
อวสานของสงครามภาคแปซิฟิก
ระหว่างที่สงครามในแปซิฟิกดำเนินอยู่อย่างเคร่งเครียด ฝ่ายสหประชาชาติฟื้นตัวเริ่มเป็นฝ่ายรุกแทนที่จะรับ มีการศึกษาวางแผนการจัดการกับญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นปี ๒๔๘๗ จนปลายเดือนพฤษภาคม ๒๔๘๘ สหรัฐอเมริกาได้กำหนดเป้าหมายดำเนินสงครามไว้ดังนี้
๑. ญี่ปุ่นจะต้องยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข
๒. การปฏิบัติด้านดินแดนจะต้องเป็นไปตามปฏิญญากรุงไคโร
๓. การป้องกันการรุกรานในอนาคต
๔. การจัดตั้งรัฐบาลญี่ปุ่นที่ได้รับความเชื่อถือในสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ
๕. การร่วมมือของญี่ปุ่นในระบบเศรษฐกิจภายในกรอบข้อ ๓ และ ๔ ข้างต้น โดยวางวิธีที่จะให้บรรลุผลตามเป้าหมายทั้ง ๕ ประการไว้ดังนี้
๑. ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหประชาชาติจะมีอำนาจเหนือการดำเนินกิจการภายในและภายนอกของญี่ปุ่น การระงับอำนาจทางรัฐธรรมนูญของสมเด็จพระจักรพรรดิ และบรรดาองค์กรทั้งหลายของญี่ปุ่นในด้านนโยบาย โดยจะจัดให้มีรัฐบาลทหารฝ่ายสหประชาชาติเป็นผู้ปกครองด้วยความเข้มแข็งและเป็นธรรม โดยเฉพาะจะปรับปรุงบทกฎหมายญี่ปุ่นที่ไม่เหมาะสม ยุบพรรคการเมือง สมาคม และองค์การอื่น ๆ ของญี่ปุ่นที่ฝ่ายสหประชาชาติไม่เห็นด้วย ประกาศเสรีภาพในการนับถือศาสนา ปรับปรุงระบบการสารนิเทศใหม่ และควบคุมระบอบการศึกษา
๒. ศาลพลเรือนจะคงดำเนินอยู่ต่อไปภายใต้รัฐบาลทหาร
๓. การปกครองญี่ปุ่นภายหลังสงคราม จะจัดแบ่งเป็นสามระยะ ในระยะแรกเป็นการปกครองทางทหารของสหประชาชาติอย่างเข้มงวด ระยะที่สอง จะมีการผ่อนคลายความเข้มงวดลงบ้าง โดยจะปล่อยให้ญี่ปุ่นปฏิบัติงานด้านพลเรือนเองภายใต้การควบคุมของสหประชาชาติ และระยะที่สามยินยอมให้ประเทศญี่ปุ่นมีสิทธิเข้าร่วมในสังคมระหว่างชาติได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สหรัฐอเมริกามุ่งที่จะเลิกล้างระบอบนิยมทหารของญี่ปุ่นเสียให้สิ้นเชิง ส่งเสริมระบอบเสรีนิยมทางการเมือง และจัดให้ญี่ปุ่นมีระบบการเมืองที่สอดคล้องกับหลักการของสหประชาชาติ
ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันได้ทำบันทึกลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๔๘๘ มีใจความสำคัญว่า ภายหลังสงคราม รัฐบาลไทยคงจะประกอบด้วยคณะราษฎรต่อไปภายใต้ฝ่ายพลเรือน ซึ่งมีท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นหัวหน้า กลุ่มทหารอาจจะอยู่ภายใต้พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ซึ่งยินยอมร่วมมือกับท่านปรีดี ระบอบการปกครองซึ่งเปลี่ยนแปลงมาแต่ปี ๒๔๗๕ จะก้าวหน้าต่อไป ในด้านเศรษฐกิจ เชื่อว่าประเทศไทยจะคงอยู่ในเขตอิทธิพลของอังกฤษ เงินบาทจะผูกพันอยู่กับเงินปอนด์สเตอร์ลิง การค้าของไทยจะต้องอาศัยตลาดฝ่ายอังกฤษ ความเสียหายจากสงครามไม่สู้จะมากนัก การทิ้งระเบิดของฝ่ายสหประชาชาติมุ่งเฉพาะโรงงานรถไฟที่มักกะสัน สะพานสามสะพาน โรงงาน กลั่นนํ้ามัน โรงงานซีเมนต์ และโรงไฟฟ้าที่กรุงเทพฯ เพื่อแก้ความเสียหายของการรถไฟ ได้มีการกำหนดแผนขยายทางหลวงแผ่นดิน เมื่อการยุทธใกล้ประเทศไทยเข้ามา เขื่อนทำนบกั้นนํ้าจะต้องถูกทำลายโดยทางอากาศบ้าง ซึ่งจะทำให้ลดผลิตผลทางเกษตรลงไป การส่งข้าวออกนอกประเทศจะลดน้อยลง แต่จะไม่มีการขาดแคลนอาหารสำหรับการบริโภคภายใน จะมีการขาดแคลนก็แต่เฉพาะเครื่องเสื้อผ้าและเวชภัณฑ

Japanese expansionJapanese expansion in the late 19th and 20th centuries.
ที่มา : Britannica

Pacific War: Japanese-controlled areas of ChinaThe Japanese seized Manchuria in 1931 and occupied much of the coast and North China Plain by 1941.
ที่มา : Britannica
ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ บันทึกกล่าวว่า ประเทศไทยหวาดกลัวด้านอังกฤษมาก เนื่องจากอังกฤษไม่ยอมแถลงนโยบายเกี่ยวกับประเทศไทย และคงถือประเทศไทยเป็นศัตรู ทั้งยังได้แสดงความสนใจในคอคอดกระเพื่อเหตุผลทางความมั่นคง เจ้าหน้าที่ไทยยอมคืนดินแดนทางมลายูและพม่าที่ญี่ปุ่นยกให้ในปี ๒๔๘๖ ไทยไม่กลัวฝรั่งเศสในอินโดจีน และมองความปลอดภัยของไทยว่าขึ้นอยู่กับอังกฤษ และสหรัฐฯ ยิ่งกว่ากับอังกฤษและฝรั่งเศสเช่นในอดีต ผู้นำของไทยแสดงเจตจำนงที่จะดำเนินนโยบายเพื่อนบ้านที่ดีกับอินโดจีน ดินแดนที่ไทยได้จากอินโดจีนในปี ๒๔๘๗ ไทยถือว่าเป็นสิ่งที่สมควรและชอบธรรม ไทยพร้อมที่จะให้มีคณะกรรมการระหว่างประเทศพิจารณาปัญหาดินแดนภายหลังสงคราม ไทยมีความหวาดเกรงในเจตนา และผลประโยชน์ของจีนในประเทศไทย ไทยยอมรับว่า ภายหลังสงครามไทยคงจะต้องทำความสัมพันธ์เป็นทางการกับประเทศจีน จะต้องยอมให้จีนเปิดสถานทูตในประเทศไทย ถ้าความสัมพันธ์ต่อกันไม่เป็นมิตรจำนวนคนจีนในประเทศไทย อาจจะเป็นภัยขึ้นมาได้ ไทยอาจจะต้องลดข้อจำกัดอาชีพที่ต้องห้ามแต่คนชาติจีนลง ประเทศไทยหวังจะพึ่งสหรัฐฯ เป็นเกราะกำบังการขยายอิทธิพลของอังกฤษและจีน
สหรัฐอเมริกาถือนโยบายที่จะให้ประเทศไทยมีอิสรภาพ เอกราช และอธิปไตย ภายหลังสงครามภายในกรอบอาณาเขตเดียวกันที่มีอยู่ในปี ๒๔๘๓ โดยอาจจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้างทางสันติวิธี ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อยู่ที่การกระชับความสัมพันธ์กับประเทศไทยให้แน่นแฟ้นในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชเดียวในบรรดาประชากร ๑๕๐,๐๐๐,๐๐๐ คน ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังรํ่าร้องจะให้มีการปกครองตนเองเพิ่มขึ้น การจะยึดถืออุดมการณ์ในเขตนี้ที่ผิดแผกแตกต่างไปจากของสหรัฐฯ และการขยายตัวของขบวนการนิยมเอเชีย เป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มตะวันตก ย่อมจะกระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์และความมั่นคงของสหรัฐฯ ในอนาคต
ในด้านการยุทธ ฝ่ายญี่ปุ่นแม้จะต้องพ่ายแพ้ในสมรภูมิเกือบทุกแห่งต้องเสียดินแดน กำลังคน และอาวุธยุทธภัณฑ์มากมายเหลือคณนา การศึกคืบหน้าเข้าใกล้เกาะญี่ปุ่นเข้าไปทุกที แต่ญี่ปุ่นก็ยังยืนหยัดต่อต้านอย่างไม่ย่นย่อ พวกกามิกาเซ่ออกปฏิบัติการอย่างไม่เสียดายชีวิต ในการดำเนินการศึกกับญี่ปุ่น ฝ่ายสัมพันธมิตรตกลงแบ่งเขตปฏิบัติการออกเป็นส่วน ๆ ด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้อยู่ในบังคับบัญชาของกองบัญชาการทหารสูงสุดที่แคนดี เกาะลังกา มีลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน เป็นผู้บัญชาการ ด้านประเทศจีนให้อยู่ในบังคับบัญชาของจอมพล เจียงไคเช็คที่จุงกิง โดยกำหนดเขตสมรภูมิลงมาถึงเส้นละติจูดที่ ๑๖ ซึ่งบรรจบกับเขตของลอร์ดหลุยส์ ในตอนเหนือของอินโดจีนและประเทศไทย ส่วนด้านมหาสมุทรแปซิฟิกให้อยู่ในบังคับบัญชาของพลเอก แม็กอาเธอร์ ที่ตั้งกองบัญชาการทหารสูงสุดอยู่ที่ออสเตรเลีย

Douglas MacArthur
ที่มา : Britannica
ทางด้านมหาสมุทรแปซิฟิก พลเอก แม็กอาเธอร์รวบรวมกำลังมหาศาลรุกคืบหน้ามุ่งเข้ายึดเกาะญี่ปุ่นโดยได้เตรียมทหารไว้ถึง ๕ ล้านคน มีเครื่องบินที่จะใช้ทำการโจมตีจำนวน ๑๐,๐๐๐ เครื่อง กำลังทหารเรือประกอบด้วยเรือประจัญบาน ๑ ลำ เรือลาดตระเวน ๒๒ ลำเรือพิฆาต ๘๐ ลำ เรือบรรทุกเครื่องบิน ๒๐ ลำ พร้อมที่จะเข้าบุกเกาะฮอนชูของญี่ปุ่นภายในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๘๙ ส่วนฝ่ายญี่ปุ่นมีเรือพิฆาตเหลือป้องกันเกาะเพียง ๑๙ ลำ ราชนาวีของสมเด็จพระจักรพรรดิต้องถูกทำลายลงเกือบสิ้น เมื่อฝ่ายทหารเสนอแผนนี้ขึ้นไป ท่านประธานาธิบดีทรูแมนไม่ยอมให้อนุมัติโดยไม่แจ้งสาเหตุ ท่านมีแผนอื่นอยู่แล้วที่เชื่อว่าจะได้ผลดีกว่า
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๘๘ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และจีนยื่นคำขาดให้ญี่ปุ่นยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข รัฐบาลญี่ปุ่นปฏิเสธ
เช้าวันที่ ๖ สิงหาคม เครื่องบินทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกที่เมืองฮิโรชิมา ทำลายสิ่งปลูกสร้างในเมืองประมาณร้อยละ ๘๐ ผู้คนล้มตายกว่า ๗๑,๐๐๐ คน และมีผู้บาดเจ็บจำนวนเท่าเทียมกัน ฝ่ายญี่ปุ่นเข้าใจว่า ความเสียหายนี้เกิดขึ้นจากการทิ้งระเบิดธรรมดาจึงยังไม่ยอมแพ้ รอมาอีกสามวัน มีการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองบนเมืองนางาซากิ ญี่ปุ่นจึงเชื่อว่ามิใช่ลูกระเบิดธรรมดาเสียแล้ว ในวันเดียวกันนั้นสหภาพโซเวียตถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่นเป็นการช่วงชิงซํ้าเติมผู้ซวนเซจะล้มอยู่แล้วอย่างน่าบัดสี ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ทั้ง ๆ ที่ความจริงก่อนหน้านั้นหลายสัปดาห์ ญี่ปุ่นเคยขอร้องให้สหภาพโซเวียตช่วยติดต่อหาทางกลับสถาปนาสันติภาพกับสัมพันธมิตรอยู่แล้ว
สำหรับท่าทีของสหภาพโซเวียตเกี่ยวกับสงครามด้านเอเชีย มีข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ในเอกสารทางราชการของอังกฤษว่า เมื่อญี่ปุ่นตัดสินใจเปิดสถานะสงครามในตะวันออกไกล ทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะต่างต้องการจะให้สหภาพโซเวียตเข้าสู่สงครามกับประเทศญี่ปุ่นด้วย แต่เริ่มแรก เมื่อนายแอนโทนี อีเดน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เดินทางไปกรุงมอสโกเพื่อเจรจาสองฝ่ายกับสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคม ๒๔๘๔ นายอีเดนได้ยกเรื่องนี้ขึ้นปรารภกับจอมพล สตาลิน หากแต่จอมพล สตาลินขอรั้งรอไว้ก่อน อ้างว่าโซเวียตยังไม่มีกำลังเข้มแข็งเพียงพอที่จะเปิดสงครามกับญี่ปุ่นในตะวันออกไกล พร้อมกันไปกับการรณรงค์ เยอรมันด้านยุโรป ซึ่งกำลังดำเนินอยู่อย่างรุนแรง จะต้องรอไปจนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิในปี ๒๔๘๖ จึงจะพิจารณาปัญหาเรื่องทำสงครามกับญี่ปุ่นได้ และในความจริงใจแล้วอยากจะปล่อยให้ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายเริ่มการศึกกับสหภาพโซเวียต

โจเซฟ สตาลิน
ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๔๘๔ จอมพล สตาลินชี้แจงต่อนายอีเดนว่า ถ้าจะให้โซเวียตประกาศสงครามกับญี่ปุ่น ฝ่ายโซเวียตจะต้องอยู่ในฐานะที่สามารถทำการศึกได้ทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศอย่างจริงจัง มิใช่จะเพียงประกาศสงครามแต่ในนามเฉย ๆ อย่างประเทศเบลเยี่ยม ฉะนั้นฝ่ายโซเวียตจะต้องคำนึงโดยรอบคอบว่าจะต้องใช้กำลังเข้าสู้ญี่ปุ่นเพียงใด ในขณะนั้น จอมพล สตาลินเห็นว่าสหภาพโซเวียตยังไม่พร้อม จะต้องรอไปก่อนอีกอย่างน้อยสี่เดือน ถ้าญี่ปุ่นเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีโซเวียตก่อน ก็จะเป็นการง่ายที่จูงใจประชาชนในสหภาพโซเวียตให้สนับสนุนการเข้าสงคราม ยิ่งกว่าถ้าฝ่ายโซเวียตจะเป็นผู้ริเริ่มโจมตีญี่ปุ่นเอง ถ้าฝ่ายเยอรมันต้องถูกบีบบังคับในสมรภูมิยุโรปหนักขึ้น ฝ่ายเยอรมันคงจะขอให้ญี่ปุ่นโจมตีรัสเซียเองในราวกลางปี ๒๔๘๕
ต่อคารมของจอมพล สตาลินนี้ นายอีเดนแย้งว่า ญี่ปุ่นอาจจะดำเนินนโยบายสู้ข้าศึกแยกเป็นราย ๆ ไป โดยอาจจะจัดการกับอังกฤษให้ราบคาบเสียก่อนแล้วจึงจะหันมาโจมตีสหภาพโซเวียต
จอมพล สตาลินโต้ว่า อังกฤษมิได้สู้กับญี่ปุ่นโดยลำพัง อังกฤษมีทั้งจีน เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรช่วยร่วมรบอยู่แล้ว
นายอีเดนอ้างว่า ในขณะนั้นญี่ปุ่นมุ่งหนักโดยเฉพาะทางด้านมลายู ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรไม่อยู่ในฐานะจะช่วยเหลืออังกฤษอย่างใดได้ สหภาพโซเวียตมีเรือดำนํ้าเป็นจำนวนมาก อาจจะช่วยอังกฤษในการควบคุมรักษาศักยภาพทางทะเลได้ดีขึ้น
จอมพล สตาลินยังคงเบี่ยงบ่ายไม่ยอมผูกมัดตัวอยู่นั่นเอง และขอร้องให้รอเรื่องไว้พิจารณากันใหม่ในโอกาสหน้า
ทางด้านเยอรมันก็เหมือนกัน อยากจะให้ญี่ปุ่นเปิดการศึกกับสหภาพโซเวียตในด้านตะวันออกไกลเพื่อบ่ายเบนกำลังของโซเวียตให้ถอนจากสมรภูมิด้านตะวันตกไปเพิ่มทางตะวันออกไกล แต่ฝ่ายญี่ปุ่นยังไม่ยอมทำตาม ตามข่าวกรองของฝ่ายทหารอังกฤษในเดือนมีนาคม ๒๔๘๕ ญี่ปุ่นจะเข้าโจมตีสหภาพโซเวียตก็ต่อเมื่อมีสัญญาณส่อให้เห็นว่า โซเวียตกำลังจะปราชัยในสงครามกับเยอรมัน แต่ถ้ามีสัญญาณว่า เยอรมันอาจจะพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ญี่ปุ่นอาจตัดสินใจเข้าช่วยเยอรมันก็ได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าสหภาพโซเวียตสามารถเอาชัยชนะต่อฝ่ายเยอรมัน ฝ่ายโซเวียตอาจจะถือโอกาสเข้าโจมตีญี่ปุ่นเองก็ได้สรุปแล้ว สงครามระหว่างโซเวียตกับญี่ปุ่นคงจะเกิดขึ้นแน่ เพียงแต่ยังไม่ทราบเมื่อใด
ต้องรอมาจนกระทั่งวันที่ ๕ เมษายน ๒๔๘๘ นายโมโลตอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหภาพโซเวียต ได้เชิญนายซาโต เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ณ กรุงมอสโก เข้าพบ เพื่อแจ้งให้ทราบว่า สัญญาความเป็นกลางที่โซเวียตเคยทำกับญี่ปุ่นไว้เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๘๔ ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่เยอรมันจะบุกเข้าสหภาพโซเวียตและก่อนเกิดสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น บัดนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก โดยเยอรมันได้เข้าโจมตีสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๔๘๔ และญี่ปุ่น ในฐานะพันธมิตรของเยอรมัน ได้มีส่วนช่วยเยอรมันในการทำสงครามกับโซเวียต และต่อมาญี่ปุ่นได้เปิดการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหภาพโซเวียตในยุโรป โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สัญญาความเป็นกลางระหว่างโซเวียตกับญี่ปุ่นสิ้นความหมายไป ฝ่ายโซเวียตจึงขอแจ้งให้ญี่ปุ่นทราบว่า รัฐบาลโซเวียตมีความประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเมื่อสิ้นอายุห้าปีตามความในข้อ ๓ ของสัญญา ทั้งนี้เป็นสัญญาณแรกที่แสดงว่า โซเวียตอาจจะตัดสินใจเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นทางฝ่ายสัมพันธมิตร

Edward Frederick Lindley Wood, 1st earl of Halifax
ที่มา : Britannica
วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๘๘ ลอร์ดแฮลิแฟ็กซ์ เอกอัครราชทูตอังกฤษ ณ กรุงวอชิงตัน โทรเลขหารือมาทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า เมื่อสงครามเสร็จสิ้นไปแล้วทางยุโรป ความสนใจจึงจะเปลี่ยนมุ่งไปสู่ตะวันออกไกล จึงเกิดปัญหาว่าจะพึงให้สหภาพโซเวียตเข้าสู่สงครามกับญี่ปุ่นหรือไม่ เพราะความเห็นทางกรุงวอชิงตันดูจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ถ้าโซเวียตกระโจนเข้าสู่สงครามกับญี่ปุ่น อาจจะทำให้สงครามในเอเชียสิ้นสุดได้เร็วขึ้น ช่วยถนอมชีวิตและเลือดเนื้อที่อาจจะต้องเสียต่อไปทางด้านสัมพันธมิตร ทั้งอาจจะป้องกันมิให้ฝ่ายอเมริกันจำต้องปฏิบัติการสู้รบในภาคพื้นเอเชีย แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับเห็นว่า สงครามกับญี่ปุ่นอาจจะสิ้นสุดลงโดยไม่จำต้องมีการแทรกแซงของฝ่ายโซเวียตก็ได้ และโซเวียตจะไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องอย่างใดภายหลังการปราชัยของญี่ปุ่น

เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล
นายกรัฐมนตรี เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศตอบเอกอัครราชทูต เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคมว่า อังกฤษปรารถนาจะให้โซเวียตเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุด แต่ก็ไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่อังกฤษจะต้องวิงวอนโซเวียต ซึ่งจะทำให้ต้องผ่อนปรนแก่โซเวียตในประโยชน์ตอบแทนด้านอื่น เช่น ในยุโรปกลางและในบัลข่าน โซเวียตคงจะเข้ามาเอง โดยฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ต้องเรียกร้องหรือวิงวอน
ต้นเดือนมิถุนายน เกิดความตึงเครียดขึ้นทางชายแดนแมนจูเรีย ทำให้ญี่ปุ่นต้องส่งกำลังทหารไปเพิ่มเติมด้านนั้น และนักการทูตคาดคะเนว่า ญี่ปุ่นอาจจะต้องเสียสละดินแดนบางส่วนที่เคยได้ไว้ภายหลับสงครามปี ๒๔๘๓ เพื่อป้องกันมิให้โซเวียตเข้าร่วมสงครามข้างฝ่ายสัมพันธมิตร
ปลายเดือนกรกฎาคม รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงส่งเจ้าชายโกโนเอ อดีตนายกรัฐมนตรีไปติดต่อขอให้โซเวียตรับทำการไกล่เกลี่ยให้หยุดรบระหว่างญี่ปุ่นกับฝ่ายสัมพันธมิตรดังกล่าวข้างต้น แต่จอมพล สตาลินตอบปฏิเสธไม่ยอมให้เจ้าชายโกโนเอเข้าพบ

Laos. Foreign Relations of the United States (four volumes about Laos: 1955-1957, Volume XXI; 1958-1960, Volume XVI; 1961-1963, Volume XXIV; 1964-1968, Volume XXVIII)
ที่มา : Office of the Historian. United States Department of State
กล่าวมาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าใคร่จะขอไขความเกี่ยวกับเบื้องหลังของการยอมจำนนของฝ่ายญี่ปุ่น ตามหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือ Foreign Relations of United States ปี ค.ศ. ๑๙๔๕ เป็นบันทึกการสนทนาระหว่างนายแม็กซ์ ดับบลิว. ปิชอบ แห่งสำนักที่ปรึกษาทางการเมืองของกองบัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรประจำญี่ปุ่น กับนายซาโกมิซุ ฮีซัตสุเน อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๘๘ มีข้อความสำคัญพอสรุปได้ว่า พลเอก ฮิเดกิ โตโจ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จนกระทั่งวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๘๗ ถัดจากนั้น พลเอก กุนิอากิ โกอิโช เข้าสืบเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ต่อมาหลังวันที่ ๕ เมษายน ๒๔๘๘ นายซูซุกิ ประธานคณะองคมนตรี ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีพลเรือนครั้งแรกระหว่างสงคราม นายซูซุกิเป็นผู้ใกล้ชิดกับสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นมาก เป็นผู้ที่สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงสามารถมีพระราชดำรัสด้วยอย่างไม่มีข้อขีดขั้น ภาระหน้าที่ประการแรกของรัฐบาลซูซุกิได้แก่การพิจารณาสถานการณ์อันแท้จริงของสงคราม นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการทหารเรือมีความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า ถ้าสงครามยืดเยื้อออกไป จะหมายถึงการทำลายประเทศญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง และเลยทำลายอารยธรรมของโลกด้วย ส่วนฝ่ายทหารบกยังเห็นสมควรให้ดำเนินการสงครามต่อไป
ในปลายเดือนมิถุนายน ๒๔๘๘ สมเด็จพระจักรพรรดิทรงเรียกประชุมนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เสนาธิการทหารบกและเสนาธิการทหารเรือ ทรงตั้งประเด็นให้พิจารณาว่า จะพึงกระทำอย่างใดเพื่อยุติสงคราม ที่ประชุมมีความเห็นว่า อาจกระทำได้สองวิธี วิธีแรกด้วยการติดต่อโดยตรงกับฝ่ายสัมพันธมิตร หรือมิฉะนั้นก็ทาบทามฝ่ายสัมพันธมิตรโดยอาศัยการไกล่เกลี่ยของประเทศที่สามหรือประเทศเป็นกลาง
ต้นเดือนกรกฎาคมเป็นอันตกลงให้ทาบทามฝ่ายสัมพันธมิตรโดยอาศัยสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นกลางอยู่ ญี่ปุ่นจะส่งผู้แทนพิเศษ คือ เจ้าชายโกโนเอ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกไปพบกับฝ่ายสหภาพโซเวียต รัฐบาลโซเวียตย้อนถามถึงวัตถุประสงค์ของการส่งผู้แทนพิเศษออกไปติดต่อ ฝ่ายญี่ปุ่นให้เอกอัคราชทูตที่มอสโกชี้แจงว่า เพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรีระหว่างญี่ปุ่นกับโซเวียต และเพื่อปรึกษาหารือให้สหภาพโซเวียตช่วยหาทางระงับสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ฝ่ายโซเวียตไม่ตอบญี่ปุ่น แล้วจอมพล สตาลินและนายโมโลตอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกเดินทางไปประชุมกับฝ่ายสัมพันธมิตรที่เมืองพ็อทส์ดัม อันเป็นการประชุมที่ฝ่ายสัมพันธมิตรประกาศเงื่อนไขที่ญี่ปุ่นจะต้องรับเพื่อยุติการสงครามเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม
ญี่ปุ่นจึงตระหนักว่า การจะอาศัยโซเวียตคงจะหมดหวังเสียแล้ว รัฐบาลซูซุกิพิจารณาปฏิญญาเมืองพ็อทส์ดัมเห็นว่า เป็นมูลฐานที่พอจะยอมรับได้ แม้ฝ่ายทหารบกจะสิ้นความแน่ใจในความสามารถที่จะดำเนินการศึกต่อไป แต่ก็ไม่ทราบว่าจะเลิกสงครามได้อย่างใด เพราะตอนนั้น ประเทศญี่ปุ่นเทียบได้กับรถจักรยานที่แล่นลงเขาโดยไม่มีห้ามล้อ ทางรัฐบาลจะต้องสรรหาเหตุผลที่จะทำให้ทหารบกมองเห็นความจำเป็นต้องยุติสงครามและยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ประจวบกับเป็นเวลาที่ฝ่ายอเมริกันทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกลงที่เมืองฮิโรชิมา รัฐบาลคิดจะอาศัยฮิโรชิมาเป็นเครื่องยันให้ฝ่ายทหารบกยินยอม แต่ฝ่ายทหารบกยังอ้างว่า ระเบิดที่ฮิโรชิมานั้นอาจจะมิใช่ระเบิดปรมาณู หากเป็นเพียงระเบิดที่ใหญ่กว่าธรรมดาเท่านั้น
รัฐบาลญี่ปุ่นมอบให้ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์คณะหนึ่งออกไปตรวจการที่เมืองฮิโรชิมา ได้รับรายงานเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ยืนยันว่าเป็นระเบิดปรมาณูจริง ในวันเดียวกันนั้นตอนเช้า สหภาพโซเวียตประกาศสงครามกับญี่ปุ่นและส่งกองทหารไปปฏิบัติการในแมนจูเรีย
นายกรัฐมนตรีซูซุกิเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิเช้าวันนั้น ทรงเห็นชอบด้วยว่า ควรจะเลิกสงครามได้ตามมูลฐานของคำขาดพ็อทส์ดัม นายกรัฐมนตรีจึงเชิญประชุมรัฐมนตรีและเสนาธิการทหารทั้ง ๖ อีกครั้งหนึ่ง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยินยอมให้รับคำขาดพ็อทส์ดัม โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องคงรักษาระบบสมเด็จพระจักรพรรดิไว้ ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและเสนาธิการทหารทั้งสองเห็นควรเพิ่มเงื่อนไขอีก ๒ ข้อว่า กำลังทหารสัมพันธมิตรจะไม่เข้ายึดครองญี่ปุ่น ฝ่ายญี่ปุ่นจะเรียกกาลังทหารในต่างประเทศกลับเอง และจะไม่มีพิธียอมจำนนในต่างประเทศ มีการประชุมคณะรัฐมนตรีในตอนบ่าย แต่ยังไม่สามารถตกลงอย่างใดโดยเด็ดขาด นายกรัฐมนตรีจึงขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิอีกวาระหนึ่งเมื่อเวลา ๒๓.๐๐ นาฬิกา ตามปกติ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในวงการรัฐบาล สมเด็จพระจักรพรรดิไม่ทรงเกี่ยวข้อง แต่สำหรับคราวนี้ นับเป็นกรณีพิเศษ เมื่อทางรัฐบาลตกลงกันไม่ได้ ก็ถวายให้เป็นพระราชภาระของสมเด็จพระจักรพรรดิที่จะทรงมีพระราชวินิจฉัยด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรก
รุ่งขึ้นวันที่ ๑๐ สิงหาคม รัฐบาลญี่ปุ่นสั่งให้ทูตที่กรุงเบอร์นติดต่อกับรัฐบาลอเมริกาขอหย่าศึก วันที่ ๑๔ ประธานาธิบดีทรูแมนประกาศแถลงต่อประชาชนชาวอเมริกาและชาวโลกว่า รัฐบาลญี่ปุ่นยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขแล้ว เพื่อเป็นการขอขมาต่อพวกนิยมทหารที่ยังไม่เห็นด้วยกับการยอมจำนน พลเอก โกเรชิกะ ฮานามิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทำอัตวินิบาตกรรมแบบซามูไรเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ดีกว่าที่จะรอไปขึ้นศาลอาชญากรสงคราม เป็นอันว่าสงครามสิ้นสุดลง มีการลงนามในเอกสารสงบศึกบนเรือประจัญบานมิสซูรี่ในอ่าวโตเกียว เมื่อวันที่ ๒ กันยายน และอีกสิบวันต่อมา ญี่ปุ่นลงนามในสัญญายอมแพ้กับฝ่ายอังกฤษที่สิงคโปร์
เมื่อญี่ปุ่นจำต้องยอมรับข้อกำหนดของพ็อทส์ดัมกับยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข เอกอัครราชทูตยามาโมโตได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้แจ้งฝ่ายไทยทราบตามบทบัญญัติของกติกาพันธไมตรีระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งห้ามมิให้ภาคีสัญญาแยกทำสันติภาพ และเปิดโอกาสให้รัฐบาลไทยดำเนินมาตรการใด ๆ เพื่อคุ้มครองตนเองได้โดยปรึกษาหารือกับญี่ปุ่น
รุ่งขึ้นเช้าวันที่ ๑๗ พลโท นากามูระพร้อมด้วยเอกอัครราชทูตยามาโมโตได้เข้าพบผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่ออธิบายว่า เหตุใดฝ่ายญี่ปุ่นจึงไม่ยินยอมตามคำขอของฝ่ายไทยที่จะทำการปลดอาวุธกองกำลังทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ญี่ปุ่นจะต้องเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งสองคนขอบคุณผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ได้เคยให้ความกรุณาปรานีเสมอมา และแสดงความหวังว่า มิตรสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นจะจำเริญสืบไปในอนาคต หลังจากนั้นมีการมอบของที่ระลึกให้แก่กัน
คืนวันที่ ๑๘ นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ จัดงานรับรองใหญ่ที่สวนอัมพร โดยได้เชิญแขกญี่ปุ่นกว่า ๑๐๐ คนมาร่วม มีการกล่าวคำปราศรัยต่อกันยืนยันในความเชื่อมั่นว่า ญี่ปุ่นจะกลับฟื้นฟูขึ้นใหม่โดยแน่นอน

การยอมจำนนของญี่ปุ่น
ในรายงานฉบับแรกที่มีถึงรัฐบาลญี่ปุ่นภายหลังการยอมจำนน เอกอัครราชทูตยามาโมโต กล่าวถึงประชาชนชาวไทยว่า แต่เริ่มแรกแล้ว ดูไม่สู้ตระหนักว่า ไทยอยู่ในภาวะสงคราม และรู้สึกปรีดาปราโมทย์เมื่อสงครามได้สิ้นสุดลง ก่อนที่ความเสียหายใหญ่หลวงจะบังเกิดขึ้นแก่ราชอาณาจักร เฉพาะอย่างยิ่งแก่กรุงเทพมหานคร ท่าทีของฝ่ายสัมพันธมิตรที่จะมีต่อประเทศไทยยังไม่สู้จะแจ่มแจ้งเท่าใดนัก คนไทยจึงคงสงวนความรู้สึกที่ดีต่อท่าทีของฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งแสดงออกแน่ว่า ไทยจะต้องแสวงหามาตรการของไทยเองเพื่อยุติภาวะสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร
ญี่ปุ่นปราชัยแล้วอย่างเด็ดขาดในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในสงครามที่ความจริงญี่ปุ่นได้ก่อขึ้นเมื่อกว่า ๑๐ ปีก่อน นับแต่เริ่มคิดขยายตัวเข้าไปในแมนจูเรียและในประเทศจีน จนกระทั่งต้องมาฝ่าวงล้อมบีบบังคับของประเทศ เอ.บี.ซี.ดี. ญี่ปุ่นได้ทุ่มเททั้งกำลังผู้คน กำลังเศรษฐกิจ และกำลังอาวุธ ในการต่อสู้กับเหล่าจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นแสดงให้โลกเห็นว่า ชนชาวเอเชียไม่ย่อยเหมือนกัน สามารถขับไล่กองกำลังมหาศาลของฝ่ายตะวันตกให้ล่วงพ้นไปจากดินแดนเอเชีย ที่ตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของต่างชาติในรูปแบบต่าง ๆ ญี่ปุ่นได้ชัยชนะแบบสายฟ้าแลบทุกแห่งหนที่กองทัพของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัยผ่านไปถึง แต่ในที่สุดญี่ปุ่นก็ต้องยอมศิโรราบต่อการรวมตัวของฝ่ายสหประชาชาติ พันธมิตรของญี่ปุ่นในยุโรปต่างยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขไปนานแล้ว ญี่ปุ่นยังคงขับสู้ต่อโดยลำพังประเทศเดียวอย่างไม่ย่อท้อ จะมาสิ้นอิทธิฤทธิ์ก็เมื่อโดนระเบิดปรมาณูสองลูกซ้อน จึงตระหนักว่าไม่มีทางจะขืนสู้ต่อไป ญี่ปุ่นถูกบีบบังคับในฐานะผู้แพ้สงครามอย่างไม่ปรานี แสนยานุภาพของชาติต้องถูกทำลายโดยสิ้นเชิง ระบบนิยมทหารถูกเลิกล้มอย่างถอนรากถอนโคนกำลังทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในด้านสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ถูกจำกัดตัดทอนจนไม่เหลือหลอ ระบบการปกครองต้องได้รับการปฏิวัติอย่างไม่ไว้หน้า สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้นที่ยังคงอยู่ต่อไปบนราชบัลลังก์ ภายใต้รัฐธรรมนูญที่จัดร่างขึ้นใหม่โดยเคร่งครัด มิใช่เครื่องยึดเหนี่ยวเทิดทูนบูชาของคนในชาติอีกต่อไป สหประชาชาติร่วมกันวางมาตรการเข้มงวดป้องกันมิให้ญี่ปุ่นก่อร่างสร้างพลานุภาพขึ้นใหม่ อันอาจจะเป็นภัยแก่ภายนอกอย่างที่เป็นมา วงไพบูลย์ร่วมกันที่ญี่ปุ่นคิดสร้างโดยอาศัยกำลังอาวุธนำทางเป็นอันสลายตัวดุจสัตว์มีพิษน่าขยะแขยงและสะพรึงกลัว ผู้นำของญี่ปุ่นหลายต่อหลายคน ต้องตราหน้าเป็นอาชญากรสงครามนำขึ้นศาลที่ฝ่ายสหประชาชาติอาศัยอำนาจผู้ชนะเสกสรรค์จัดตั้งขึ้น ต้องโทษถึงประหารชีวิตไปไม่น้อย
แต่ความเสียสละของญี่ปุ่นใช่จะสูญเสียเปล่าก็หาไม่ ญี่ปุ่นก่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่า โลกเรานี้มิใช่โลกตะวันตกเท่านั้น ตะวันออกก็มีความสำคัญเท่าเทียมได้ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิทยาการ ญี่ปุ่นก่อให้เกิดจิตสำนึกแก่บรรดานานาชาติในเอเชียว่า ตนมิใช่สนามว่างที่จะรอให้ชาติอื่นมาขุดคุ้ยค้นหาประโยชน์ไปใช้อย่างไม่ละอายแก่ใจ มิใช่ที่สะสมแรงงานถูก ๆ อันจะนำไปใช้สร้างสวรรค์วิมานให้แก่ชาติอื่นที่ห่างไกลชาติในเอเชียไม่ยอมรับพันธะที่ไม่เป็นธรรม สลัดแอกที่เคยครอบงำแต่กาลก่อน กลับฟื้นคืนตัวกู้เอกราชและอธิปไตยให้มีความเป็นอยู่ของตนเองอย่างอิสระ เพียงเวลาไม่กี่ปีเหตุการณ์กลับหน้ามือเป็นหลังมือ ตะวันรอนแล้วก็จริง แต่ดวงอาทิตย์กลับอุทัยขึ้น ในปัจจุบันมีการวอนไหว้ให้ญี่ปุ่นเข้ามาช่วยพัฒนา ถึงกับหลับหูหลับตา ร้องให้ญี่ปุ่นเสริมสร้างกำลังทหารให้มีสมรรถภาพสูงยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์แห่งความไพบูลย์พูนสุขและความมั่นคงร่วมกัน เป็นการยืนยันคติพจน์ที่ว่า ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูแน่ มีแต่ผลประโยชน์ที่เป็นข้อคำนึงอันสำคัญ
หมายเหตุ :
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “อวสานของสงครามภาคแปซิฟิก”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 269-280.
บรรณานุกรม :
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “อวสานของสงครามภาคแปซิฟิก”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 269-280.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 1 : สงครามโลกครั้งแรก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 2 : สงครามโลกครั้งที่ ๒
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 3 : วิเทโศบายของไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 4 : การเรียกร้องดินแดนคืน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 5 : การรักษาความเป็นกลางของประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 6 : ประเทศไทยเข้าสงครามข้างญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 7 : ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในญี่ปุ่น ภาค 1 การต่างประเทศไทย หลัง ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในประเทศญี่ปุ่น ภาค 2 ภารกิจหลังการตั้งกระทรวงกิจการมหาเอเชียบูรพา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 9 : ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 10 : เสรีไทยเข้าประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 11 : ท่าทีของอังกฤษต่อประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 12 : ความคลี่คลายของเหตุการณ์ภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 13 : ความพยายามติดต่อทางการเมืองกับอังกฤษ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 14 : นายสุนี เทพรักษา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 15 : การกระชับงานต่อต้าน
- กนต์ธีร์ ศุภมงคล
- ปรีดี พนมยงค์
- อดุล อดุลเดชจรัส
- แฮร์รี เอส. ทรูแมน
- ดักลาส แม็กอาเธอร์
- เจียงไคเช็ค
- สตาลิน
- วินสตัน เชอร์ชิล
- โกเรชิกะ ฮานามิ
- ซูซุกิ คันทาโร
- ฮิเดกิ โตโจ
- ควง อภัยวงศ์
- ลอร์ดเมานต์แบตตัน
- การวิเทโศบายของไทย
- สงครามโลกครั้งที่ 2
- สงครามภาคแปซิฟิก
- ญี่ปุ่นยอมแพ้
- ฮิโรชิมา
- นางาซากิ
- ปฏิญญาไคโร
- ระเบิดปรมาณู
- สหภาพโซเวียต
- สหรัฐอเมริกา
- พ็อทส์ดัม
- เสรีนิยม
- ฝ่ายอักษะ
- ฝ่ายสัมพันธมิตร
- ระเบียบโลก