ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 17 : ไทยประกาศสันติภาพ

16
มิถุนายน
2568

ประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

 

พระสยามเทวาธิราชทรงกรุณาคุ้มครองประเทศไทยอีกวาระหนึ่ง ยังให้รอดพ้นจากการพินาศวอดวายอย่างหวุดหวิด เพราะถ้าถึงเวลาที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะบุกเข้าประเทศไทยตามแผนยุทธศาสตร์เดิม คงจะต้องมีการสู้รบบนดินแดนไทยอย่างหนักหน่วง ญี่ปุ่นจะสู้ตายไม่เสียดายชีวิต และคงจะพาเอาคนไทยต้องตกตายตามไปด้วยเป็นจำนวนมาก อาจจะเป็นการศึกชิงเมืองต่อเมือง ถนนต่อถนน บ้านต่อบ้าน บรรดาพลพรรคที่คณะต่อต้านตระเตรียมฝึกซ้อมไว้ จะต้องพากันล้มตายระเนระนาดในการประจัญบานกับกำลังทหารของสมเด็จพระจักรพรรดิที่จนตรอก ครั้นเมื่อปุบปับญี่ปุ่นเกิดยอมจำนนต่อฝ่ายสหประชาชาติอย่างไม่มีใครคาดนึกฝัน การสู้รบอย่างเลือดเข้าตาในประเทศไทยที่ทุกคนกลัวนักกลัวหนาจึงไม่เกิดขึ้น

เมื่อเอกอัครราชทูตยามาโมโตเข้าพบนายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ เพื่อนำข่าวญี่ปุ่นต้องขอยุติการสู้รบกับฝ่ายสัมพันธมิตรมาแจ้งให้ทราบ นายกรัฐมนตรีควง กล่าวสัพยอกว่า ญี่ปุ่นกับไทยมีความผูกพันต่อกันว่าจะทำสงครามไปจนถึงที่สุด จะไม่ยอมแยกหยุดรบทำสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตร ท่านเปรียบอุปมาอุปไมยเสมือนหนึ่งการแสดงมหาอุปรากรด้วยกัน บัดนี้ พระเอกหันแวบหลบหายตัวเข้าหลังฉากไปแล้ว ปล่อยให้พระรองรำร่ายเหลือแต่เพียงผู้เดียวได้อย่างใด

เอกอัครราชทูตยามาโมโตขออภัยที่ญี่ปุ่นต้องปฏิบัติเช่นนั้น เป็นพระราชโองการของสมเด็จพระจักรพรรดิที่โปรดสั่งลงมาอย่างเด็ดขาดไม่มีทางหลีกเลี่ยง เอกอัครราชทูตเชื่อว่า ไทยคงหาทางออกจากสถานการณ์คับขันยิ่งยวดได้ด้วยดี อย่างที่ไทยเคยเอาตัวรอดมาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร

ก็จริงอย่างที่เอกอัครราชทูตคาดหมายเชื่อมั่นไว้ ประเทศไทยจะต้องหาทางออกของประเทศไทยเอง วันที่ ๑๓ สิงหาคม เป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรจะต้องประชุมตามกำหนดปกติ พระยามานราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎร สั่งเลื่อนประชุม เพราะรัฐบาลมีราชการสำคัญและจำ เป็นเร่งด่วนไม่สามารถมาร่วมประชุมได้ ขอนัดประชุมในวันที่ ๑๖ เมื่อถึงเวลาที่รัฐบาลพร้อม ประธานจึงเรียกประชุมเพื่อฟังคำประกาศสันติภาพของผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้

 


นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ

 

โดยที่ประเทศไทยได้เคยถือนโยบายอันแน่วแน่ที่จะรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด และจะต่อสู้การรุกรานของต่างประเทศทุกวิถีทาง ดังปรากฏเห็นได้ชัดจากการที่ได้มีกฎหมายกำหนดหน้าที่คนไทยในเวลารบ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๔ อยู่แล้วนั้น ความจำนงอันแน่วแน่ดังกล่าวนี้ได้แสดงให้เห็นประจักษ์แล้ว ในเมื่อญี่ปุ่นได้ยาตราทัพเข้าในดินแดนประเทศไทย ในวันที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ โดยได้มีการต่อสู้การรุกรานทุกแห่ง และทหาร ตำรวจ ประชาชน พลเมืองได้เสียชีวิตไปในการนี้เป็นอันมาก

 


ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485

 

เหตุการณ์อันปรากฏเป็นสักขีพยานนี้ ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า การประกาศสงครามเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๕ ต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งการกระทำทั้งหลายซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อสหประชาชาตินั้น เป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทย และฝ่าฝืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแลกฎหมายบ้านเมือง ประชาชนชาวไทยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือสนับสนุนสหประชาชาติผู้รักที่จะให้มีสันติภาพในโลกนี้ ได้กระทำการทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือสหประชาชาติ ดังที่สหประชาชาติส่วนมากย่อมทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นการแสดงเจตจำ นงของประชาชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยต่อการประกาศสงครามและการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสหประชาชาติดังกล่าวมาแล้ว

บัดนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้ยอมปฏิบัติตามคำ ประกาศของสหรัฐอเมริกา บริเตนใหญ่ จีน และสหภาพโซเวียต ซึ่งได้กระทำ ณ พ็อทส์ดัมแล้ว สันติภาพจึงกลับคืนมาสู่ประเทศไทย อันเป็นความประสงค์ของประชาชนชาวไทย

ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอประกาศโดยเปิดเผยแทนประชาชนชาวไทยว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เป็นโมฆะไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย ในส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับสหประชาชาติ ประเทศไทยได้ตัดสินใจที่จะให้กลับคืนมาซึ่งสัมพันธไมตรีอันดีที่เคยมีมากับสหประชาชาติเมื่อก่อนวันที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ และพร้อมที่จะร่วมมือเต็มที่ทุกทางกับสหประชาชาติในการสถาปนาเสถียรภาพในโลกนี้

บรรดาดินแดนซึ่งญี่ปุ่นได้มอบให้ไทยครอบครอง คือรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส เชียงตุง และเมืองพานนั้น ประเทศไทยไม่มีความปรารถนาที่จะได้ดินแดนเหล่านี้ และพร้อมที่จะจัดการเพื่อส่งมอบเมื่อบริเตนใหญ่พร้อมที่จะรับมอบไป

ส่วนบรรดาบทกฎหมายอื่น ๆ ใด อันมีผลเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐอเมริกา บริเตนใหญ่และเครือจักรวรรดิก็จะได้พิจารณายกเลิกไปในภายหน้า บรรดาความเสียหายอย่างใด ๆ จากกฎหมายเหล่านั้น ก็จะได้รับชดใช้โดยชอบธรรม

ในที่สุดนี้ ขอให้ประชาชนชาวไทยทั้งหลายตลอดจนชนต่างด้าวซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทยจงตั้งอยู่ในความสงบ และไม่กระทำการใด ๆ อันจะเป็นการก่อกวนความสงบเรียบร้อย พึงยึดมั่นในอุดมคติ ซึ่งได้วางไว้ในข้อตกลงของสหประชาชาติ ณ นครซานฟรานซิสโก

สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ความเห็นชอบกับประกาศสันติภาพของผู้สำเร็จราชการเป็นเอกฉันท์ หลังจากนั้นประธานสภาผู้แทนราษฎรได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า “บัดนี้ท่านสมาชิกทั้งหลายได้ลงมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบด้วยประกาศสันติภาพแล้ว เป็นการแสดงให้โลกเห็นถึงเจตนาอันแท้จริงของคนไทยที่รักสงบ ไม่เป็นผู้ก้าวร้าวและเสียสละ ป้องกันการรุกรานสงครามที่ได้เข้ามาสู่ประเทศไทย ไม่เป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทยปรารถนา ประธานสภาและสมาชิกทั้งหลายคงระลึกกันได้ดีว่า เมื่อมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๘๔ อภิปรายถึงการที่สงครามได้เข้ามาสู่ประเทศไทย สมาชิกทั้งหลายได้แสดงให้เห็นเด่นชัดแล้วว่าไม่พอใจ อันเป็นภาพที่ยังจารึกอยู่ไม่มีวันลืม ประกาศสันติภาพจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องตรงกับความประสงค์ของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง”

ในวันเดียวกันนั้น ทางผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร มีสาส์นถึงผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่งได้อ่านทางวิทยุกระจายเสียง และทิ้งเป็นใบปลิวภาษาญี่ปุ่นและไทยลงในประเทศไทย มีข้อความสำคัญว่า สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ตามพระราชโองการของสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น ญี่ปุ่นยอมรับข้อกำ หนดเงื่อนไขในการยุติการยุทธของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพโซเวียต การยอมจำ นนของกำ ลังทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย จะต้องเป็นไปตามคำ สั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรระหว่างนั้น ขอเตือนห้ามมิให้ทหารญี่ปุ่นแทรกแซงเข้าไปในกิจการของประเทศไทยห้ามบีบบังคับรัฐบาลไทย หรือกดขี่ข่มเหงชาวไทย ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหประชาชาติมิใช่เรื่องของกำลังญี่ปุ่นภายในประเทศไทย และให้ญี่ปุ่นปฏิบัติต่อเชลยศึกสัมพันธมิตรด้วยความระมัดระวังเอาใจใส่อย่างดีที่สุด

ทั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศประกาศสงคราม แล้วต่อมาหลายปี ประกาศสันติภาพให้ถือว่าประกาศสงครามเดิมเป็นโมฆะ ไม่ผูกพันประชาชน ดูประหนึ่งปัดเป่าความรับผิดชอบเอาอย่างง่าย ๆ นักการเมืองไทยบางคนในสมัยนั้นพากันวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์อย่างหนักหน่วง ว่าเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของชาติไทย ทั้งนี้เนื่องจากไม่ทราบความเป็นจริงเบื้องหลังการประกาศสันติภาพนั้น

ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว รัฐบาลอังกฤษกำหนดนโยบายที่จะเจรจากับรัฐบาลไทยที่ได้รับการปลดปล่อยจากญี่ปุ่นไว้แต่เมื่อปลายเดือนเมษายน ๒๔๘๘ หากต้องส่งเรื่องไปหารือกับรัฐบาลจักรภพที่เกี่ยวข้อง และยังจะต้องปรึกษาหารือกับรัฐบาลอเมริกาด้วย เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นตกลงยอมจำนนต่อฝ่ายพันธมิตรโดยฉับพลัน ทางฝ่ายไทยยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ฝ่ายอังกฤษจึงต้องปรับแผนดำ เนินการใหม่

 


นายปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ รับเชิญจาก Lord Mountbatten ให้ไปพำนัก ณ คฤหาสน์ Broadlands ประเทศอังกฤษ (มิถุนายน 2513)

 

วันที่ ๑๓ สิงหาคม หนึ่งวันก่อนที่ประธานาธิบดีทรูแมนประกาศเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นยอมจํานนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรโดยไม่มีเงื่อนไข ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้รับคำสั่งจากกรุงลอนดอนให้พลจัตวา เจ๊กส์แนะเป็นความเห็นส่วนตัวต่อผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์ให้รีบออกคำประกาศบอกปัดการประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐฯ และบรรดามาตรการที่สืบเนื่องอันเป็นผลเสียหายแก่สัมพันธมิตร เลิกล้มการผูกพันทางพันธมิตรและการทำความตกลงอื่น ๆ กับญี่ปุ่นเสีย แล้วให้มอบกำลังทหารไทยให้ฝ่ายสัมพันธมิตรใช้ เพื่อการนี้ขอให้ส่งผู้แทนไปติดต่อที่เมืองแคนดีทันที ในคำ ประกาศของผู้สำ เร็จราชการอาจจะอ้างถึงการที่เคยแจ้งให้รัฐบาลอังกฤษและอเมริกาทราบก่อนแล้วว่า ขบวนการต่อต้านประสงค์จะเริ่มปฏิบัติการต่อญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย หากต้องยับยั้งไว้พลางก่อนตามคำขอของฝ่ายสัมพันธมิตร จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรเพื่อประโยชน์ในการประสานงานด้านการยุทธ ถ้าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะดังกล่าว อังกฤษจะไม่เรียกร้องให้ประเทศไทยต้องยอมจำ นนโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งตามปกติแล้วเขาจะบังคับเอาเช่นนั้นได้ในฐานะที่ไทยเป็นคู่สงคราม ทั้งนี้โดยคำ นึงถึงการร่วมมือที่ขบวนการต่อต้านได้ให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร และโดยเฉพาะคำขอของฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ห้ามมิให้ไทยปฏิบัติการขั้นแตกหักโดยลำพังอย่างใดก่อน ฝ่ายอังกฤษจะปรับนโยบายให้เข้ากับการที่ประเทศไทยจัดให้มีการกลับคืนสถานภาพเดิมในอดีต และจะให้ความร่วมมือในอนาคต

การที่อังกฤษรับว่าจะไม่เกณฑ์ให้ไทยต้องยอมจำ นนโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างญี่ปุ่น ย่อมแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายสหประชาชาติมิได้ถือประเทศไทยเป็นศัตรูเต็มตัว และการที่ขอให้ประเทศไทยมอบกำลังทหารให้สัมพันธมิตรใช้ ก็เท่ากับรับว่าจะไม่ปลดอาวุธทหารไทยฐานผู้แพ้สงคราม หากจะใช้ให้ช่วยในการปลดอาวุธกำลังทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยเท่านั้น ในการที่ประเทศไทยจะถือเอาประโยชน์ตามข้อเสนอดังกล่าว กองบัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรขออย่างเดียวให้ประเทศไทยเริ่มประกาศบอกปัดการประกาศสงครามของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และการทำความผูกพันนานาประการกับญี่ปุ่นเสีย ฉะนั้น การประกาศสันติภาพของผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์จึงเป็นการปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งอาศัยความเห็นของที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเป็นสำคัญว่า ตามหลัก การประกาศสงครามเลิกถอนไม่ได้ ทางเดียวที่ผู้สำเร็จราชการจะปฏิบัติได้ ก็คือต้องชี้แจงให้เห็นว่า การประกาศสงครามของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่มีผลบังคับ ซึ่งสอดคล้องกับคำยืนยันของผู้สำ เร็จราชการแต่ต้นมาแล้ว และที่ผ่อนลงมาให้แก่ประเทศไทย เช่นนั้น มิใช่เป็นเพราะอังกฤษมีความรักใคร่ผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์เป็นพิเศษ หากได้คำ นึงถึงผลงานที่ขบวนการต่อต้านให้ความร่วมมือแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นเวลาแรมปี ถึงกับฝ่ายสัมพันธมิตรต้องเตือนแล้วเตือนเล่าอีกมิให้ดำเนินการรุนแรงก่อนที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะพร้อม เป็นการรับรู้ความเสียสละของบรรดาคนไทยทั้งมวลพึงสังเกตว่าประกาศสันติภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แม้จะได้กระทำไปเพื่อสนองความต้องการของรัฐบาลอังกฤษที่สั่งผ่านมาทางกองบัญชาการทหารสูงสุดประจำ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็มิได้มีข้อความครบถ้วนตามที่อังกฤษแนะมา ทำ ให้นายเดนิ่งต้องสอบถามทางกำลัง ๑๓๖ ที่ประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้ชี้แจงแสดงเหตุผล

ในข้อแรก ผู้สำเร็จราชการไม่ได้กล่าวถึงการยินยอมให้ฝ่ายสัมพันธมิตรใช้ทหารไทย ทั้งนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอธิปไตยและศักดิ์ศรีของทหารไทย จริงอยู่ที่ฝ่ายอังกฤษเสนอเช่นนั้น นับเป็นการผ่อนจากการปลดอาวุธทหารไทยที่เขามีสิทธิจะทำ ได้กับศัตรูผู้แพ้สงคราม แต่การจะให้ผู้สำเร็จราชการประกาศมอบกำลังทหารไทยให้ฝ่ายสัมพันธมิตรใช้ โดยไม่กำ หนดชัดแจ้งว่าเพื่อการใด ผู้สำเร็จราชการรู้สึกจะเกินสมควรที่จะรับผูกพันได้ เมื่อกองกำ ลังฝ่ายสหประชาชาติเข้าประเทศไทยเพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น ฝ่ายทหารไทยย่อมจะต้องให้ความร่วมมือเต็มที่อยู่แล้ว

ข้อสอง ในประกาศไม่มีข้อความถึงกรณีที่ขบวนการต่อต้านที่ประสงค์จะเริ่มปฏิบัติการขั้นแตกหักกับญี่ปุ่น แต่ถูกฝ่ายสหประชาชาติยับยั้งไว้ ข้อนี้ผู้สำ เร็จราชการให้ชี้แจงนายเดนิ่งไปว่า ขบวนการต่อต้านไม่ต้องการโฆษณาตัวเอง สหประชาชาติย่อมทราบพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่แก่ใจแล้ว หากจะมีการแถลงในเรื่องนี้ ก็น่าที่ฝ่ายสหประชาชาติจะเป็นผู้แถลงมากกว่า ในใจจริงนั้น เราต้องการแต่จะให้ญี่ปุ่นออกไปจากประเทศไทย เราไม่ต้องการจะสร้างญี่ปุ่นให้เป็นศัตรูกับเรา

ข้อสาม ประกาศไม่มีข้อความเรื่องการคืนดินแดนให้แก่ฝรั่งเศส ข้อนี้ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้ชี้แจงว่า ดินแดนเหล่านั้นฝ่ายไทยต้องเสียให้แก่ฝรั่งเศส โดยฝ่ายฝรั่งเศสใช้กำลังบังคับเอา หรือโดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้กำลังของฝรั่งเศส ซึ่งในสมัยนั้น รัฐบาลและประชาชนอังกฤษก็ประณามการกระทำ ของฝรั่งเศส ประเทศไทยต้องการแต่ความยุติธรรมสำ หรับประเทศไทยและสำ หรับปวงราษฎรในอาณาเขตเหล่านั้น ฝ่ายไทยถือว่าการที่ไทยได้รับดินแดนบางส่วนคืนในปี ๒๔๘๔ เป็นไปตามการเจรจากับรัฐบาลโดยชอบของฝรั่งเศส ถ้ารัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศสจะปฏิเสธการกระทำของรัฐบาลเก่า ก็เป็นเรื่องของฝรั่งเศส จะเกณฑ์ให้ไทยประกาศมอบดินแดนคืนเองหาสมควรไม่

ข้อสี่ ประกาศสันติภาพมิได้กล่าวถึงการส่งคณะผู้แทนไทยไปเจรจาที่แคนดี ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผู้สำ เร็จราชการยังไม่ทราบวัตถุประสงค์แน่ชัดว่า จะให้ไปเจรจาในเรื่องความร่วมมือทางทหารโดยเฉพาะ หรือจะเจรจาเรื่องการเมืองด้วย องค์ประกอบของคณะผู้แทนที่จะส่งออกไปย่อมจะไม่เหมือนกัน สำหรับปัญหาการเมืองที่ค้างอยู่ระหว่างอังกฤษกับไทย น่าจะพิจาณาดูว่าจะมีวิธีการเจรจาทางอื่นหรือไม่ ผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์ได้สั่งให้ท่านทูตเสนีย์ ปราโมช เริ่มเปิดการเจรจากับฝ่ายอังกฤษทางสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ณ กรุงวอชิงตันแล้ว และถ้าจำ เป็น เวลาเดินทางกลับประเทศไทย ให้ท่านทูตเสนีย์แวะไปกรุงลอนดอนเพื่อติดต่อกับฝ่ายอังกฤษด้วย จึงน่าจะรอฟังผลก่อนที่จะตกลงส่งคณะผู้แทนไปแคนดี

ในวันที่ประกาศสันติภาพ กระทรวงการต่างประเทศไทยมีโทรเลขสั่งเป็นทางการครั้งแรก หลังจากที่ประเทศไทยประกาศสงครามถึงท่านทูตเสนีย์ ปราโมช ให้แจ้งต่อกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันว่า ประเทศไทยปฏิเสธการประกาศสงครามและความตกลงต่าง ๆ ที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำกับญี่ปุ่น ท่านทูตนำความไปแจ้งต่อนายมอฟเฟ็ต หัวหน้ากองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายมอฟเฟ็ตขอให้ทำ หนังสือเป็นทางราชการเพื่อจะได้นัดหมายให้ท่านทูตนำ ไปมอบแก่นายเจมส์ เอฟ. เบิร์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอเมริกัน ด้วยตนเอง

เย็นวันที่ ๑๙ สิงหาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอเมริกันออกคำแถลงการณ์ต่อหนังสือพิมพ์มีข้อความว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยได้นำ ประกาศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ มามอบให้ สำ หรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา คำประกาศกล่าวว่า ประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕ เป็นโมฆะ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญและเจตจำ นงของประชาชนชาวไทย ประเทศไทยต้องการกลับมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับสหประชาชาติอย่างเมื่อก่อนญี่ปุ่นยึดครอง ให้สัญญาว่าจะพิจารณายกเลิกกฎหมายที่ขัดต่อผลประโยชน์ของอเมริกา จะให้ค่าทดแทนความเสียหายที่สืบเนื่องจากกฎหมายดังกล่าว และให้คำมั่นที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แก่สหประชาชาติในการจัดเสถียรภาพของโลก การกระทำของรัฐบาลไทยเป็นสิ่งที่น่ายินดีในความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับไทย ญี่ปุ่นเข้ายึดครองประเทศไทยในเวลาเดียวกันกับที่เข้าโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ ไทยประกาศสงครามเจ็ดสัปดาห์ต่อมา รัฐบาลไทยสมัยนั้นตกอยู่ใต้ความควบคุมของญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว รัฐบาลอเมริกาเชื่ออยู่เสมอว่า การประกาศสงครามมิได้เป็นไปตามเจตจำ นงของประชาชนชาวไทย ด้วยเหตุนั้นอเมริกาจึงไม่นำ พาต่อประกาศสงครามดังกล่าว และคงรับรองฐานะของทูตไทยเรื่อยมาว่าเป็นทูตของประเทศไทย ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลอเมริกาไม่ยอมรับนับถือรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ที่อยู่ใต้อำนาจญี่ปุ่น ในทันทีภายหลังการยึดครองประเทศไทยของญี่ปุ่น ทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ได้จัดตั้งขบวนการเสรีไทยจากบรรดาคนไทยที่อยู่นอกประเทศ เสรีไทยให้ความร่วมมือแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างมาก ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นเกิดขึ้นภายในประเทศไทยหลังจากการยึดครองของญี่ปุ่นไม่เท่าใด รัฐบาลอเมริกาและรัฐบาลอังกฤษได้รับและได้ให้ความช่วยเหลือที่สำคัญจากและแก่ขบวนการ และมีการติดต่อกันเป็นประจำ เสมอมากับผู้นำของขบวนการ เป็นเวลาหลายเดือนมาแล้วที่ขบวนการต่อต้านเตรียมพร้อมที่จะเริ่มปฏิบัติการกับญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย หากแต่รัฐบาลอเมริกาและอังกฤษได้ห้ามปรามขอร้องให้ระงับไว้ก่อนด้วยเหตุผลทางการยุทธ การยอมจำ นนของญี่ปุ่นเท่านั้นที่ทำ ให้ไม่จำ เป็นต้องมีการสู้รบ เพื่อปลดปล่อยประเทศไทย ก่อนสงครามประเทศไทยและสหรัฐอเมริกามีประวัติมิตรภาพอันใกล้ชิด เป็นที่หวังว่ามิตรภาพนั้นจะสนิทสนมยิ่งขึ้นในภายภาคหน้า ตลอดเวลา ๔ ปีที่แล้วมา รัฐบาลอเมริกาถือประเทศไทยมิใช่ศัตรู แต่เป็นประเทศที่จะต้องทำการปลดปล่อยจากศัตรู เมื่อบัดนี้ประเทศไทยได้รับการปลดปล่อยแล้ว รัฐบาลอเมริกาเชื่อว่า ประเทศไทยจะกลับเข้าสู่สถานะเดิมในวงสังคมชาติอิสระ มีอธิปไตยและเอกราช

ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เมื่อทราบข่าวคำแถลงการณ์ของนายเบิร์น ย่อมมีความไม่สู้จะพอใจนักที่ฝ่ายอเมริกันมิได้ปรึกษาหารือกับอังกฤษก่อน แต่ก็เห็นว่าเท่าทีแถลงออกไปนั้นไม่ร้ายแรงเท่าที่เคยเกรงกันไว้ เพราะเพียงแสดงความหวังว่า สัมพันธภาพระหว่างอเมริกากับไทยจะสนิทสนมยิ่งขึ้นไปในอนาคตเท่านั้น เมื่ออเมริกาแถลงออกไปแล้ว เกิดความจำ เป็นที่ฝ่ายอังกฤษจะต้องมีการแถลงอย่างหนึ่งอย่างใดบ้าง รุ่งขึ้นบ่ายวันที่ ๒๐ นายเบวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษแถลงเรื่องประเทศไทยต่อสภาสามัญว่า ตามที่ทราบกันแล้วประเทศไทยที่เคยใกล้ชิดกับอังกฤษก่อนสงครามได้ประกาศสงครามกับอังกฤษเมื่อเดือนมกราคม ๒๔๘๕ อังกฤษรู้สึกกระทบกระเทือนมากจากการนั้น เมื่อประเทศไทยถูกญี่ปุ่นยึดได้ ทำสัมพันธไมตรีกับญี่ปุ่นและรับดินแดนของอังกฤษจากญี่ปุ่น เป็นที่น่ายินดีที่เมื่อปีกลายมีการเปลี่ยนรัฐบาลที่ร่วมมือกับญี่ปุ่น และขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นได้เติบโตขึ้นในประเทศไทย อังกฤษรับทราบความช่วยเหลือจากขบวนการ และถ้าขบวนการมิได้ลงมือปฏิบัติการอย่างเปิดเผยต่อญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพราะคำแนะนำของอังกฤษโดยเหตุผลทางการทหารเท่านั้น จะต้องรอดูต่อไปว่าเจตนารมณ์เช่นนี้มีอยู่ทั่วประเทศไทยเพียงใด บัดนี้ อังกฤษทราบว่า ผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ปฏิเสธประกาศสงครามต่ออังกฤษ อ้างว่าเป็นโมฆะ ประเทศไทยพร้อมจะทำ การแก้คืน และให้ความร่วมมือทุกวิถีทางแก่สหประชาชาติ ในการสร้างเสถียรภาพ คำ ประกาศนี้ย่อมจะได้รับการพิจารณาด้วยความระมัดระวัง เพื่อดูว่าเป็นมูลฐานเพียงพอจัดภาวะอันผิดปกติให้เรียบร้อยขึ้นได้หรือไม่ การร่วมกับญี่ปุ่นของประเทศไทย ก่อให้เกิดปัญหาที่จะต้องขจัดหลายปัญหา รัฐบาลจะคำ นึงถึงปัญหาเหล่านี้ ท่าทีของอังกฤษขึ้นอยู่กับวิธีที่ไทยจะสนองความต้องการของกำลังทหารอังกฤษที่จะเข้าไปในประเทศไทยได้เพียงใด ขอบเขตที่ไทยจะแก้ความผิดของรัฐบาลเก่า และจะจัดการทดแทนความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของอังกฤษและสัมพันธมิตรเพียงใด ตลอดจนขอบเขตของการที่ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือในการกลับสถาปนาสันติภาพความเป็นระเบียบและการฟื้นฟูในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงใด

เป็นอันว่า คำประกาศสันติภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้รับการขานรับโดยทันทีจากทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ สองประเทศที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศสงครามด้วย ความแตกต่างระหว่างท่าทีของทั้งสองประเทศเป็นอันว่า คำประกาศสันติภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้รับการขานรับโดยทันทีจากทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ สองประเทศที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศสงครามด้วย ความแตกต่างระหว่างท่าทีของทั้งสองประเทศ

ออสเตรเลียดูจะเป็นประเทศที่แสดงความสนใจมากที่สุด โดยได้เคยแจ้งความเห็นให้รัฐบาลอังกฤษทราบแต่เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคมแล้วว่า รัฐบาลอเมริกาไม่ควรดำ เนินการฝ่ายเดียวกับประเทศไทย และควรจะมีการทำความตกลงทางการเมืองและการทหารเสียก่อนระหว่างสัมพันธมิตรด้วยกัน ออสเตรเลียอยากจะเข้ามีส่วนร่วมในการเจรจาที่ลอนดอนหรือวอชิงตัน ออสเตรเลียสนับสนุนอังกฤษที่ถือว่าการประกาศสงครามของไทยมิใช่เพียงแบบพิธี เหตุผลที่ออสเตรเลียประกาศสงครามกับไทย เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๘๕ มีหลายประการ รัฐบาลไทยปล่อยให้กำลังทหารญี่ปุ่นผ่านเพื่อไปตีมลายู กำลังทหารไทยบุกเข้าไปในพม่า ไทยประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา ไทยทำการคุมขังคนชาติบริติช อเมริกา เนเธอร์แลนด์ และให้การช่วยเหลือแก่ญี่ปุ่นด้วยวิธีต่าง ๆ บรรดาผู้มีจิตกระหายสงครามและเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายตะวันตกในประเทศไทย ทำ ให้เกิดภาวะอันเต็มไปด้วยอันตรายในเขตมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อ ปี ๒๔๘๕ ฉะนั้น นโยบายของสัมพันธมิตรสำ หรับประเทศไทย จะต้องเป็นไปในทางสกัดกั้นอิทธิพลเช่นนั้นมิให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ออสเตรเลียเห็นด้วยกับการที่จะถือรัฐบาลไทยที่ต่อต้านญี่ปุ่นเป็นพันธมิตร แต่เห็นว่ารัฐบาลใหม่ของไทยจำต้องเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย และเนื่องจากไทยให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่น จึงจำต้องจัดการกับประเทศไทยอย่างเข้มงวด ออสเตรเลียเห็นว่า ไม่ควรปล่อยให้ความโน้มน้าวทางฟาสซิสต์คงอยู่ในวงการรัฐบาลหรือการปกครองของไทย ขอคัดค้านความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่ลดหย่อนผ่อนคลายการปฏิบัติต่อประเทศไทย และมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมดังน

(๑) บรรดาผู้นำกลุ่มนิยมญี่ปุ่นและคนไทยที่เคยช่วยญี่ปุ่นอย่างเข้มแข็ง จะต้องถูกจับกุม

(๒) คนไทยเช่นเดียวกับญี่ปุ่นจะต้องตกอยู่ในข่ายบทบัญญัติว่าด้วยอาชญากรสงครามและคนไทยที่ทารุณกับเชลยศึกหรือผู้ถูกกักกันฝ่ายสัมพันธมิตรจะต้องถูกจับตัวและลงโทษ

(๓) ไทยควรมีความผูกพันแน่ชัดในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงของภูมิภาคในอนาคต จะต้องให้ความสะดวกทางการเดินทะเลและการเดินอากาศ และความสะดวกอื่น ๆ ตามคำสั่งของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ

(๔) ควรจัดให้มีนิรโทษกรรมแก่คนไทยที่ช่วยสหประชาชาติในด้านการโฆษณา และผู้กระทำผิดทางการเมืองสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

ฝ่ายอินเดียที่ประกาศสงครามกับไทยตามอังกฤษอีกประเทศหนึ่ง มิได้มีท่าทีแข็งกร้าวเข้มงวดอย่างออสเตรเลีย โดยได้เสนอข้อคิดเห็นต่ออังกฤษเมื่อวันที่ ๕ เดือนเดียวกันว่า ประเทศไทยน่าจะต้องมีเอกราชแท้จริง ไม่ต้องตกอยู่ในความบีบบังคับหรือกดดันของประเทศจีนหรือประเทศอื่น สำ หรับความมั่นคงปลอดภัยของประเทศเพื่อนบ้านของไทยซึ่งอังกฤษยืนยันจะให้ไทยช่วยในการรักษานั้น อินเดียถือว่ารวมทั้งอินเดียด้วย ต่อไปในภายหน้าอินเดียอยากจะติดต่อกับไทยโดยตรง เฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้า

 

หมายเหตุ :

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ไทยประกาศสันติภาพ”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 283-293.

บรรณานุกรม :

  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ไทยประกาศสันติภาพ”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 283-293.

บทความที่เกี่ยวข้อง :