ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา​แล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชกระแสว่า ถ้ารัฐบาลมีความประสงค์จะทำการนี้ที่ท้องสนามหลวงก็ทรงไม่ขัดข้อง[28]

ต่อเรื่องนี้ ชาตรี ประกิตนนทการ เสนอว่า ความคิดเรื่องการใช้สนามหลวงเป็นพื้นที่ปลงศพทหารและตำรวจถือเป็นเรื่องใหญ่และเสมือนเป็นการเมืองเรื่องพื้นที่ เพราะเดิมสนามหลวงเป็นดังพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความหมายพิเศษ เดิมเรียกกันว่า ทุ่งพระเมรุ เพราะเป็นพื้นที่ที่ใช้ปลูกสร้างพระเมรุมาศในงานพระบรมศพของกษัตริย์และเจ้านายระดับสูงเท่านั้น[29] ดังนั้น การใช้ท้องสนามหลวงเพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลและพระราชทานเพลิงศพผู้วายชนม์ในการปราบกบฏ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์​ พุทธศักราช​ 2476[30] จึงเป็น เมรุสามัญชนกลางท้องสนามหลวงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย

 

หนังสือยุทธโกศ พ.ศ. 2479 : (เปิด) พื้นที่ความทรงจำและพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ

การตอกย้ำว่าคณะราษฎรมีอำนาจทางการเมืองสูงในช่วง 5 ปีแรกของการอภิวัฒน์ 2475 และภายหลังการปราบกบฏบวรเดช คือ การสร้างอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจขึ้นโดยริเริ่มจากการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อขยายและตัดถนนเชื่อมคมนาคมกรุงเทพพระมหานครกับดอนเมือง และเพื่อสร้างอนุสสาวรีย์ทหารปราบกบฏ พุทธศักราช 2476 และได้พื้นที่ในการจัดสร้างอนุสาวรีย์ที่บริเวณตำบลหลักสี่ เนื่องจากนายทหารส่วนใหญ่ได้เสียชีวิตลงที่นี่และมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ว่า “อนุสาวรีย์ 17 ทหารและตำรวจ”[31]

 

แผนที่ประเมินแนวถนนจากกรุงเทพไปดอนเมืองเพื่อเตรียมสร้างอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ
แผนที่ประเมินแนวถนนจากกรุงเทพไปดอนเมืองเพื่อเตรียมสร้างอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ

 

กระทั่งสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติให้มีการตัดถนนและสร้างอนุสาวรีย์ทหารปราบกบฏ โดยมอบให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างถนนโดยแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2477 และมอบหมายให้หลวงนฤมิตรเรขการเป็นผู้ออกแบบอนุสาวรีย์สำหรับบรรจุอัฐิทหารและตำรวจที่เสียชีวิตจากการปราบกบฏบวรเดชโดยมีสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับระบอบรัฐธรรมนูญ

ส่วนฝั่งผนังด้านหน้าของอนุสาวรีย์ (ทางทิศตะวันตก) มีการจารึกชื่อทหารและตำรวจที่เสียชีวิตจำนวน 17 นาย ได้แก่

  1. นายพันโท หลวงอำนวยสงคราม (ถม เกษะโกมล)
  2. นายร้อยเอก ขุนศุกรนาคเสนีย์ (เจือ สุกรนาค)
  3. นายร้อยโท น่วม ทองจรรยา
  4. นายดาบ ละมัย แก้วนิมิต
  5. นายดาบ สมบุญ บัวชม
  6. จ่านายสิบ หล่อ วงศ์พราหมณ์
  7. จ่านายสิบ แฉล้ม ศักดิ์ศิริ
  8. นายสิบเอก ชั้ว เผือกทุ่งใหญ่
  9. นายสิบเอก ทองอิน เผือกผาสุข
  10. นายสิบเอก เช้า สุขสวย
  11. นายสิบเอก พัน ยังสว่าง
  12. นายสิบเอก จัน ศุขเนตร
  13. นายสิบเอก บุญช่วย สุมาลย์มาศ
  14. นายสิบเอก ดา ทูคำมี
  15. นายสิบเอก หลิม เงินเจริญ
  16. นายร้อยตำรวจเอก ขุนประดิษฐสกลการ (ไปล่ จันทประดิษฐ) และ
  17. นายร้อยตำรวจตรี ทอง แก่นอบเชย

 

ภาพหนังสือที่ระลึกในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2479
ภาพหนังสือที่ระลึกในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2479

 

นอกจากหลวงนฤมิตรฯ จะเป็นผู้ออกแบบอนุสาวรีย์ฯ และควบคุมการก่อสร้างแล้วในวันเปิดอนุสาวรีย์ฯ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2479 ที่มีพิธีบรรจุอัฐิทหารและตำรวจ ทางหลวงนฤมิตรฯ ยังเป็นผู้รับอัฐิเข้าตั้งบนแท่นภายในอนุสาวรีย์ ตลอดจนเป็นผู้ปิดแผ่นประตูทองแดงของอนุสาวรีย์ฯ จนแล้วเสร็จการฉลองพิธีเปิดฯ อีกด้วย[32] ทั้งนี้ผู้เขียนขอชวนย้อนเวลากลับไปยังงานพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหารและตำรวจ จากการรายงานในหนังสือยุทธโกศ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479 ซึ่งเป็นหนังสือการทหารเล่มสำคัญที่ระบุข่าวการทหาร สถานการณ์การเคลื่อนไหวทางสังคม และวิชาการทางทหารที่เผยแพร่นับตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนถึงสมัยคณะราษฎร

ภายหลังเหตุการณ์ปราบกบฏบวรเดชแล้วได้มีการนำอัฐิของ 17 ทหารผู้เสียชีวิตบรรจุลงในโกศลูกปืนแล้วเก็บไว้ที่ห้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจนกระทั่งมีการสร้างอนุสาวรีย์ฯ แล้วเสร็จจึงมีการเชิญอัฐิ 17 ทหารและตำรวจมาบรรจุไว้ โดยพิธีการเริ่มต้นเชิญอัฐิออกมาตั้งที่ห้องโถงของกระทรวงกลางโหมในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2479 และในวันรุ่งขึ้นเวลา 11.00 น. ของวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2479 มีการสวดบังสกุล ครั้นในเวลา 14.00 น. จึงได้เชิญอัฐิของ 17 ทหารและตำรวจขึ้นไปบนรถยนต์ในการสงครามเพื่อเคลื่อนจากกระทรวงกลาโหมไปยังอนุสาวรีย์ฯ บริเวณถนนหลักสี่

 

หนังสือยุทธโกษ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479
หนังสือยุทธโกศ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479

 

หนังสือยุทธโกศ เขียนถึงเหตุการณ์วันนั้นไว้อย่างมีชีวิตชีวาโดยผู้เขียนขอคงตัวสะกดและวรรคตอนตามต้นฉบับไว้ดังนี้

 

“ขะบวนถึงอนุสสาวรีย์ เวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา ๔๐ นาฑี มีประชาชนชุมนุมชมขะบวนแห่คับคั่งตลอดทาง ทั้งทางบกและทางน้ำ โดยความนิยมชมชื่นในเกียรติยศของผู้เสียชีวิต…ครั้นขะบวนถึงที่สุดลงแล้ว กองทหารเกียรติยศซึ่งตั้งประจำอยู่ณะที่นั้น ทำความเคารพ ผู้เชิญๆ อัฏฐิเข้าบรรจุในอนุสสาวรีย์ พระสงฆ์เริ่มชักบังสกุล

ขะบวนเคลื่อนเลยไปปรับรูปใหม่เสร็จแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจึ่งได้รายงานกราบทูลการเปิดอนุสสาวรีย์ และประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ดำรัสตอบแล้วทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรไตรรงค์คลุมอนุสสาวรีย์…”

 

ภาพของพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ ในหนังสือยุทธโกษ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479

 

ภาพของพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ ในหนังสือยุทธโกษ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479

 

ภาพของพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ ในหนังสือยุทธโกษ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479

 

ภาพของพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ ในหนังสือยุทธโกษ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479
ภาพของพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ ในหนังสือยุทธโกศ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479

 

และที่หัวท้ายของธงไตรรงค์ยังมีลูกลอยผูกติดเพื่อพาให้ธงฯ ทั้งผืนลอยขึ้นสู่อากาศอย่างช้าๆ เสมือนเป็นการนำวิญญาณของ 17 ผู้กล้าสู่เบื้องบน โดยขั้นตอนสุดท้ายได้มีการวางพวงมาลาจากทั้งส่วนพระองค์ ส่วนรัฐบาล หน่วยงานทหาร ข้าราชการ และพ่อค้าคหบดี เมื่อวางพวงมาลาแล้วเสร็จก็มีมหรสพและจุดดอกไม้เพลิงรวมทั้งการแสดงฉลอง นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินจำนวนมากวนมาบินเพื่อโปรยข้าวตอกดอกไม้ผ่านอนุสาวรีย์จนเสร็จงาน

 

ภาพของพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ ในหนังสือยุทธโกษ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479
ภาพของพิธีเปิดอนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ ในหนังสือยุทธโกศ ฉบับ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479

 

ภายในงานยังมีการกราบทูลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คือ หลวงพิบูลสงคราม หรือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมีนัยสำคัญถึงความสามัคคีว่าอนุสาวรีย์นี้เป็นเครื่องเตือนสติและเตือนใจชาวไทยว่าอย่าแตกความสามัคคีกัน และพระราชดำรัสตอบของประธานคณะฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ก็ทรงดำรัสสอดรับกันว่า ให้เราทั้งหลายจงมั่นอยู่ในความกลมเกลียวปรองดองร่วมความสามัคคี รวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อหวังให้ประเทศชาติบ้านเมืองของเราเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นสืบไป

อนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ จึงเป็นเครื่องระลึกเตือนใจ 3 ประการ คือ

  1. เตือนความสลดใจอันสุดซึ้งของคนไทย ให้อยู่ในความสามัคคี มีความเห็นทำนองเดียวกันในกาลอนาคต
  2. เตือนความปลอดภัยของประเทศชาติ ซึ่งได้รับความสงบสุขต่อมาจนบัดนี้ ด้วยความเสียสละของผู้มีหน้าที่ป้องกันความหายนะเสื่อมโทรมของประเทศชาติ อันเกิดจากผู้ก่อการจลาจลวุ่นวาย
  3. เตือนความเชิดชูในเกียรติยศเกียรติศักดิ์ของ 17 ทหารและตำรวจผู้พลีชีพให้เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ซึ่งทหาร-ตำรวจ และมหาชนผู้อยู่ข้างหลังจะไม่มีเวลาละลืมเสียได้เลย[33]

ณ ปัจจุบันเมื่ออนุสาวรีย์ 17 ทหาร-ตำรวจ หรืออนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงการปราบกบฏบวรเดชได้หายไป หากพิจารณาการก่อเกิดที่มีนัยความหมายและสัญลักษณ์เพื่อเป็นบทเรียนให้เกิดความสามัคคีและตระหนักถึงการดำรงไว้ซึ่งระบอบรัฐธรรมนูญแล้ว การล่องหนไปจากวงเวียนหลักสี่จึงน่าขบคิดว่าความสามัคคีและแนวทางประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญยังคงอยู่หรือได้ถูกรื้อถอนไปพร้อมกันเสียแล้ว

หมายเหตุ หนังสือยุทธโกศ ในบทควานี้ใช้ตัวสะกด ศ ตามหน้าปกซึ่งเป็นเอกสารชั้นต้น คือ ฉบับประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479

ที่มาของภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ราชกิจจานุเบกษา หนังสือพิมพ์ประชาชาติ ยุทธโกศ และเพจประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยาม

 

บรรณานุกรม

เอกสารชั้นต้น :

  • ราชกิจจานุเบกษา. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษ พุทธศักราช 2476. ประกาศ ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2476 เล่ม 50, น. 624-626.
  • ราชกิจจานุเบกษา. พระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อขยายและตัดถนนเชื่อมคมนาคมกรุงเทพพระมหานครกับดอนเมือง และเพื่อสร้างอนุสสาวรีย์ทหารปราบกบฏ พุทธศักราช 2476. ประกาศ ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2476 เล่ม 50, น. 950-960. 
  • ราชกิจจานุเบกษา. แจ้งความ เรื่อง ตั้งกรรมาธิการพิจารณาบำเหน็จความชอบในการปราบกบฏใหม่. ประกาศ ณ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 เล่ม 51, น. 44-45.
  • สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร 0201.1/5 กล่อง 5. การตรวจสอบโทรเลข โทรศัพท์ในระหว่างการมีกบฏ [12 ต.ค. 2476-5 ม.ค. 2476]
  • สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร 0201.1/7 กล่อง 5. หนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ลงข่าวการกบฏและนักโทษการเมืองของสยาม [14 ต.ค. 2476-5 ม.ค. 2476]
  • สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร 0201.1.1/1. คำขอหรือคำขาดและคำแถลงการณ์หรือใบปลิวของพวกกบฏ [11-26 ต.ค. 2476]
  • สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร 0201.1/8. เบ็ดเตล็ด​ (ให้หลวงไพรีนำทหารอุดร​ รุกพวกกบฏ​ ฯลฯ)​ [15​ ต.ค.-10 ก.พ.​ 2476]
  • สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร 0201.1.3/19. ใบคู่มือปราบกบฏ ​[13 ธ.ค.-17 ก.พ.​ 2476]
  • สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร 0201.26/6. เรื่อง การศพทหารและตำรวจที่ต้องเสียชีวิตต์เนื่องในการปราบกบฏ [พ.ศ. 2476]   ​
  • สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร 0201.26/7 เรื่อง บริจาคเงินและของช่วยในการศพทหารและตำรวจที่ต้องเสียชีวิตเนื่องในการปราบกบฏ [พ.ศ. 2476-2477]

หนังสือพิมพ์และนิตยสาร :

  • ประชาชาติ 18-26 ตุลาคม 2476
  • “พิธีบรรจุอัฏฐิสิบเจ็ดทหาร-ตำรวจ,” ยุทธโกศ 2, 5 (พฤศจิกายน 2479): น. 129-140.

หนังสืออนุสรณ์งานศพ :

  • อนุสรณ์งานศพพิมพ์เพื่อบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2497. พระนคร : ไทยหัตถการพิมพ์, 2497.
  • อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันตำรวจโท หลวงโหมรอนราญ (ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) ณ เมรุวัดตรีทศเทพ วันเสาร์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2520. กรุงเทพฯ: บุญส่งการพิมพ์, 2520.

 หนังสือภาษาไทย :

  • คณะกรมอากาศยาน, กองบินช่วยทำการปราบกบฏระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม ถึง 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476, (พระนคร : วัฒนะผล, 2476)
  • คณะบรรณาธิการ, แม่ทัพบวรเดช. (กรุงเทพฯ: จิรวรรณนุสรณ์, 2527)
  • จรูญ กุวานนท์, เลือดหยดแรกของประชาธิปไตย, (พระนคร : สหกิจ, 2493)
  • ชาตรี ประกิตนนทการ, ศิลปะ-สถาปัตยกรรมคณะราษฎร สัญลักษณ์ทางการเมืองในเชิงอุดมการณ์ พิมพ์ครั้งที่ 2, ฉบับปรับปรุง, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2563)
  • ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์. บรรณาธิการ, สมุดภาพพระยาพหลพลพยุหเสนา ภาค 2 : ปราบกบฏ พ.ศ. 2476, (กรุงเทพฯ: ต้นฉบับ, 2558)
  • ณเพ็ชรภูมิ, กำศรวลพระยาศรีฯ, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2539)
  • ณัฐพล ใจจริง, กบฏบวรเดช เบื้องแรกปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม 2475, (กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2559)
  • ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ราษฎรธิปไตย การเมือง อำนาจ และทรงจำของ(คณะ)ราษฎร, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2562)
  • สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: พี.เพรส., 2551)

บทความในหนังสือ :

  • นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, “กบฏบวรเดช : การเมืองของประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ของการเมือง,” วารสารธรรมศาสตร์ 13, 1 (มีนาคม 2527) : 92-118.

วิทยานิพนธ์ :

  • นิคม จารุมณี. กบฏบวรเดช พ.ศ. 2476. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2519.
  • ภูธร ภูมะธน. ศาลพิเศษ พ.ศ. 2476 พ.ศ. 2478 และ พ.ศ. 2481. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2521.

สื่ออิเล็กทรอนิกส์ :


[1] การนับวัน เวลา และพุทธศักราชในบทความนี้เป็นการนับตามปฏิทินเดิมก่อนมีประกาศให้วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่ ณ วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2483

[2] ฝ่ายรัฐบาลคณะราษฎรเรียกว่า กบฏ ส่วนฝ่ายผู้ก่อการเรียกกลุ่มตนเองว่า คณะกู้บ้านกู้เมือง

[3] “พิธีบรรจุอัฏฐิสิบเจ็ดทหาร-ตำรวจ,” ยุทธโกศ 2, 5 (พฤศจิกายน 2479): น. 129-130.

[4] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: พี.เพรส., 2551), น. 37.

[5] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: พี.เพรส., 2551), น. 37.

[6] ประชาชาติ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 2.

[7] ประชาชาติ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 1-3.

[8] ประชาชาติ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 31.

[9] ประชาชาติ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 4.

[10] ประชาชาติ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 1.

[11] คณะกรมอากาศยาน, กองบินช่วยทำการปราบกบฏระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม ถึง 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476, (พระนคร : วัฒนะผล, 2476)

[12] พระอิสริยยศ ณ เวลานั้น

[13] ประชาชาติ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 36.

[14] ประชาชาติ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 1-5.

[15] ประชาชาติ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 5.

[16] ประชาชาติ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 27.

[17] ประชาชาติ18 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 1-2.

[18] ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นปราโมทย์ พึ่งสุนทร เนื่องจากท่านเป็นลูกศิษย์ที่เคารพรักปรีดี พนมยงค์ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นปราโมทย์ เพื่อให้สอดรับกับความหมายของชื่อปรีดี

[19] ประชาชาติ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 3, 28.

[20] ประชาชาติ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 27.

[21] ประชาชาติ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 27.

[22] ประชาชาติ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476, น. 25.

[23] ภูธร ภูมะธน. ศาลพิเศษ พ.ศ. 2476 พ.ศ. 2478 และ พ.ศ. 2481. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2521. น. 101-102.

[24] ราชกิจจานุเบกษา. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษ พุทธศักราช 2476. ประกาศ ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2476 เล่ม 50, น. 624-626.

[25] ภูธร ภูมะธน. ศาลพิเศษ พ.ศ. 2476 พ.ศ. 2478 และ พ.ศ. 2481. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2521. น. 107-109

[26] เรื่องเดียวกัน, น. 114-119.

[27] เรื่องเดียวกัน, น. 150.

[28] สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร 0201.26/6. เรื่อง การศพทหารและตำรวจที่ต้องเสียชีวิตต์เนื่องในการปราบกบฏ [พ.ศ. 2476]  

[29] ชาตรี ประกิตนนทการ, ศิลปะ-สถาปัตยกรรมคณะราษฎร สัญลักษณ์ทางการเมืองในเชิงอุดมการณ์ พิมพ์ครั้งที่ 2, ฉบับปรับปรุง, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2563), น. 97.

[30] สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร 0201.26/6. เรื่อง การศพทหารและตำรวจที่ต้องเสียชีวิตต์เนื่องในการปราบกบฏ [พ.ศ. 2476]  

[31] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, ราษฎรธิปไตย การเมือง อำนาจ และทรงจำของ(คณะ)ราษฎร, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2562), น. 225.

[32] เรื่องเดียวกัน, น. 231-236.  

[33] “พิธีบรรจุอัฏฐิสิบเจ็ดทหาร-ตำรวจ,” ยุทธโกศ 2, 5 (พฤศจิกายน 2479): น. 129-140.