ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ตอนที่ 49 : ที่หวังในสันติภาพ

1
มิถุนายน
2568

กุหลาบ สายประดิษฐ์

 

สงครามโลกครั้งที่สองที่เพิ่งผ่านพ้นไป ได้จำหลักภาพการต่อสู้ประหัตประหารอันใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่มนุษย์ได้กระทำกันมาตลอดเวลา ๗,๐๐๐ ปีในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ในสงครามที่ความสยดสยองมันยังคงติดตาตรึงใจอยู่นั้น มนุษย์ได้พบว่า ประชาชาติ ๗๐ ประชาชาติอันประกอบด้วยพลเมือง ๒,๐๐๐ ล้านคน ได้ตกสู่อันตราย บ้านเมืองของประชาชกรกว่าสามในสี่ส่วนของโลก ได้ผเชิญกับภัยพิบัติของสงคราม ประชาชาวโลกมากกว่า ๑๐๐ ล้านคน ซึ่งหมายความว่า หนึ่งคนในทุกจำนวนยี่สิบคนของประชาชาวโลกทั้งหมด ได้เข้าร่วมในการรบพุ่งในระหว่างประชาชาติที่เปนคู่สงคราม

ความหายนะที่สงครามโลกครั้งที่สองได้นำมาสู่มนุษยชาติ เมื่อไม่กี่ปีมานี้เปนความหายนะอันมหันต์เหลือที่คนเราจะนึกเห็นไปได้ แต่มันก็เปนความหายนะที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในสงครามครั้งนั้น ผู้คนได้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในการสงครามเปนจำนวนมากกว่า ๒๐ ล้านคน ผู้คนมากกว่า ๑๐ ล้านคนถูกฆ่าตายเปนฝูงหรือเปนหมู่ ประชาชนมากกว่า ๓๐ ล้านคนรวมทั้งผู้หญิงและเด็กต้องพลัดพรากจากถิ่นฐานบ้านช่อง จำนวนบ้านเรือนนับตั้งแต่แสนๆ หลังถูกทำลายเหลือแต่ทรากอันปรักหักพัง

ความพินาศย่อยยับที่ทุกฝ่ายได้รับในสงครามครั้งนั้น คำณวนเปนเงินได้ประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ดอลล่า หนี้สินที่ประชาชาติต่างๆ ได้ก่อขึ้นในระหว่างสงครามนั้น ท่วมท้นจำนวนเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในโลก จำนวนเงินที่อสูรสงครามได้กลืนกินเข้าไป ทั้งหมดนั้น เมื่อรวมกันเข้าแล้วก็เปนจำนวนเพียงพอที่จะสร้างบ้านให้ครอบครัวของมนุษย์ทั้งโลกอยู่กันได้คนละหนึ่งหลังอย่างทั่วถึง หรือถ้าจะนำเงินจำนวนนั้นมาจ่ายในการศึกษาแล้ว ก็สามารถจัดให้เด็กทุกคนในโลกนี้ได้รับการศึกษาทั่วหน้ากัน จำนวนเงินที่ถูกเผาผลาญไปในกองเพลิงของสงครามนั้น เปนจำนวนมากกว่ามากที่โลกได้จ่ายไปในกิจการของโรงเรียน วัดวาอาราม และโรงพยาบาลนับตั้งแต่ได้มีมนุษยชาติอุบัติขึ้นมาในโลกจนถึงบัดนี้

ทั้งนี้เปนการวาดภาพความเสียหายและความทุกข์ทรมานที่มนุษยชาติทั่วโลกได้ประสพมาจากสงครามโลกครั้งที่สองอย่างย่นย่อ ตามที่หนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งได้บันทึกไว้ เปนการจำเปนที่จะต้องย้ำถึงความสยดสยองของสงครามลงไว้เสมอ เพราะว่าชั่วเวลาอันสั้นที่สงครามมหาประลัยได้ผ่านหน้าเราไป และแม้ว่าบาดแผลอันเหวอะหวะที่ชีวิตทุกด้านของมนุษย์ได้รับมาจากสงครามนั้น ยังอยู่ในระหว่างการเยียวยารักษาก็ดี ก็ได้มีการพูดกันอย่างอื้ออึงอีกแล้วถึงเงาของอสูรสงครามที่ทอดทมึนลงมาเหนือชีวิตของมนุษย์ทั่วโลก

ถึงแม้สงครามจะยังให้เกิดขึ้นซึ่งความหายนะอันสยดสยองน่าสพึงกลัวดังกล่าวแล้ว และเหตุฉะนั้นก็ไม่มีประชาชนของประเทศใดเลยจะต้องการสงครามก็ดี แต่เราก็จะต้องเข้าใจด้วยว่า ในสงครามนั้นเองก็มีบุคคลส่วนน้อยส่วนหนึ่งที่เปนผู้ได้กำไรและผลประโยชน์จากการสงคราม หรือหวังจะได้กำไรและผลประโยชน์จากการสงคราม เหตุนั้นแหละ เราจึงได้ยินเสียงเปล่งออกมาไม่วายว่า สงครามเปนสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น สงครามเปนสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศจะต้องทุ่มเททรัพย์สินเงินทองลงไปในการสร้างสมอาวุธยุทธภัณฑ์ และในที่สุดก็ถึงกับมีเสียงเปล่งออกมาว่า จะต้องจัดให้มีสงครามใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะได้มาซึ่งความสงบ! จะต้องฆ่าเพื่อจะได้มาซึ่งชีวิต! และก็จะต้องฆ่าคนจำนวนมาก เพื่อความสมบูรณ์พูนสุขแห่งชีวิตของคนจำนวนน้อย!

ถ้าสงครามนั้นจะกระทำกันฉะเพาะในกลุ่มคนส่วนน้อยที่กระหายเลือด และที่จิตต์ใจของเขาท่วมท้นไปด้วยความโลภอันกักขฬะ เราก็จะปล่อยเขาเหล่านั้นไว้ตามลำพังกับบาปกรรมของเขา แต่ความจริงนั้น เมื่อสงครามเกิดขึ้นครั้งใด ก็ประชาชนผู้ไม่ต้องการและชิงชังสงครามนั้นแหละที่ต้องจับอาวุธเข้าเข่นฆ่ากัน ก็ประชาชนผู้ที่ในยามปรกติก็ต้องทำงานบำรุงบำเรอความสุขของบุคคลจำนวนน้อยนั้นแหละ เมื่อถึงเวลามีศึกสงครามก็จะถูกเกณฑ์ไปทำศึกสงคราม เพื่อป้องกันผลประโยชน์และความสมบูรณ์พูนสุขของคนจำนวนน้อยอีกนั่นแหละ มิใช่เพื่อป้องกันผลประโยชน์และชีวิตอันผาสุกของเขาเลยในยามสงบ สามัญชนเหล่านั้นต้องอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานเพื่อพวกอภิชนหรือเอกสิทธิชนจะได้อยู่อย่างสมบูรณ์พูนสุข และในยามสงครามสามัญชนก็ต้องอาบเลือดและตายไป-เขาตายเพื่อที่ชาติจะได้อยู่! นั่นเปนแต่เพลงสำหรับกล่อมขบวนศพเท่านั้นดอก ความจริงนั้นสามัญชนได้ตายไป เพื่อเอกสิทธิชนจะได้อยู่อย่างสมบูรณ์พูนสุขต่อไป เพื่อระบบและสถาบันที่กดขี่ขูดรีดมหาชนคนทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำจะได้ดำรงยั่งยืนต่อไปดอก

ทั้งที่ประชาชนไม่ว่าในประเทศใด ไม่ต้องการสงครามเลย แต่ในชั่วอายุของคนรุ่นปัจจุบัน ประชาชนก็ได้ผเชิญความสยดสยองอันร้ายกาจของสงครามมาถึงสองครั้งแล้ว และในวันนี้ ประชาชนทั่วโลกก็ได้ถูกคนกลุ่มน้อยผลักดันให้มายืนอยู่ที่ปากเหวของสงคราม ที่เต็มไปด้วยขุมนรกอีกครั้งหนึ่ง และก็หมิ่นเหม่จะตกลงไปในเหวนรกนั่นอยู่แล้วแต่ประชาชนของโลกวันนี้ไม่เหมือนกับประชาชนของโลกเมื่อวานนี้เสียแล้ว ประชาชนของโลกวันนี้ ได้พบความสำนึกอันใหม่ คือความสำนึกที่ว่า เขาทั้งหลายซึ่งต่างก็รักชีวิต และก็ไม่ต้องการจะทำลายชีวิตอันเปนที่รักของคนอื่นดุจกัน แต่ก็เหตุใดเล่าเขาจึงจะต้องจับอาวุธเข้าเข่นฆ่าประหัตประหารกันอีก ทั้งที่เขาทั้งหลายไม่ต้องการและไม่เต็มใจจะทำเลย ด้วยเหตุใดประชาชนทั่วโลกจึงต้องจำใจ ประกอบกรรมอันเหี้ยมโหดทารุณ ต่อเพื่อนประชาชนด้วยกัน ประชาชนได้พากันสำนึกว่า เพราะเหตุแห่งกลไกของรัฐที่มนุษย์รุ่นก่อนๆ ได้สร้างขึ้น ซึ่งมีผลเท่ากับเปนการสร้างเครื่องมือให้แก่ชนชั้นหนึ่ง อันเปนชนส่วนน้อย ได้ใช้เปนอาวุธขับต้อนฝูงชนให้ไปสู่ทิศโน้นและทิศนี้ตามแต่เขาจะพอใจ จนที่สุดถึงแก่ขับต้อนให้เขาทั้งหลายไปสู่การฆ่าฟันประหัตประหารกันเอง โดยที่เขาทั้งหลายไม่ปรารถนาจะทำเลย

ประชาชนของโลกวันนี้ได้สำนึกว่า เมื่อพวกเขาทั่วโลกชิงชังสงคราม ชิงชังการล้างผลาญชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และปรารถนาจะอยู่ในโลกด้วยความสงบสุขแล้ว เหตุใดเขาจึงจะบรรดาลให้เปนไปตามปรารถนาของเขาไม่ได้ เหตุใดประชาชนทั่วโลกจำนวนมหึมา จึงจะต้องถูกหลอกลวง ถูกต้อน ถูกบังคับ ให้กระทำการอันทารุณชั่วร้ายตามประสงค์ของคนเพียงหยิบมือหนึ่ง โดยอาศัยกลไกแห่งรัฐอันอาธรรมนั้น กลไกซึ่งมิใช่เปนสิ่งศักดิ์สิทธิคงทนที่ไหนมา มิใช่เปนสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เหมือนการส่องแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เหตุใดประชาชนจำนวนมากมายมหึมาทั่วโลกจึงจะต้องถูกปั่นหัว ยั่วยุ และถูกบังคับให้กระทำบาปกรรมอันชั่วร้ายตามประสงค์ของคนเพียงหยิบมือหนึ่ง แทนที่กลุ่มชนเพียงหยิบมือหนึ่งจะถูกบังคับให้สละความคิดอันชั่วร้ายตามประสงค์ของประชาชาวโลกจำนวนมหึมา

ประชาชนของโลกวันนี้ได้สำนึกว่า กำลังของประชาชนทั่วโลกได้มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เหมือนที่ไฟฟ้าและกระแสน้ำได้มีกำลังของมันอยู่แล้วโดยธรรมชาติ

ความเกรียงไกรมหึมาแห่งกำลังของประชาชนนั้นก็เท่ากับความมหึมาของจำนวนประชาชนทั่วโลก แต่กำลังอันมหึมานั้น ย่อมจะไม่โผล่พลุ่งขึ้นมา หากว่ากำลังนั้นปรากฏอยู่กระจัดกระจายและอย่างโดดเดี่ยว และหากว่ากำลังนั้นได้รับการระดมรวบรวมให้เกาะเกี่ยวกันเปนปึกแผ่นแล้ว ความเกรียงไกรมหึมาของกำลังเช่นนั้นก็จะประจักษ์แจ้งออกมา เช่นเดียวกับที่มนุษย์ได้อาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ระดมกำลังอันเกรียงไกรมหึมาของธรรมชาติ มาสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่สังคมมนุษย์ในประการต่างๆ

ประชาชนของโลกวันนี้ได้สำนึกว่า หากเขาได้รวบรวมกำลังที่มีอยู่ในพวกเขาทั้งหลายให้เปนกลุ่มก้อนมหึมาขึ้นมาได้แล้ว เขาก็อาจจะใช้กำลังอันมหึมาของเขานั้น บังคับมิให้เกิดสงครามขึ้นได้ ก็เหตุใดเขาจึงจะบังคับไม่ได้ เมื่อตัวเขาเองจะต้องเปนผู้ทำสงคราม โดยที่ตัวเขาเองไม่ต้องการจะทำเลย เขาอาจจะใช้กำลังอันมหึมานั้นสถาปนาสันติภาพขึ้นได้ตามที่เขาประสงค์ ก็เหตุใดเขาจะสถาปนาสันติภาพขึ้นไม่ได้ เมื่อตัวเขาเองจะเปนผู้ลิ้มรสสันติภาพนั้นเอง และตัวเขาเองก็ต้องการสันติภาพอย่างที่สุด การที่กล่าวว่า กำลังของประชาชนที่รวมกันเข้าแล้ว จะสามารถระงับสงครามได้นั้น ใครๆ ย่อมเห็นได้ว่าข้อนั้นเปนการดำเนินไปตามธรรมชาติและสอดคล้องกับเหตุผลทุกประการ การณ์ที่เปนมาแล้วในอดีต เปนการฝืนธรรมชาติและไร้เหตุผล เพราะว่าในอดีตนั้นประชาชนไม่ต้องการสงครามแต่ประชาชนก็ต้องทำสงคราม ประชาชนจำนวนมากมายมหึมาต้องถูกกะเกณฑ์บังคับโดยคนกลุ่มน้อยให้กระทำสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะทำ แทนที่คนกลุ่มน้อยจะต้องอยู่ในบังคับของประชาชนจำนวนมากมายมหึมา

ประชาชนของโลกวันนี้ได้สำนึกเปนอย่างดีแล้ว ว่าหากเขาปล่อยให้คนกลุ่มน้อย ผู้ศึกษาชำนิชำนาญในการแต่งถ้อยคำอันไพเราะห์ แต่ในจิตต์ใจรมย้อมไปด้วยความโลภและความเห็นแก่ตัวอันร้ายกาจ, เปนผู้บังคับชะตากรรมของเขาแล้ว คนกลุ่มน้อยเหล่านั้นก็จะชักจูงเขาไปสู่ความพินาศฉิบหายของสงคราม ดังเช่นที่คนจำพวกนั้นได้กระทำมาแล้วในอดีตแน่นอน ประชาชาวโลกได้เคยวิงวอนร้องขอพระผู้เปนเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ป้องกันสงครามมาแล้วหลายครั้ง แต่พระผู้เปนเจ้าก็ไม่อาจห้ามสงครามอันมีมูลมาแต่ความโลภและความเห็นแก่ตัวอันร้ายกาจของคนกลุ่มน้อยนั้นได้ ประชาชาวโลกจึงหาทางออกโดยการเข้าพึ่งกำลังของเขาเอง และประชาชาวโลกก็ได้พบความหวังที่จะป้องกันสงครามโลกในกำลังอันมหึมาของพวกเขาเอง

ด้วยความสำนึกของประชาชนในนานาประเทศทั่วโลกดังกล่าวแล้วนี้แหละ เราจึงได้พบองค์การของประชาชนนานาชาติอุบัติขึ้น และได้มีการประชุมเพื่อแสวงหาทางพิทักษ์สันติภาพของโลกที่กรุงปารีสในเดือนเมษายน ค.ศ.๑๙๕๙ และต่อมาคณะกรรมการดำเนินงานขององค์การประชาชนนานาชาติที่มีความมุ่งหมายอันประเสริฐนั้นก็ได้ออกคำเรียกร้องสันติภาพอันขึ้นชื่อลือนามที่เรียกว่า Stockholm Appeal เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๕๐ คณะกรรมการของประชาชนได้ส่งคำเรียกร้องสันติภาพไปยังประชาชนทั่วโลก และแม้ว่าจะมีบุคคลจำพวกหนึ่งที่กุมอำนาจการปกครองในนานาประเทศจะได้ทำการขัดขวางการลงนามเรียกร้องสันติภาพของประชาชนก็ดี แต่ก็ปรากฏในที่สุดว่าได้มีประชาชาวโลกร่วมลงนามในคำเรียกร้องสันติภาพเปนจำนวนกว่า ๕๐๐ ล้านคน และในจำนวนนี้ประชาชนไทยกว่าแสนสามหมื่นคนได้ร่วมลงนามด้วย

ความสำเร็จอันใหญ่หลวงของการลงนามเรียกร้องสันติภาพนั้นได้แสดงถึงความสำเร็จอันไม่เคยปรากฏมาแต่ก่อนของความร่วมมือของประชาชาวโลก ของการผสานกำลังของประชาชาวโลกผู้อยู่ห่างไกลนับตั้งพันๆ ไมล์เข้าด้วยกัน เพื่อที่จะใช้กำลังมติที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้านั้น เข้ายับยั้งภยันตรายของสงครามที่ชนชั้นปกครองส่วนน้อยในบางประเทศ กำลังจะยัดเยียดให้แก่ชีวิตของเขา เมื่อการลงนามเรียกร้องสันติภาพและประณามสงครามได้สิ้นสุดลง และเมื่อประชาชาวโลกได้แลเห็นกำลังของเขาปรากฏเด่นชัดออกมา ดังนั้น ประชาชาวโลกจึงมีความหวังอันหนักแน่นในกำลังของเขา ว่าจักสามารถกอบกู้ชะตากรรมของเขาให้ล่วงพ้นภยันตรายของสงครามโลกอันสยดสยองได้

แต่ภยันตรายของสงครามก็ยังคงมีอยู่อย่างน่าหวาดหวั่น เพราะว่าการระดมสร้างสมกำลังอาวุธ และการตระเตรียมการต่างๆ เพื่อการสงคราม และการโฆษณากระพือข่าวสงครามของฝ่ายที่จะได้รับประโยชน์จากสงคราม คือฝ่ายที่จะแปลงเลือดเนื้อของเพื่อนมนุษย์เปนอำนาจและความมั่งคั่งของเขา ยังคงดำเนินอยู่อย่างแข็งขัน ดังนั้น เพื่อที่จะเพิ่มพูนกำลังของประชาชนในการพิทักษ์สันติภาพของโลกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การประชุมผู้แทนประชาชนนานาชาติก็ได้เปิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ณะ กรุงวอร์ซอว์เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๕๐ นั่นคือการประชุมสมัชชาสันติภาพสากลครั้งที่สอง (Peace congress)

ในที่ประชุมสมัชชาสันติภาพสากล ณะ กรุงวอร์ซอว์ครั้งนั้นได้มีผู้แทนของประชาชนจาก ๘๐ ประเทศเข้าร่วมประชุมเปนจำนวน ๑๗๕๖ คน สันติชนเหล่านี้ประกอบด้วยบุคคลที่มีฐานะและอาชีพต่างๆ กัน ประกอบด้วยสันติชนที่มาจากทุ่งนาและจากโรงงาน และประกอบด้วยสันติชนผู้มีปัญญาความคิดอันเลิศ ประกอบด้วยศาสตราจารย์นักวิทยาศาสตร์ และนักประพันธ์ผู้มีนามกระเดื่องของโลก ในจำนวนผู้แทนสันติชนจาก ๘๐ ประเทศนี้มีผู้แทนที่เปนศาสตราจารย์ ๑๒๔ คน มีผู้แทนที่เปนบาดหลวง ๗๑ คน มีนักประพันธ์และจินตกวี ๑๑๖ คน สันติชนที่เปนกรรมกรมี ๓๗๑ คน สันติชนที่เปนชาวนา ๕๗ คน นอกจากนั้นมีสันติชนที่เปนนายแพทย์ นักกฎหมาย วิศวกร ครู นักดนตรี ดาราภาพยนตร์และละคร นักเรียน และผู้แทนสันติชนที่สังกัดอาชีพอื่นๆ อีกหลายประเภท สันติชนที่เข้าประชุมสมัชชาสันติภาพสากลครั้งที่สอง ณะ กรุงวอร์ซอว์นี้เปนผู้ที่ถือลัทธินิยมทางการเมืองและทางศาสนาต่างๆ กัน

สมัชชาสันติภาพสากล ณะ กรุงวอร์ซอว์ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนสันติชนจาก ๘๐ ประเทศนี้ได้เลือกผู้แทนของเขาเปนคณะกรรมการดำเนินงาน หรือที่เรียกว่า สภาสันติภาพสากล (World Peace Council) ขึ้น และสภาสันติภาพสากล ซึ่งเปนตัวแทนของสมัชชาได้เปิดการประชุมที่กรุงเบอร์ลิน เมื่อระหว่างวันที่ ๒๑-๒๖ กุมภาพันธ์ปีนี้

เนื่องด้วยองค์การของประชาชนนานาชาติแห่งนี้ เปนความหวังของประชาชาวโลกในอันจะปกป้องชีวิตของมวลมนุษย์ให้ล่วงพ้นภยันตรายอันสยดสยองของสงครามโลกครั้งที่สาม และเนื่องด้วยประชาชนไทยได้ร่วมลงนามพิทักษ์สันติภาพไปแล้วกว่าแสนสามหมื่นคน จึงเปนการสมควรที่เราจะศึกษาความเคลื่อนไหวของสภาสันติภาพสากล ว่าได้ดำเนินงานเพื่อสันติภาพไปแล้วอย่างไร และจะดำเนินงานอย่างไรต่อไปในอนาคต

ในที่ประชุมสภาสันติภาพสากล ณะ กรุงเบอลินนั้น มีสมาชิกและแขกของสภาเข้าประชุม ๒๓๘ คน สมาชิกของสภาเป็นผู้แทนสันติชนของนานาประเทศจากทุกทวีป จากประเทศที่เปนสมาชิกของสหประชาชาติและจากประเทศที่ยังมิได้เปน จากโชเวียตรัสเซียและจากอเมริกา จากชนชาติผิวดำ, ผิวน้ำตาลและผิวขาว จากประเทศที่เปนบ่าวและจากประเทศที่เป็นนาย ในที่ประชุมสันติชนคนสำคัญๆ ที่มาจากทุกมุมโลกนั้น มีท่านนักบวชที่มีชื่อเสียงยิ่งจากประเทศอังกฤษ, อเมริกา, เช็คโกสโลวาเกีย, เยอรมนี, นิวซีแลนด์, ฮังการี มีทั้งคอมมิวนิสต์, โซชลิสต์ และคอมเซอวะตีฟจากประเทศอังกฤษ (Woodland) และมีทั้งผู้ที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดๆ

สภาสันติภาพสากลได้ใช้เวลาประชุมรวม ๖ วัน ทั้งรอบเช้าและรอบบ่าย มีผู้พูดในที่ประชุมมากกว่า ๘๐ คน มีผู้แทนของหนังสือพิมพ์นานาชาติไปคอยจดรายงานการประชุมกว่า ๑๐๐ คน ในจำนวนนั้นมีผู้แทนของหนังสือพิมพ์และสำนักสื่อข่าวที่โลกรู้จักดี ได้แก่ ผู้แทนของหนังสือพิมพ์ "Le Monde" "The Times” และ “Pravda” พร้อมทั้งผู้แทนของสำนักสื่อข่าวรอยเตอของอังกฤษ, สำนักสื่อข่าวเอ.พี.ของอเมริกา, สำนักสื่อข่าวฝรั่งเศส และสำนักสื่อข่าวทาสส์ของรัสเซีย

ภายหลังที่ได้มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างจุใจแล้ว ที่ประชุมได้ลงมติในหัวข้อเรื่องดังต่อไปนี้

๑. มติเรียกร้องให้ประเทศมหาอำนาจทั้งห้าได้แก่สหรัฐอเมริกา, สหภาพโซเวียต, สาธารณรัฐประชาชนจีน, อังกฤษ และฝรั่งเศสทำกติกาสัญญาสันติภาพขึ้น

๒. มติในเรื่ององค์การสหประชาชาติ: โดยที่สภาสันติภาพสากลก็พิจารณาเห็นว่า องค์การสหประชาชาติได้ดำเนินการอันก่อความผิดหวังให้แก่ประชาชาวโลกมาเปนครั้งคราว สภาสันติภาพสากลจึงได้จัดส่งคณะผู้แทนของสภาไปยังองค์การสหประชาชาติเพื่อขอให้พิจารณาข้อเสนอให้สาส์นของสมัชชาสันติภาพสากลที่มีไปยังสหประชาชาติ และบรรดามติของสภาสันติภาพสากลในการประชุม ณะ กรุงเบอลิน และเรียกร้ององค์การสหประชาชาติปฏิบัติตนให้ต้องตามที่กำหนดไว้ในกฎบัตร กล่าวคือให้เปนสภาพที่สำหรับรัฐบาลต่างๆ จะมาทำความตกลงปรองดองกัน มิใช่ทำตนเปนเครื่องมือของกลุ่มประเทศที่มีอำนาจครอบงำองค์การสหประชาชาติ

๓. มติเกี่ยวกับการจัดตั้งและการขยายงานของขบวนการสันติภาพ: มติข้อนี้มีประเด็นที่สำคัญดังต่อไปนี้

ก. ให้สันติชนของนานาชาติทำการโฆษณาเรียกร้องให้รัฐสภาออกกฎหมายพิทักษ์สันติภาพและกำจัดการโฆษณาเพื่อการสงคราม ให้ทำการบอยคอตต์บรรดาหนังสือ, ภาพยนตร์, การกระจายเสียงทางวิทยุที่เปนการยั่วยุผู้คนให้ฝักใฝ่ในสงคราม

ข. ให้ดำเนินความสัมพันธ์ด้วยดีกับขบวนการเพื่อสันติภาพโดยสุจริตทั้งมวล

ค. ให้เปิดการประชุมเศรษฐกิจนานาชาติขึ้นที่สหภาพโซเวียตในฤดูร้อนปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในอันสถาปนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างชาติขึ้นใหม่ และยกมาตรฐานการครองชีพโดยทั่วไปให้สูงขึ้น หัวข้อเรื่องข้อหนึ่งที่กำหนดจะอภิปรายกันในที่ประชุมนั้นคือ การแสวงหาทางปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพของประชาชนแห่งศตวรรษที่ ๒๐ โดยมีเงื่อนไขว่า การปรับปรุงนั้นจะเป็นการเกื้อกูล แก่การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ

ง. จัดให้มีการประชุมทางวัฒนธรรมและทางวิชาการ : ได้แก่ การประชุมนานาชาติของคณะนายแพทย์, คณะนักเขียน, คณะศิลปิน, คณะผู้ทำงานเกี่ยวกับการภาพยนตร์, คณะนักหนังสือพิมพ์, คณะครู, คณะนักเรียน โดยคำแนะนำของสภาสันติภาพสากล ได้มีการกะการที่จะเปิดการประชุมคณะนายแพทย์ขึ้นในประเทศอิตาลีในปีนี้ ที่ประชุมนายแพทย์นานาชาติผู้ใฝ่สันติจะได้ขบปัญหาการดำเนินการต่อสู้กับผลร้ายของการเตรียมการสงคราม โดยมุ่งประสงค์จะให้ความพิทักษ์คุ้มครองสุขภาพของระชาชน อนึ่งกองเลขาธิการของสภาสันติภาพสากล จะได้ศึกษาและส่งเสริมให้มีการประชุมนานาชาติ เพื่อแสวงหาทางพัฒนาวัฒนธรรมแห่งชาติและแสวงความร่วมมือจากวัฒนธรรมระหว่างชาติ การประชุมดังกล่าวนี้จะได้แก่การประชุมของบรรดานักเขียนและศิลปินนานาชาติ, การประชุมวัฒนธรรมนานาชาติที่สภาสันติภาพสากลจะได้ส่งเสริมให้มีขึ้นนี้ จะเปนการประชุมทางวัฒนธรรม โดยมีเงื่อนไขว่า การส่งเสริมพัฒนาการทางวัฒนธรรมนั้น จะเปนการเกื้อกูลแก่การดำรงไว้ซึ่งสันติภาพ อนึ่ง กองดำเนินงานของสภาสันติภาพสากล จะได้ศึกษาเพื่อการก่อตั้งหน่วยภาพยนตร์ เพื่อส่งเสริมและประสานงานการผลิตและการจำหน่ายภาพยนตร์ที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพ และเพื่อที่จะต่อต้านการฉายภาพยนตร์ที่เปนโปรประกันดาการสงคราม อนึ่ง สภาสันติภาพสากลได้แนะนำให้กองเลขาธิการทำการติดต่อกับนักวิทยาศาสตร์ผู้รักสันติและส่งเสริมให้นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น เรียกร้องให้สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติ และองค์การวิทยาศาสตร์ระหว่างชาติที่เขาสังกัดอยู่ตั้งข้อบัญญัติขึ้นไว้ โดยมีหลักการว่า การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของบรรดาสมาชิก จะพึงนำออกใช้แต่ฉะเพาะในความประสงค์ที่เปนไปเพื่อสันติเท่านั้น

๔. มติในเรื่องการหาทางออกโดยสันติวิธีในปัญหาเกาหลี โดยการเรียกร้องให้บรรดาประเทศที่เกี่ยวข้องเปิดการประชุมโดยพลัน และจัดการให้กองทัพของต่างประเทศทุกประเทศในเกาหลีถอนตัวออกไป เพื่อที่จะอำนวยโอกาสให้ประชาชนเกาหลีได้ทำความตกลงกันเองในปัญหาต่างๆ ที่เปนกิจการภายในประเทศของเขา

๕. มติคัดค้าน มติขององค์การสหประชาชาติที่ประณามสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าเปนผู้รุกรานในเกาหลี: สภาสันติภาพสากลได้เสนอข้อนิยามคำว่า “การรุกราน” ไว้ว่าหมายถึง: “รัฐที่ใช้กองทัพเข้าโจมตีอีกรัฐหนึ่งก่อน ไม่ว่าจะกระทำไปด้วยข้ออ้างใดๆ ก็ดี พึงถือว่ารัฐนั้นได้ประกอบอาชญากรรมแห่งการรุกราน” สภาสันติภาพสากลจึงประกาศว่ามติขององค์การสหประชาชาติในกรณีประณามสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าเปน “ผู้รุกราน” นั้นเปนการไม่ชอบธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย มติดังกล่าวนั้นเปนอุปสรรคอันฉกรรจ์ต่อการหาทางออกในสันติวิธีในปัณหาเกาหลี

๖. มติในเรื่องการหาทางออกโดยสันติวิธีในปัญหาเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น

๗. มติในเรื่องการต่อสู้เพื่อพิทักษ์สันติภาพในบรรดาประเทศเมืองขึ้นและเมืองพึ่ง (colonial and dependent contries)

๘. มติในเรื่องการหาทางออกโดยสันติวิธีในปัญหาเกี่ยวกับประเทศเยอรมนี

๙. มติในเรื่องจัดทำแมกกาซีน เพื่อเผยแพร่คติสันติภาพให้แผ่ไพศาลออกไป

๑๐. มติในเรื่องรางวัลสันติภาพระหว่างชาติ

ทั้งหมดนี้เปนการวาดภาพเรื่องราวของสภาสันติภาพสากลอย่างย่นย่น เปนการแสดงว่าสภาสันติภาพสากลคืออะไร สภาสันติภาพสากลได้ทำอะไรและมุ่งหมายจะทำอะไรต่อไป สภาสันติภาพสากลประกอบด้วยบุคคลชนิดใด และได้รับความสนใจสนับสนุนจากประชาชาวโลกด้วยความปึกแผ่นแน่นหนาอย่างไร โดยที่คนไทยได้คุ้นเคยกับนามของมหาวิทยาลัยออกสฟอร์ดแห่งประเทศอังกฤษเปนอย่างดี ดังนั้นอาจเปนข่าวที่น่าสนใจถ้าผู้เขียนจะแจ้งไว้ในที่นี้ว่า นักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นจำนวน ๗,๐๐๐ คนซึ่งถือลัทธินิยมทางการเมืองต่างๆ กัน ได้ลงนามเรียกร้องสันติภาพ ร่วมกับประชาชาวโลกกว่า ๕๐๐ ล้านคน

เราได้เห็นแล้วว่า สภาสันติภาพสากลซึ่งประกอบด้วยสันติชนที่มาจากประชาชนที่เปนตัวแทนของประชาชนทั่วโลก มิใช่เปนตัวแทนของรัฐบาลหรือของพรรคการเมืองใดๆ โดยฉะเพาะนั้น มิได้ทำงานแต่ฉะเพาะการเสนอแนะให้ประชาชาวโลกลงนามเรียกร้องสันติภาพและประณามสงครามเท่านั้น หากยังได้กำหนดขอบเขตต์การดำเนินงานในประการต่างๆ ไว้อย่างกว้างชวาง โดยมีเป้าประสงค์ที่จะปกป้องชีวิตของมวลมนุษย์มิให้ตกเปนเหยื่อสงครามโลกอันสยดสยอง

ถึงแม้จะได้มีผู้พากเพียรมอมหน้าสภาสันติภาพสากลให้แปรเปลี่ยนเปนอย่างอื่นไปก็ไม่พึงถือเปนข้อกังวล หรือพึงสละเวลามาทุ่มเถียงกันให้ยืดยาว เพราะว่าคำพูดทั้งหลายนั้นย่อมจะพิสูจน์กันได้ด้วยการกระทำ และมหาชนจำนวนมากมายมหึมาย่อมจะไม่สนับสนุนการดำเนินการขององค์การใด หรือบุคคลคนในที่เขาเห็นว่าการกระทำกับคำพูดนั้นหันหลังให้กัน

ในเวลานี้ประชาชนทั่วโลกกำลังมายืนอยู่ต่อหน้าอันตรายอันสยดสยองของสงครามโลก ประชาชนไม่ต้องการจะมาฟังคำโฆษณาสาดความมร้ายใส่กัน โดยไม่เปนผลประโยชน์แก่เขาเลย และประชาชนก็ไม่ต้องการจะฟังคำไพเราะห์ที่จะนำเขาไปสู่ความบรรลัยในสงคราม

ประชาชนต้องการมีชีวิตอันสงบผาสุก ประชาชนต้องการอาหาร เสื้อผ้า บ้านเรือน และการพักผ่อนที่สมควรแก่สภาพของมนุษย์ ประชาชนไม่ต้องการเหล็กหรือดินระเบิดมาสะสมไว้ในบ้านเมืองของเขา ประชาชนไม่ต้องการสภาอาหารและหยูกยาของเขาไปสับเปลี่ยนกับเครื่องประหารชีวิตเหล่านั้น ซึ่งเมื่อเกิดสงครามขึ้นเมื่อใด เขาเองจะเปนผู้ได้รับการประหารจากเครื่องประหารเหล่านั้น

ประชาชนต้องการสันติภาพ เขาเรียกร้องหาสันติภาพ เขาไร้ที่พึ่งและประสพความล้มเหลวมาแล้วทุกครั้งในกาลก่อน แต่ในวันนี้เขาได้พบความหวังในสันติภาพแล้วในกำลังของเขาเอง เขาได้พบที่หวังในสันติภาพจากการผสานกำลังของประชาชนทั่วโลกเข้าด้วยกัน ความร่วมมือของประชาชนทั่วโลก เปนสิ่งเดียวที่เขาคิดว่าจักพิทักษ์คุ้มครองสันติภาพไว้ได้

ที่มา : หนังสือ พิมพ์ไทย รายเดือน
เวลา : 23 พฤษภาคม พ.ศ.2494

 

หมายเหตุ :

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการหนังสือมนุษย์ไม่ได้กินแกลบฯ และคุณปรีดา ข้าวบ่อ แห่งสำนักพิมพ์ชนนิยมแล้ว
  • อักขระและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
  • โปรดดูเพิ่มเติม หมายเหตุบรรณาธิการได้ที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ, เรื่อง “ที่หวังในสันติภาพ”, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548),  น. 477-490.
  • ตัวเน้นโดยผู้เขียน

บรรณานุกรม :

  • กุหลาบ สายประดิษฐ์, เรื่อง “ที่หวังในสันติภาพ”, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548),  น. 477-490.

บทความที่เกี่ยวข้อง :