ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

92 ปี อภิวัฒน์สยาม : บทเรียน 2475 ผ่านมุมมอง ของ ปรีดี พนมยงค์

17
มิถุนายน
2567

บทเรียนจากประวัติศาสตร์: การต่อสู้เพื่อความจริงและประชาธิปไตย ท่ามกลางการบิดเบือนและลบเลือนข้อเท็จจริง
 

สังคมไทยต้องเผชิญกับความพยายามในการลบเลือนและบิดเบือนประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญอยู่เสมอ เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นับเป็น "การอภิวัฒน์" (Revolution) ครั้งสำคัญเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ชาติไทยยุคใหม่ ที่ส่งผลต่อรากฐานทางสังคมอย่างกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สถาปัตยกรรม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ตลอดจนอุดมการณ์และค่านิยมประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม หลักฐานและความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้กำลังถูกลดทอนและบิดเบือนอย่างไม่เคารพต่อความจริงและคุณค่าของการเปลี่ยนแปลง

กระแสการใส่ร้ายโจมตีคณะราษฎรด้วยข้อกล่าวหาเดิม ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับประชาชน เพื่อทำลายอุดมการณ์และความทรงจำของสังคม แล้วเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นผลจากกระแส "การโต้อภิวัฒน์" (Counter-Revolution) ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตลอด 92 ปี

ปรีดี พนมยงค์ เป็นหนึ่งในผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 และเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการโจมตีบิดเบือนข้อเท็จจริงมาโดยตลอด ท่านได้เสนอแนวทางในการศึกษาและวิเคราะห์ประวัติศาสตร์เพื่อให้คนรุ่นหลังเข้าใจข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง ไว้ดังนี้

  1. ใช้หลักคิดทางวิทยาศาสตร์ 6 ประการ เป็นเครื่องมือในการพิจารณาข้อมูล ได้แก่ จิตใจสังเกต, จิตใจมาตรฐาน, จิตใจค้นคว้าหาหลักฐานและเหตุผล แล้วใช้ความคิดทางตรรกวิทยาที่ตั้งต้นจากสามัญสำนึก (Common Sense), จิตใจพิเคราะห์วิจารณ์, จิตใจปราศจากอคติ และ จิตใจที่มีความคิดเป็นระเบียบ
  2. จำแนกประเภทของหลักฐาน แยกแยะระหว่างบันทึกส่วนบุคคลและเอกสารทางราชการ โดยพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาและบริบททางประวัติศาสตร์
  3. วิเคราะห์การวิพากษ์วิจารณ์คณะราษฎรอย่างเป็นกลาง พิจารณาว่ามีความลำเอียงหรือไม่ ด้วยการเปรียบเทียบมาตรฐานการวิจารณ์กับฝ่ายตรงข้าม


สังคมไทยควรเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ทั้งด้านบวกและด้านลบ รวมถึงพัฒนาการของประชาธิปไตยที่ผ่านมา เพื่อหลีกเลี่ยงวงจรของการสืบทอดอำนาจ รัฐประหาร การฉีกรัฐธรรมนูญ และความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่มีที่สิ้นสุด (Breaking The Cycle) ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย การเรียนรู้จากอดีตจะช่วยให้เราเข้าใจที่มาของปัญหาและสามารถร่วมกันสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในอนาคตได้

 

บทเรียนที่สอง: การแก้ไขข้อผิดพลาดของคณะราษฎร เพื่อเอกภาพประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
 

จากคำกล่าวของปรีดี พนมยงค์ ในช่วงบั้นปลายชีวิตที่ว่า "ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ" สะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดสำคัญของคณะราษฎร คือ การไม่สามารถรักษาชัยชนะก้าวแรกไว้ได้

เมื่อคณะราษฎรประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบ "ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย" ในปี พ.ศ. 2475 สมาชิกส่วนใหญ่ยังขาดประสบการณ์ทางการเมือง เกิดความขัดแย้งแตกแยกภายใน และไม่ได้เตรียมการรับมือกับ “การโต้กลับการอภิวัฒน์”  ทำให้พลังของระบอบเก่าสามารถฟื้นคืนกลับมาและทำลายความสำเร็จในระยะแรกได้

ปรีดีมองว่าความผิดพลาดของคณะราษฎรมีสาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งแตกแยกทางความคิด ซึ่งเกิดจากความแตกต่างในระดับจิตสำนึก ความเห็นแก่ตัว และทัศนคติทางสังคม เมื่อได้รับชัยชนะแล้ว สมาชิกบางส่วนกลับถอยหลังหรือไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็น

จุดอ่อนสำคัญ 4 ประการของคณะราษฎร ที่ปรีดี พนมยงค์ สรุปไว้คือ:

  1. ขาดความเข้าใจในกฎแห่งความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้ไม่สามารถป้องกันการฟื้นคืนของแนวคิดเผด็จการจากสมาชิกบางส่วน ซึ่งเป็นการ "โต้อภิวัฒน์" (Counter-Revolution)
  2. มุ่งเน้นทางยุทธวิธีเพียงอย่างเดียว คือการยึดอำนาจรัฐ โดยไม่ได้วางแผนการรักษาอำนาจและป้องกันการโต้กลับอย่างรอบคอบ
  3. ขาดความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติและการสื่อสารกับประชาชน แม้จะมีความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างชาติ แต่ก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ความผิดพลาดในการดึงขุนนางเก่าเข้ามาร่วมงาน โดยคาดหวังว่าพวกเขาจะปรับตัวเข้ากับระบอบใหม่ได้มากกว่าความเป็นจริง นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงจนต้องมีการปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญ
     

บทเรียนจากอดีตสู่การสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน:

ปรีดี พนมยงค์ เสนอว่า พรรคการเมืองควรเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ เพื่อหาแนวทางในการจัดการความขัดแย้งภายในและรักษาอุดมการณ์ของพรรคไว้ โดยยกตัวอย่างพรรคการเมืองที่สามารถดำรงอยู่ได้แม้จะมีความขัดแย้งภายใน เพราะยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยและหมั่นสำรวจตนเองเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด

นอกจากนี้ ปรีดียังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณาลักษณะนิสัยและทัศนคติของบุคคลที่จะเข้ามาร่วมงาน เพื่อป้องกันการบั่นทอนความสำเร็จที่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลง

บทเรียนจากความผิดพลาดของคณะราษฎรนี้ สามารถเป็นแนวทางให้คนรุ่นหลังไม่ทำผิดซ้ำอีก และร่วมกันสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติ

ความเป็นเอกภาพในขบวนการประชาธิปไตย:

จากประวัติศาสตร์ของคณะราษฎร เราได้เรียนรู้ว่าความเป็นเอกภาพในขบวนการประชาธิปไตยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ความแตกแยกภายในขบวนการไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดความอ่อนแอ แต่ยังเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าแทรกแซงและบั่นทอนความพยายามในการสร้างประชาธิปไตย

เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน เราจำเป็นต้องสร้างความเป็นเอกภาพในขบวนการประชาธิปไตย โดยยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย เคารพความเห็นต่าง และร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายร่วมกัน การสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถก้าวข้ามความแตกแยกและร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีกว่าได้

ดังที่ ปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวไว้ว่า "ความต้องการเบื้องต้นที่ตรงกันคืออะไร แล้วสถาปนาความสามัคคีตามพื้นฐานนั้นก่อน" นี่คือหัวใจสำคัญของการสร้างเอกภาพในขบวนการประชาธิปไตย เราต้องหาจุดร่วมที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน แล้วร่วมมือกันบนพื้นฐานนั้นก่อนที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า

 

บทเรียนที่สาม: ประชาธิปไตย (ยังไม่) สมบูรณ์: มุมมองของปรีดี ต่อประชาธิปไตยที่แท้จริงและหนทางสู่ความสมบูรณ์
 

ตามทรรศนะของปรีดี พนมยงค์ ประชาธิปไตยที่แท้จริง ต้องเป็น "ประชาธิปไตยสมบูรณ์" ที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่ใช่เพียงแค่การเมือง แต่รวมถึงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมด้วย โดยมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งจะนำไปสู่ประชาธิปไตยทางการเมืองที่เข้มแข็ง และ ทัศนทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ที่ส่งเสริมค่านิยมและวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม ปรีดีเตือนให้ระวังการใช้สิทธิเสรีภาพในทางประชาธิปไตยด้วยว่า “ประชาธิปไตยที่แท้จริง ต้องมีทั้งระเบียบ กฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต” การใช้เสรีภาพเกินขอบเขต อาจนำไปสู่ “อนาธิปไตย” ซึ่งเป็นภัยต่อสังคมและประเทศชาติ การปกครองโดยสามัคคีธรรม จึงสำคัญต่อประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
 

อุปสรรคและความท้าทายบนเส้นทางสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์

ตลอด 92 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายในการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ นอกจากความพยายามในการโต้กลับการอภิวัฒน์ ซึ่งทำให้พัฒนาการทางประชาธิปไตยต้องหยุดชะงักแล้ว ปัญหาสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ถูกละเมิด การใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ และการบิดเบือนหลักนิติรัฐ ทำให้สังคมไทยยังคงห่างไกลจากประชาธิปไตยที่เท่าเทียมและเป็นธรรม

ปรีดี พนมยงค์ ได้วิเคราะห์ถึงวิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นหากประเทศไทยยังอยู่ในวังวนเดิม และเสนอ สี่แนวทางหลัก ในการพัฒนาประเทศสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ดังต่อไปนี้

  1. พัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นประชาธิปไตย : สร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ
  2. พัฒนาการเมืองประชาธิปไตยสมานกับรากฐานเศรษฐกิจประชาธิปไตย : สร้างระบบการเมืองที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน โดยมีรากฐานจากเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
  3. พัฒนา "คติธรรมประชาธิปไตย" : ปลูกฝังค่านิยมประชาธิปไตย เช่น การเคารพสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และหลักนิติธรรม ให้เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตของประชาชน
  4. พัฒนา "วิธีประชาธิปไตย" : สร้างกลไกและกระบวนการต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจต่าง ๆ


พลังประชาชน : กุญแจสำคัญสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์

ปรีดี พนมยงค์ ย้ำว่า เศรษฐกิจเป็นรากฐานของสังคม การเมืองและวัฒนธรรม เป็นโครงสร้างส่วนบนที่ต้องค้ำจุนกัน รัฐธรรมนูญที่สอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจ จะช่วยป้องกันวิกฤตการณ์ทางสังคม และนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างสันติ ในทางกลับกัน รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นธรรมจะนำไปสู่ความขัดแย้งและการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของกลุ่มอภิสิทธิ์ชน

ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ปรีดีเน้นย้ำถึงความสำคัญของพลังประชาชนที่มีการจัดตั้งอย่างเข้มแข็ง มีวินัย ความเสียสละ และยึดมั่นในทัศนะประชาธิปไตยสมบูรณ์ การรวมพลังของประชาชนจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่

หากรัฐธรรมนูญไม่สอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจ วิกฤตการณ์ก็ต้องเกิดขึ้นตามกฎแห่งความขัดแย้ง ชนชั้นใดมีอำนาจทางเศรษฐกิจ ชนชั้นนั้นก็อาศัยอำนาจทางเศรษฐกิจ เข้าครอบงำอำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเอง รัฐธรรมนูญจึงเป็นไปตามความต้องการของพวกเขา เพื่อใช้กดขี่คนส่วนมากของสังคมให้จำต้องปฏิบัติตาม

 

บทสรุปบทเรียนจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย: การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ไม่สิ้นสุด
 

การศึกษาปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างรอบด้านด้วยหลักวิชาที่ถูกต้อง ช่วยให้เราเข้าใจถึงแก่นแท้ของการปกครองที่ดีและเลว ตลอดจนผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน การเรียนรู้จากความผิดพลาดและความขัดแย้งในอดีต เช่น บทเรียนจากคณะราษฎร จะเป็นกุญแจสำคัญในการหลีกเลี่ยงการทำผิดซ้ำ และนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืน

ในขณะเดียวกัน เราควรให้ความเป็นธรรมและมองคุณูปการของคณะราษฎรในบริบทของยุคสมัย ไม่ใช่ตัดสินเพียงความสำเร็จหรือล้มเหลว ด้วยมุมมองปัจจุบัน พวกเขาได้หว่านเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยให้ชนรุ่นหลังได้สานต่อ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องได้เสียทั้งหมด แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ประชาชนต้องมีอำนาจสูงสุดในการปกครอง

หลัก 6 ประการของคณะราษฎร สะท้อนเจตนารมณ์ในการมอบอำนาจสูงสุดให้ประชาชน และสร้างความผาสุกทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วยึดอำนาจมาเป็นของตนเอง หรือการเป็นคอมมิวนิสต์ ฯลฯ แม้เผชิญความขัดแย้งและการต่อต้าน คณะราษฎรก็ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ และประสบความสำเร็จในหลายด้าน อาทิเช่น

  • การสถาปนาปฐมรัฐธรรมนูญ และผลักดันไปสู่รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมากที่สุด เป็นผลสำเร็จ คือ ฉบับ พ.ศ. 2489
  • สถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษา และให้ความรู้แก่ราษฎรในการปกครองระบอบใหม่
  • การแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับต่างชาติ เพื่อให้ชาติไทยมีเอกราชสมบูรณ์
  • การยกเลิกภาษีที่ไม่เป็นธรรม สถาปนาประมวลรัษฎากร และธนาคารชาติ เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
     

ปัจจุบัน พลังอำนาจนิยมจารีต และปฏิปักษ์คณะราษฎร ยังคงใช้ยุทธวิธีเดิม ๆ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงอ่อนแอจากการถูกจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิปัญญา

บทเรียนสำคัญคือ การยึดอำนาจรัฐและร่างรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เราต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดของคนส่วนใหญ่ให้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ อย่างแท้จริง

ประชาชนต้องร่วมมือกันสร้างองค์กรและเครือข่ายให้เข้มแข็งทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อ "ปกป้องการอภิวัฒน์" และนำพาสังคมไทยให้หลุดพ้นจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง ที่วนเวียนซ้ำรอยเดิม ๆ สู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้บรรลุผลสำเร็จ

หลักปรัชญา "กฎแห่งอนิจจัง" ที่ ปรีดี พนมยงค์ ยกมาอธิบายความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ชี้ให้เห็นว่าสิ่งใหม่ที่ดีกว่าย่อมเข้ามาแทนที่สิ่งเก่าเสมอ ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ถาวร แม้ระบบเก่าอาจดูเหมือนฟื้นคืนชีพ แต่เป็นเพียงชั่วคราวตามวิถีการต่อสู้ระหว่างระบบเก่าและใหม่

เราเชื่อว่าในที่สุด ไม่มีอะไรขวางกงล้อประวัติศาสตร์และหลีกหนีกฎแห่งอนิจจังได้ การพัฒนาประชาธิปไตยจะเดินหน้าต่อไปเมื่อประชาชนตื่นรู้มากขึ้น และไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งเจตจำนงของประชาชนได้

 


ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน 92 ปี อภิวัฒน์สยาม | PRIDI Talks #26 “เอกภาพขบวนการประชาธิปไตย สู่ ประชาธิปไตยสมบูรณ์ : จากบทเรียน 2475 สู่ อนาคต”

ในวันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน 2567 เวลา 13.30 น.-17.00 น. ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

เนื่องด้วยในวันที่ 24 มิถุนายน 2567 เป็นวันครบรอบ 92 ปี แห่งการอภิวัฒน์สยาม (24 มิถุนายน 2475) สถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้กำหนดจัดงานเสวนาวิชาการในหัวข้อ “เอกภาพขบวนการประชาธิปไตย สู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ : จากบทเรียน 2475 สู่อนาคต” เพื่อสร้างความร่วมมือให้เกิดความเป็นเอกภาพในขบวนการประชาธิปไตย และถอดบทเรียนจาก 2475 สู่อนาคต รวมถึงสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สังคม ให้ตระหนักถึงความสำคัญและเจตนารมณ์แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475


ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม : https://pridi.or.th/th/register/pridi-talks-26

กดสนใจหรือเข้าร่วมเพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อกิจกรรมเริ่มต้นขึ้นได้ที่ : https://web.facebook.com/share/NpBVHVkVQ7BDLK3R/

กิจกรรมนี้มีถ่ายทอดสดทาง FB Live สถาบันปรีดี พนมยงค์ : https://www.facebook.com/pridibanomyonginstitute