ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ : “เล่นการเมือง” (ตอนที่ 16)

24
สิงหาคม
2567

ต้นฉบับของตอน “เล่นการเมือง” ที่ถูกเขียนด้วยลายมือของกุหลาบ สายประดิษฐ์

 

ในเมืองไทย คำว่า “เล่นการเมือง” เปนคำที่ชอบใช้กันอยู่เสมอและเปนคำที่ชวนให้เข้าใจผิดในฐานะของบุคคลต่าง ๆ เช่นว่า เมื่อพลเมืองผู้ใดสนใจในเหตุการณ์บ้านเมือง และอภิปรายปัญหาการบ้านเมือง พลเมืองผู้นั้น ก็มักถูกกล่าวถึงว่าเปนผู้ “เล่นการเมือง” เมื่อนักศึกษาหรือผู้รู้ ตลอดจนนักเขียนอธิบายปัญหาการเมือง, อธิบายวิชาการเมือง ท่านเหล่านั้นก็จะถูกกล่าวถึงว่า เปนผู้ ‘เล่นการเมือง’ และเมื่อผู้ใดสมัครเปนผู้แทนราษฎร หรือสมัครเปนนักการเมือง ผู้นั้นก็ถูกกล่าวถึงว่า ‘เล่นการเมือง’ เหมือนกัน ด้วยเหตุเช่นนั้น เมื่อมีเหตุการณ์เปรี้ยงปร้างในทางการเมืองเกิดขึ้น ไม่ว่าบุคคลประเภทใด ก็มักจะถูกเข้าใจไปว่าเปนนักการเมืองและเปนพวก ‘เล่นการเมือง’ กันไปหมด ความเดือดร้อนวุ่นวายจึงแผ่คลุมไปในบุคคลทุกประเภท ไม่เลือกว่าเปนนักการเมืองหรือไม่เปน เพราะเหตุที่ใช้ถ้อยคำพูดกันไปโดยไม่เข้าใจความหมายและไม่จำกัดความหมาย.

ผลที่ประเทศได้รับก็คือ เพื่อที่จะหลีกจากรำคาญ หรือจากภัยอันจะถูกหาว่า ‘เล่นการเมือง’ พลเมืองผู้ใจในกิจการบ้านเมือง ก็เลิกใฝ่ใจ นักศึกษา และนักเขียนผู้ประสงค์จะอภิปรายปัญหาการเมืองหรืออธิบายเหตุการณ์เมือง ก็ไม่ปฏิบัติกิจดังว่า เมื่อผลเปนดังนี้ประชาราษฎร์จะมีโอกาสได้รับการฝึกฝนในทางการปกครองอย่างไรและประเทศจะปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร.

หลายปีมาแล้ว มีเหตุการณ์ร้าวฉานทางการเมือง นักหนังสือพิมพ์บางคน ได้พลอยรับเคราะห์ ถูกนำตัวไปสอบสวน และถูกจับเข้าไปนอนตรางอยู่หลายวัน นักหนังสือพิมพ์ผู้หนึ่ง ได้มาเล่าให้ฟังว่า นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้ให้โอวาทแก่เขาว่า เมื่อรักจะทำหนังสือพิมพ์ ก็ควรที่จะตั้งหน้าทำหนังสือพิมพ์ไปถ่ายเดียว เหตุไฉนมาริเล่นการเมืองให้เปลืองตัว ได้ถ้าลำบากโดยใช่เหตุ นักหนังสือพิมพ์ผู้นั้น ไม่สู้จะเข้าใจโอวาทของท่านนายตำรวจผู้นั้นนัก จึงถามว่า ที่ว่าให้ตั้งหน้าตั้งตาทำหนังสือพิมพ์ไปถ่ายเดียว แลไม่ให้มาริเล่นการเมืองนั้นคืออย่างไร. ท่านนายตำรวจใหญ่ผู้นั้นให้อรรถาธิบายว่า เมื่อจะทำหนังสือพิมพ์ ก็ควรจะลงแต่เรื่องจีน ทำความบันเทิงให้แก่ผู้อ่าน และจะแถมข่าวจำพวกตีหัวหมาปาหัวเจ๊กบ้างก็พอแล้ว การออกความเห็นเกี่ยวข้องกับเรื่องการบ้านเมืองนั้น เปนสิ่งไม่บังควรกระทำ เพราะเปนการแสดงว่า นำตัวเข้าไปยุ่มย่ามกับการเมือง ซึ่งไม่ใช่กิจของหนังสือพิมพ์. ทัศนะเช่นนี้ ซึ่งปรากฏออกมาจากวงการของฝ่ายปกครองเมื่อหลายปีแล้ว แสดงให้เห็นว่า ได้ตีความเข้าใจผิดกันมาอย่างไรในความหมายของคำว่าเล่นการเมือง.

ในต่างประเทศ พวกนักเขียนและบัณฑิตย์ ได้แสดงความคิดเห็นและชี้แจงเหตุการณ์เมืองอยู่เปนนิจ โดยไม่เคยถูกเข้าใจว่าเปนผู้ ‘เล่นการเมือง’ หรือเปนนักการเมืองเลย. ขณะเขียนบทความเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีหนังสือพิมพ์รายวันแมนเชสเตอกาเดียนอยู่ใกล้มือ ได้ลองพลิกดู นอกจากประกาศแจ้งความ ก็พบแต่บทความเห็นและรายงานเหตุการณ์เมือง ทั้งในและต่างประเทศเต็มไปทั้งฉบับ ถึงแม้เช่นนั้นคณะนักเขียนหรือคณะบรรณาธิการของแมนเชสเตอกาเดียนก็อยู่คนละตำแหน่งแห่งที่กับนักการเมือง หรือการ ‘เล่นการเมือง’. ในต่างประเทศ พลเมืองที่ไปฟังการอภิปรายเรื่องการเมือง หรือเข้าร่วมอภิปรายเรื่องการเมือง ก็ได้รับสรรเสริญว่าเปนผู้เอาใส่ในกิจการของประเทศ และก็ไม่ได้ทำให้เขาได้ชื่อว่าเปนผู้ ‘เล่นการเมือง’ หรือเปนนักการเมืองไป ดังที่มักจะเข้าใจกันในประเทศของเรา และเปนเหตุให้ผู้คนตระหนกตกใจจนไม่อยากแยแสเหลียวแลต่อการบ้านการเมืองของตน ซึ่งเปนที่น่าสลดใจ.

เราควรทำความเข้าใจกันไว้ว่า ถ้าเราไม่ประสงค์จะเปนประเทศประชาธิปไตย ก็เปนการถูกต้องแล้วที่เราจะปล่อยให้ความเข้าใจผิดและภาวะการณ์ต่าง ๆ เปนไปดังที่ได้เคยเปนอยู่, ปล่อยให้ราษฎรเฉยเมยเฉื่อยชา แลปล่อยให้ความหวาดหวั่นครอบงำจิตต์ใจของราษฎรจนไม่อยากแยแสต่อเหตุการณ์บ้านเมือง, ไม่ส่งเสริมความขวนขวายของประชาชนในการศึกษา และไม่ส่งเสริมความขวนขวายของนักศึกษาหรือผู้รู้ ในอันจะบรรยายความรู้เรื่องการเมือง, ปล่อยให้ราษฎรคิดเรื่องการเมืองโดยอาศัยความรู้สึกและอารมณ์ มิใช่โดยหลักความรู้และเหตุผล.

แต่ว่า ในประเทศประชาธิปไตย ข้อปฏิบัติต่าง ๆ แตกต่างและอยู่ตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา. เบื้องต้น เด็กนักเรียนในโรงเรียนมัธยม จะได้รับการสั่งสอนในวิชาความรู้ตามที่ราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียงจะพึงรู้เหตุว่าเมื่อออกจากโรงเรียน บรรลุวัยที่จะใช้สิทธิออกเสียงของตน ก็จะได้ใช้สิทธินั้นโดยมีหลักความรู้พอสมควร. ถ้าราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียงไม่มีความรู้ในกิจการเมืองเสียเลยแล้ว การออกเสียงของเขาก็จะหนีลักษณะบ้า ๆ บอ ๆ ไปไม่ได้ และราษฎรที่ขาดความรู้เช่นนั้น ก็จะมีสภาพไม่ต่างไปกว่าฝูงแกะ เหมาะที่นักการเมืองจะต้มยำนำไปทางไหนตามชอบใจ. เมื่อนักเรียนได้รับการศึกษาสูงคั่นมหาวิทยาลัยก็จะได้รับโอกาสศึกษาในเรื่องกิจการเมืองกว้างขวางออกไป เช่นได้รับโอกาสฟังกถาในเรื่องการเมือง อภิปรายและโต้วาทีในปัณหาการเมืองอยู่เนืองๆ.

สำหรับราษฎรที่ไม่ได้รับการศึกษาอย่างจุใจในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ก็มีโอกาสจะได้รับการศึกษาต่อไปโดยทางองค์การต่างๆ เช่นว่าราษฎรที่เปนพวกคนงาน ก็มีโอกาสจะได้รับการศึกษาทางการเมืองและวิชาการอื่น ๆ ที่จัดโดยสหบาลคนงาน. วิชานี้สำนักศึกษาของสหบาลที่อังกฤษและออสเตรเสียจัดสอนแก่พวกคนงาน มีอาทิ วิชาเศรษฐศาสตร์, สังคมวิทยา, ลัทธิเศรษฐกิจ, เหตุการณ์ต่างประเทศ, ประวัติศาสตร์และวรรณคดี. ดังนั้น ก็จะไม่เปนการประหลาดใจเลยในเมื่อเราได้ฟังกถาของพวกคนงาม ในที่ประชุมสาธารณะ ซึ่งผู้พูดแสดงหลักฐานความรู้อย่างน่าทึ่ง และแสดงข้ออภิปรายประกอบด้วยเหตุผลน่าฟัง และผู้พูดคนนั้นก็เปนแค่คนงานจากเหมืองแร่ หรือจากทะเลเท่านั้น.

นอกจากสหบาลคนงานที่ให้การศึกษาก้าวหน้าแก่พวกคนงานแล้ว ประชาชนยังมีโอกาสได้รับการศึกษาจากการฟังบรรยายความรู้ต่าง ๆ ขององค์การสาสนา และนานาสมาคม ซึ่งมีอยู่เปนนิจ... วิทยุกระจายเสียงก็รายงานข่าวการเมืองทั่วโลก และมีผู้เชี่ยวชาญวิจารณ์เหตุการณ์เมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศประจำวัน. ในวันอาทิตย์ซึ่งพวกพระมาเทศน์ทางวิทยุแทบตลอดวันนั้น นอกจากผู้ฟังจะได้รับการอบรมในทางใจแล้ว เทศนาเหล่านั้น มักจะกล่าวความพาดพิงถึงสถานะการของโลกในปัจจุบันด้วย. อนึ่ง ในประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า ยังมีหนังสือพิมพ์ที่รายงานเหตุการณ์เมืองอย่างเที่ยงตรงและหลีกเลี่ยงการรายงานข่าวที่ก่อให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นโดยไร้ประโยชน์. ข้อวิจารณ์การเมืองของหนังสือพิมพ์ก็แสดงออกโดยยุตติธรรมประกอบด้วยหลักฐาน, เหตุผล และวิธีเขียนน่าฟัง และยังมีบทความรู้การเมืองในปัญหาต่างๆ ลงพิมพ์อยู่เนื่องนิจ. ราษฎรทั่วไป อ่านหนังสือพิมพ์อย่างน้อย ๑ ฉบับ และราษฎรที่อ่านหนังสือพิมพ์ที่มีคุณภาพเช่นนั้นด้วยความใส่ใจแล้ว ก็จะสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของโลกและเข้าใจสถานะการณ์ของประเทศและของโลกได้.

การกล่าวถึงการศึกษาของราษฎรในประเทศประชาธิปไตยโดยย่อนี้เปนการเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า ประเทศประชาธิปไตยต้องเอาใจใส่ในเรื่องการศึกษาของราษฎรอย่างไร และราษฎรเอาใส่ต่อเหตุการณ์เมืองในประเทศและทั่วโลกอย่างไร. การศึกษาและความเอาใจใส่ต่อเหตุการณ์เมืองในฐานะของพลเมืองคนหนึ่งนั้น เปนคนละอย่างต่างไกลกับการ ‘เล่นการเมือง’ หรือเปนนักการเมือง. การเปนนักการเมือง ต้องการวิชาและศิลปพิเศษ และนักการเมืองต้องการศิลปการเมืองยิ่งกว่าวิชาการเมือง ซึ่งทำให้นักการเมืองมีลักษณะต่างกันไกลกับนักศึกษา หรือนักเขียนเรื่องการเมือง.

แต่ในเมืองไทย เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการเมืองแล้ว ดูผู้คนถูกดึงมาปนเปกันไปหมด และใช้หมายคลุมทั่วไปหมด. ตั้งแต่ลูกเด็กเล็กแดงขึ้นมาจนถึงผู้เฒ่าก็อาจถูกกล่าวถึงว่าเล่นการเมือง หรือเปนนักการเมืองได้ทั้งนั้น. ทั้งนี้ เมื่อพิเคราะห์ดูแล้วก็พอจะค้นสาเหตุได้ ทั้งนี้เปนด้วย ชาวเรา ‘เล่นการเมือง’ และคิดเรื่องการเมืองคนละแบบ คนละทัศนะ กับที่เขาเล่นและคิดกันในประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า ในต่างประเทศ เขาตั้งหลักการและอุดมทัศน์ไว้เปนจุดของการรวมพรรคแต่ในประเทศไทย เราใช้บุคคลเป็นจุดของการรวมพวก เวลาเราวิพากษ์เรื่องการเมือง เราก็วิพากษ์บุคคล เราไม่วิพากษ์หลักการและอุดมทัศน์ เพราะความจริงก็ไม่ใคร่จะมีหลักการและอุดมทัศน์ที่จะให้วิพากษ์กันได้. เวลาเราสรรเสริญ เราก็ไม่สรรเสริญหลักการอุดมทัศน์หรือนโยบายของฝ่ายใด แต่เราสรรเสริญบุคคล เวลาติเตียน เราก็ติเตียนบุคคลอีกน่ะแหละ. ในวงการเมืองไทยเราพูดกันแต่เรื่องบุคคลเราเกาะเกี่ยวกันในทางการเมืองโดยถือสัมพันธ์ส่วนตัวแต่ข้อเดียว เหตุฉะนั้น เมื่อพูดถึงเรื่องการเมือง เราจึงถูกเข้าใจกันว่าเปนนักการเมืองกันไปหมด ตั้งแต่เด็กอ่อนนอนเบาะ และตั้งแต่แม่ครัวขึ้นไปจนถึงพ่อตาแม่ยาย.

นี้เปนจุดอันตราย และจุดอ่อนแอที่สุดของวงการเมืองไทย ซึ่งผู้เขียนจะได้อภิปรายต่อไป. ถ้าจุดบัดซบจุดนี้ไม่ถูกลบให้หายไป ประเทศไทยไม่มีวันจะเปนประชาธิปไตยได้ และเสถียรภาพทางการเมืองก็มีไม่ได้

[๔ เมษ. ๙๒]

ที่มา : หนังสือพิมพ์ นครสาร รายวัน
เวลา : ฉบับที่ 860 วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ.2492

 

หมายเหตุ:

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการหนังสือมนุษย์ไม่ได้กินแกลบฯ และคุณปรีดา ข้าวบ่อ แห่งสำนักพิมพ์ชนนิยมแล้ว
  • อักขรและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
  • โปรดดูเพิ่มเติม หมายเหตุบรรณาธิการได้ที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ, “เล่นการเมือง” ใน มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548), 204-212.
  • ตัวเน้นโดยผู้เขียน

 

บรรณานุกรม :

  • สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548)

 

บทความที่เกี่ยวข้อง :