ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 13 : ความพยายามติดต่อทางการเมืองกับอังกฤษ

4
มิถุนายน
2568

ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485

 

แม้การปฏิบัติงานด้านต่อต้านญี่ปุ่นจะค่อย ๆ แจ่มใสขึ้น แต่ปัญหาสำคัญที่ฝ่ายไทยยังคงหวาดเกรงอยู่อย่างสุดซึ้ง มิใช่อยู่ที่ทำอย่างไรจึงจะหาทางส่งบุคคลชั้นผู้นำของขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศออกไปปฏิบัติการนอกประเทศไทย แต่อยู่ที่ท่าทีของอังกฤษซึ่งยังยืนหยัดอยู่ตลอดเวลาว่า ไทยเป็นศัตรู เพราะไทยกล้าบ้าบิ่นไปประกาศสงครามกับจักรวรรดิบริติชเข้า ไทยพึงรับโทษทัณฑ์ตามควรแก่กรณี และแม้เพื่อนพันธมิตรที่มีบุญคุณแก่อังกฤษเหลือคณนาอย่างสหรัฐอเมริกา จะวิงวอนพรํ่าร้องขอความเห็นอกเห็นใจสักเพียงใด อังกฤษก็ยังไม่นำพาลดหย่อนผ่อนปรนเลย และคาดคั้นจะถือเอาผลประโยชน์ทั้งทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจจากประเทศไทยให้มากที่สุด

ในการแก้ภาพลักษณ์อันผิดพลาดคลาดเคลื่อนในทัศนะของอังกฤษนั้น คณะต่อต้านญี่ปุ่นตระหนักดีว่า จะต้องเพิ่มความช่วยเหลือร่วมมืออย่างลับ ๆ ให้แก่ฝ่ายสหประชาชาติ โดยไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน แต่การให้ข่าวสารทางวิทยุเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองกำลังทหารญี่ปุ่น การบ่อนทำลายกำลังทหารญี่ปุ่น แม้จะเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายอย่างสูงก็ยังไม่เพียงพอ ไม่มีทางที่โลกภายนอกจะทราบได้ นอกจากเจ้าหน้าที่ของอังกฤษและสหรัฐฯ ผู้ร่วมงานด้วยโดยตรงเท่านั้น เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการแสดงออกให้ปรากฏแก่สายตาโลกภายนอกว่า ไทยร่วมมือกับสหประชาชาติอย่างจริงจัง

 


The first concrete step toward the creation of a general international organization was taken in the late summer of 1944, when the Dumbarton Oaks Conversations took place. The first phase of the conversations was between the representatives of the U.S.S.R., the United Kingdom and the United States from August 21 to September 28, and the second phase between the representatives of China, the United Kingdom and the United States from September 29 to October 7. As a result of these conversations, the four powers reached a number of agreements which were embodied in the Dumbarton Oaks Proposals.
ที่มา: united nations

 

วิธีที่ดีที่สุดได้แก่ การจัดตั้งรัฐบาลหรือคณะกรรมการขึ้นแทนที่เสรีไทยกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีแต่ทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน เป็นหัวหน้า เป็นความดำริของท่านปรีดีมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ดังจะเห็นได้จากการที่ได้ส่งผู้แทนคณะแล้วคณะเล่าออกไปทางประเทศจีนและประเทศอินเดียเพื่อทำความเข้าใจกับฝ่ายสหประชาชาติ แต่ก็ไม่สู้จะได้ผลนัก ส่งไปแล้วก็เงียบ เมื่อเดือนกันยายน ๒๔๘๗ ท่านปรีดียังได้ส่งคณะคุณถวิล อุดล ผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด ออกไปจุงกิงอีกคณะหนึ่ง เพื่อทำการติดต่อกับฝ่ายสหประชาชาติโดยอาศัยทางจอมพล เจียงไคเช็ค กว่าจะเดินทางถึงจุงกิงก็ตกเดือนธันวาคมเข้าไปแล้ว ท่านปรีดีได้มอบหนังสือลงวันที่ ๙ กันยายน ถึงจอมพล

เจียงไคเช็ค ขอความสนับสนุนในการจัดตั้งคณะรัฐบาลไทยชั่วคราวหรือองค์การอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกันขึ้นในดินแดนของสัมพันธมิตร เพื่อเป็นทางปลุกระดมประชาชนชาวไทยให้ลุกขึ้นสลัดแอกของญี่ปุ่น ภายในประเทศไทยจะทำการเช่นนั้นไม่ได้ เพราะญี่ปุ่นเฝ้าควบคุมอยู่โดยใกล้ชิด หากไม่มีการเริ่มต้นเตรียมไว้ก่อน ก็ยากที่ประชาชนชาวไทยจะลุกขึ้นจับอาวุธต่อสู้ญี่ปุ่นร่วมมือกับสัมพันธมิตรได้ ถ้าประเทศไทยสามารถขับสู้กับญี่ปุ่นแล้ว ก็จะตัดสงครามให้สั้นลงและลดความเสียหายและค่าใช้จ่ายอันมหึมาของฝ่ายสัมพันธมิตร

คณะคุณถวิลติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนแล้วก็เงียบไปอีก ทราบต่อมาตามหลักฐานของฝ่ายอังกฤษว่า เมื่อจีนแจ้งให้เอกอัครราชทูตอังกฤษทราบ ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษสั่งทูตเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๔๘๘ ให้เตือนรัฐบาลจีนให้ระมัดระวังในการติดต่อกับผู้แทนที่ออกไปจากประเทศไทย ต้องสอบให้แน่ชัดว่า เป็นผู้แทนขบวนการต่อต้านจริง มิใช่สายของญี่ปุ่น และก่อนที่จะทำการผูกมัดอย่างใดทางการเมืองกับคณะผู้แทนนั้น ควรปรึกษาหารือกับฝ่ายอังกฤษและอเมริกาเสียก่อน ฝ่ายจีนจึงมิได้แจ้งความเคลื่อนไหวของคณะคุณถวิลต่อไป จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ฝ่ายจีนได้ให้สำเนาหนังสือลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๘๗ ของท่านปรีดีแก่เอกอัครราชทูตอังกฤษ ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษสั่งการเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ห้ามมิให้ทูตไปพบกับคุณถวิลตามที่จีนเสนอ โดยอ้างว่าไทยส่งคณะคุณดิเรก ชัยนาม ออกไปติดต่อทางแคนดีในเดือนกุมภาพันธ์แล้ว อังกฤษมิได้แจ้งให้จีนทราบ เนื่องจากเกรงข่าวจะรั่วไหลล่วงรู้ไปถึงญี่ปุ่น เช่น กรณีคณะคุณถวิลอีก

 


ดิเรก ชัยนาม

 

เกี่ยวกับคณะคุณดิเรก ชัยนาม ออกไปแคนดี ข้อเท็จจริงที่ว่า ตั้งแต่ปลายปี ๒๔๘๗ เดือนธันวาคม กองบัญชาการทหารสูงสุดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่งสาส์นมาถึงท่านปรีดีว่า ขอให้ส่งคณะผู้แทนทางทหารออกไปเมืองแคนดี เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องความร่วมมือระหว่างไทยกับฝ่ายสหประชาชาติให้กระชับเป็นกิจจะลักษณะยิ่งขึ้น คณะต่อต้านญี่ปุ่นปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ควรจะถือโอกาสให้ได้มีการพูดจาเรื่องการเมืองกับฝ่ายอังกฤษด้วย จึงได้ให้ตอบไปว่า จะส่งคณะผู้แทนทางทหารและการเมืองออกไปตามที่เขาต้องการ ทางกองบัญชาการทหารสูงสุดของสหประชาชาติตอบตามคำสั่งของลอนดอนทีเดียวว่า ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ไม่สามารถจะเจรจาการเมืองกับฝ่ายไทยได้ ขอให้จำกัดเฉพาะเรื่องทหารเท่านั้น ท่านปรีดีจึงจำต้องตอบตกลงไป และได้มอบให้คุณดิเรก ชัยนาม เป็นหัวหน้าคณะออกไปพร้อมกับพลโท หลวงชาตินักรบ เสนาธิการทหารบก และคุณถนัด คอมันตร์ ตอนนั้นคุณดิเรกพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว เมื่อคุณควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๘๗ มีพระยาศรีเสนาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแทน คุณดิเรกจึงสามารถปลีกตัวมาปฏิบัติงานต่อต้านญี่ปุ่นได้เต็มที

คณะของคุณดิเรกออกจากกรุงเทพฯ ตรงไปจังหวัดสมุทรสาคร แล้วจับเรือไปบริเวณเกาะตะรุเตา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตกลงกันไว้ก่อนว่าจะมีเครื่องบินทะเลมารับไปเมืองกัลกาต้า จากนั้นบินต่อผ่านทริงโกมาลีไปเมืองแคนดีบนเกาะลังกาเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ คณะคุณดิเรกไม่ได้รับโอกาสให้เข้าพบลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพียงได้พบพลตรี แม็กเคนซี หัวหน้า เอส.โอ.อี. ปรึกษาหารือกันในเรื่องความร่วมมือทางทหารโดยเฉพาะ ในฐานะที่คุณดิเรกเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยมาหลายต่อหลายครั้ง การที่ลอร์ดหลุยส์ไม่ยอมพบ เนื่องจากหลักการอันแข็งกร้าวของอังกฤษที่ถือไทยเป็นศัตรู นับเป็นการลบหลู่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ไทยพอสมควร

อังกฤษต้องการทราบกำลังทหารแน่นอนของไทย และของญี่ปุ่นในประเทศไทย เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการยุทธต่อไป ฝ่ายเราได้ให้ข้อเท็จจริงและตัวเลขต่าง ๆ ที่เขาต้องการทราบ และได้แจ้งความต้องการของฝ่ายไทยให้เขาทราบ เสร็จสิ้นแล้ว นายเดนิ่ง ที่ปรึกษาการเมืองของลอร์ดหลุยส์ เชิญคณะคุณดิเรกไปพบเพื่อสนทนาเรื่องการเมืองเมื่อเช้าวันที่ ๒๖ คุณดิเรกให้ตอบไปว่า คณะได้รับเชิญมาให้พูดเรื่องการทหารเท่านั้น จึงไม่อยากจะพูดเรื่องการเมือง นายเดนิ่งยืนยันขอพบให้ได้สำหรับตอนนี้ คุณดิเรกได้เขียนบันทึกสรุปการสนทนาไว้ว่า นายเดนิ่งถามว่า ภายหลังสงครามแล้วประเทศไทยจะมีท่าทีอย่างใด คุณดิเรกชี้แจงว่า ความจริงเจตนาของประชาชนชาวไทยซึ่งแสดงออกทางสภาผู้แทนราษฎร ไม่อยากร่วมรบร่วมรับกับญี่ปุ่น แต่เมื่อญี่ปุ่นเข้ามาเต็มเมือง ไทยเราเล็กนิดเดียวจะทำอะไรได้ ขอให้เห็นใจไทย อังกฤษจะเดินนโยบายดีมากถ้าจะประกาศว่า อังกฤษจะเคารพเอกราชและอธิปไตยของไทยทุกประการ เพราะรู้ว่าการที่ไทยร่วมมือกับญี่ปุ่นก็ด้วยความจำเป็น รัฐบาลไทยกำลังเตรียมเล่นงานญี่ปุ่นอยู่แล้ว และจะนิยมตระหนักในบุญคุณอังกฤษมาก นายเดนิ่งขอรับไปตรึกตรอง เพราะประชาชนอังกฤษไม่คิดเลยว่า ไทยจะไปประกาศสงครามกับอังกฤษ ทั้งข่าววิทยุก็ด่าเต็มที่ รวมถึงราชวงศ์ก็ไม่ปรานี ส่วนเหตุการณ์ภายในจริงเท็จเพียงใดประชาชนอังกฤษไม่ทราบ คุณดิเรกแก้ว่า จะทำอย่างไรได้ ขืนพูดตรงออกมาให้โลกรู้ ญี่ปุ่นก็คงจะจัดการกับไทย ไม่ทันจะได้ช่วยสัมพันธมิตร ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุด อังกฤษรีบประกาศเสีย นายเดนิ่งตอบว่า วิธีของอังกฤษนั้นทำไม่ได้ เพราะเป็นประชาธิปไตย ราษฎรไม่รู้เรื่อง จู่ ๆ รัฐบาลไปประกาศเข้า ประชาชนเล่นงานแย่ เพราะไม่ทราบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ดี การแสดงความร่วมมืออย่างนี้ก็เป็นการแสดงส่วนหนึ่งแล้ว ผลแห่งการเจรจากันทางการเมืองไม่มีข้อผูกพันประการใด แต่เป็นขั้นหนึ่งที่แสดงให้อังกฤษพอใจว่า ไทยร่วมมือจริง

คณะคุณดิเรกอยู่ในเมืองแคนดีประมาณหนึ่งสัปดาห์ จึงเดินทางกลับประเทศไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับคำขออาวุธของคุณดิเรก ชัยนาม ข้าพเจ้าได้อ่านแฟ้มของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ พบบันทึกเจ้าหน้าที่ฉบับหนึ่งลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๘ มีข้อความว่า “เท่าที่ทราบคนไทยมิใช่ชาติชอบสงคราม ฉะนั้น จึงไม่ควรจะมอบอาวุธให้มากนัก”

สำหรับการพบปะระหว่างคณะผู้แทนไทยกับนายเดนิ่งเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ นายเดนิ่งได้มีโทรเลขรายงานให้กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษทราบ มีใจความสำคัญว่า นายเดนิ่งได้ไปพบคุณดิเรก ชัยนาม และคณะที่บ้านพักบังกะโลที่ทางการอังกฤษจัดให้ นายเดนิ่งถามถึงความประสงค์ของคุณดิเรกในฐานะที่เกี่ยวพันกับการเมืองอย่างใกล้ชิด คุณดิเรกตอบว่า คณะของคุณดิเรกที่มานี้เกี่ยวด้วยเรื่องการทหารโดยเฉพาะ แต่ก็ได้รับอนุญาตจากท่านปรีดีให้ชี้แจงต่อฝ่ายอังกฤษว่า การประกาศสงครามต่ออังกฤษเป็นการกระทำของบุคคลไม่กี่คนมิใช่ตัวแทนของประชาชนชาวไทย ซึ่งยังมีความสัมพันธ์ยึดมั่นอยู่กับประเทศอังกฤษ คนไทยรู้สึกเสียใจที่มีการประกาศสงคราม ท่านปรีดีและคณะพร้อมที่จะกระทำการทุกอย่างร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในการขับไล่ญี่ปุ่นให้พ้นจากประเทศไทย และกลับคืนสัมพันธภาพอันดีกับอังกฤษ

นายเดนิ่งกล่าวว่า สำหรับประชามติในอังกฤษเท่าที่ทราบกันอยู่ก็คือ ประเทศไทยขอทำกติกาไม่รุกรานกับอังกฤษ แล้วภายหลังต่อมาไม่เท่าไร ได้อนุญาตให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยไปโจมตีอังกฤษทางมลายู มิหนำซํ้าไทยยังประกาศสงครามต่ออังกฤษด้วย ฉะนั้น ไทยจำต้องดำเนินการเพื่อให้คนอังกฤษเชื่อในความจริงใจของไทยที่จะแก้ไขสถานการณ์นั้น และเข้ามีส่วนในวัตถุประสงค์ร่วมของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งในข้อนี้คุณดิเรกให้คำมั่นว่า ท่านปรีดีและคณะจะดำเนินการทุกอย่างที่อังกฤษต้องการ รวมทั้งการคืนดินแดนที่ได้รับจากญี่ปุ่นและการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อผลประโยชน์ของคนชาติบริติชในประเทศไทย

นายเดนิ่งสอบถามต่อไปว่า ฝ่ายท่านปรีดีมีดำริจะกระทำอย่างใดเพื่อเข้าร่วมเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร คุณดิเรกตอบว่า รัฐบาลของคุณควงจะสามารถทำญาติดีกับฝ่ายญี่ปุ่นต่อไป แต่จะทำการขัดข้องต่อการเรียกร้องของญี่ปุ่นเท่าที่จะกระทำได้อย่างปลอดภัย คุณดิเรกไม่คิดว่า ญี่ปุ่นจะทำการเปลี่ยนรัฐบาลไทยได้ เพราะญี่ปุ่นไม่มีหุ่นเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้สำเร็จ นอกเสียจากจะเข้าทำการควบคุมรัฐบาลโดยตรงเอง แผนของท่านปรีดีจึงอยู่ที่เมื่อถึงวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกเข้าประเทศไทย รัฐบาลควงจะลาออก และจะมีการจัดตั้งรัฐบาลกระบวนการต่อต้านขึ้นในเขตที่อยู่นอกอำนาจญี่ปุ่นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร

 

หมายเหตุ :

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความพยายามติดต่อทางการเมืองกับอังกฤษ”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 218-223.

บรรณานุกรม :

  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความพยายามติดต่อทางการเมืองกับอังกฤษ”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 218-223.

บทความที่เกี่ยวข้อง :