ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ : ประโยชน์ของการมีฝ่ายค้าน (ตอนที่ 24)

20
ตุลาคม
2567

นายกุหลาบ สายประดิษฐ์

 

ภายหลังที่ได้ฝ่ามาในพายุแห่งการวิพากษ์ในสภาผู้แทน ๑๒ วันและในวุฒิสภา ๓ วัน รวมเปน ๑๕ วันแล้ว รัฐบาลจอมพลพิบูลสงคราม ก็ได้รับมติไว้วางใจจากสภาผู้แทนโดยคะแนนเสียง ๖๓ ต่อ ๓๑ การที่รัฐบาลพิบูลสงครามได้รับมติไว้วางใจจากสภาผู้แทนนั้นก็จะต้องถือว่าเปนเหตุการณ์ธรรมดา เพราะว่าก่อนหน้าที่รัฐบาลปัจจุบันจะได้รับการแต่งตั้งก็เปนที่ทราบกันอยู่แล้วว่า เสียงสนับสนุนรัฐบาลพิบูลสงครามในสภาผู้แทนเปนเสียงฝ่ายข้างมาก เหตุฉะนั้นถ้าเห็นในชั่วเวลาไม่กี่วันและรัฐบาลก็ยังมิทันจะลงมือทำอะไร เสียงสนับสนุนรัฐบาลก็จะพลันแตกแยกออกเปนเสี่ยง ๆ เสียแล้ว ก็จะกลับเปนเครื่องแสดงอย่างน่าอนาถว่า ในวงการเมืองของเราไม่ใช้ระเบียบกฎเกณฑ์อะไรกันเลย และเต็มไปด้วยความเลอะเทอะสิ้นดี อันที่จริงในทุกวันนี้ การปฏิบัติในวงการเมืองของเราก็หาระเบียบกฎเกณฑ์ได้ยากอยู่แล้ว จึงควรช่วยกันประคับประคองไว้อย่าให้ถึงแก่สิ้นเนื้อประดาตัวเสียเลยทีเดียว

เมื่อรัฐบาลได้รับความไว้วางใจจากรัฐภาแล้ว ต่อนี้ไปก็เปนเวลาที่รัฐบาลจะต้องลงมือทำงานต่อไป ตามที่ได้รับรองไว้แก่รัฐสภา อย่างไรก็ดีเมื่อรัฐสภาได้ใช้เวลาถึง ๑๕ วัน วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาลปัจจุบันซึ่งเปนรัฐบาลสืบเนื่องมาแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว เราก็ควรจะแสวงประโยชน์จากการศึกษาพฤตติการณ์ที่ล่วงมาแล้วว่า ได้ให้ข้อสอบหรือข้อคิดอันใดบ้าง ซึ่งอาจจะรวบรวมเปนทุนความรู้สำหรับที่ประเทศของเราจะได้ใช้บำบัดความเสื่อมโทรมในทางการเมืองที่ได้เปนมาและกำลังเปนอยู่

ในเบื้องต้นเราใคร่จะชี้ให้เห็นว่า ตามที่ได้เคยมีเสียงเรียกร้องให้กลุ่มการเมืองทั้งหมดเข้ารวมกันเปนรัฐบาลผสมจนไม่มีกลุ่มการเมืองฝ่ายค้านเหลืออยู่เลย ซึ่งหมายความว่านักการเมืองหัวหน้าของพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายควง อภัยวงศ์ และม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ตลอดทั้งนักการเมืองหัวหน้าของพรรคอื่นเช่น พรรคสหชีพ อันได้แก่นายเตียง ศิริขันธ์ เข้าร่วมเปนรัฐบาลเสียทั้งหมด ดังนั้น กลุ่มการเมืองฝ่ายค้านก็จะไม่มีเหลือ เมื่อเปนดังนั้น การแถลงนโยบายของรัฐบาลก็จะผ่านสภาผู้แทนไปโดยปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด เมื่อเปนดังนั้นก็จะไม่มีการพูดกันถึงเรื่องการละเมิดหลักการประชาธิปไตย ในประการต่าง ๆ, ไม่มีการพูดถึงเรื่องความข่มขี่ในทางการเมืองในรูปต่าง ๆ, ไม่มีการพูดกันถึงเรื่องที่ทหารและตำรวจบางส่วนเข้ามาพัวพันเปนฝักเปนฝ่ายในทางการเมือง, ไม่มีการพูดถึงเรื่อง ๔ อดีตรัฐมนตรีถูกยิงตาย ไม่มีการพูดถึงความอ่อนแอของคำแถลงนโยบายและจะไม่มีข้อวิพากษ์ถึงกิจการสำคัญอื่น ๆ อีกที่ได้วิพากษ์กันมาแล้วมากมายหลายหลาก

มาตรว่าไม่มีข้อวิพากษ์ดังที่ได้กระทำกันมาแล้ว ๑๒ วันในสภาผู้แทน ผลก็จะเปนว่าหัวหน้ารัฐบาลก็จะไม่ต้องให้คำมั่นสัญญามากมายหลายข้อแก่สภาดังที่ได้ให้ไว้แล้ว ผลก็จะเปนว่ารัฐบาลก็จะปกครองประเทศไปได้ตามอำเภอใจ โดยมิต้องเคารพหลักการที่ดีงามอะไรเลย ดังที่ได้รู้สึกกันว่าได้เปนมาแล้วก่อนหน้านี้ และรัฐบาลก็จะปกครองประเทศไปอย่างลอยนวลเช่นเคย จริงอยู่ในชั้นนี้เราก็ยังรู้ไม่ได้ว่า รัฐบาลจะปกครองไปอย่างลอยนวลโดยไม่แยแสต่อหลักการที่ดีงามหรือไม่ แต่เมื่อหัวหน้ารัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญาไว้เปนอันมากแล้ว เราก็ควรจะให้โอกาสและคอยดูผลต่อไป หากรัฐบาลละเมิดหรือไม่เคารพคำมั่นสัญญาเปนคำรบสองหรือสามแล้ว ฐานะของรัฐบาลในทางธรรมจริยาก็จะตกต่ำลงถึงขีดสุดจนยากที่จะแก้ไขให้กลับคืนดีได้ ด้วยเหตุดังนี้ สืบแต่นี้ไปรัฐบาลก็คงจะใช้ความระมัดระวังในการปกครองเปนพิเศษ ซึ่งก็น่าจะเปนผลดีแก่ประเทศชาติไม่น้อย

เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่ากลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เปนสิ่งสาระสำคัญอันจะขาดเสียมิได้ ถ้าเรายังไม่ประสงค์จะแลเห็นบ้านเมืองของเราเต็มไปด้วยความเลอะเทอะจนถึงขีดหมดหวัง อนึ่ง ความคับขันชนิดที่จะต้องการรัฐบาลผสมจนถึงจะมิให้มีกลุ่มหรือพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาเสียเลยนั้น ยังอยู่ห่างไกลจนไม่สามารถจะแลเห็นได้ หากจะมีข้อน่าเปนห่วง ข้อเปนห่วงมิได้อยู่ที่ว่าเพราะมิฝ่ายค้าน หากอยู่ที่ว่าเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่รู้จักคุณธรรมแห่งการปฏิบัติหน้าที่ของตนเท่านั้น อย่างไรก็ดี การปกครองที่ไม่มีฝ่ายค้านนั้นยากที่จะเปนการปกครองประชาธิปไตยไปได้ การอภิปรายในสภาผู้แทน เมื่อ ๑๒ วันที่แล้ว ได้พิศูจน์ให้เห็นประโยชน์ของการมีฝ่ายค้านอย่างชัดแจ้งทีเดียว

อนึ่ง ควรเปนที่สังเกตว่า ในการอภิปรายคำแถลงนโยบายของรัฐบาลในวุฒิสภารวม ๓ วันนั้น สมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยคน ซึ่งเราเข้าใจว่าไม่มีพันธะจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานที่เปนฝ่ายค้านก็ได้แสดงข้อตำหนิติเตียนรัฐบาล ด้วยถ้อยคำหนักเอาการอยู่ซึ่งใคร ๆ ก็ออกจะมิได้คาดหมาย ข้อวิพากษ์วิจารณ์หรือข้อแนะของท่านสมาชิกเหล่านั้น อาจถือเปนเครื่องวัดความรู้สึกนึกคิดของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลได้เปนอย่างดี และเราหวังว่ารัฐบาลไม่ละโอกาสที่จะใช้เครื่องวัดนั้นให้เปนประโยชน์แก่การปรับปรุงท่าทีของรัฐบาลต่อไป

เท่าที่เราจะระลึกทบทวนได้นั้น รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญาไว้แก่รัฐสภา ซึ่งก็หมายถึงว่าให้ไว้แก่ประชาชนเปนจำนวนมาก เราคิดว่าคำมั่นสัญญาที่ประชาชนสนใจอย่างยิ่งนั้นคือ ได้แก่คำมั่นสัญญาที่จะเชิดชูหลักการปกครองประชาธิปไตย โดยจะจัดการมิให้อิทธิพลของทหารและตำรวจเข้ามาพัวพันกับการเมือง จะจัดการทุกประการมิให้ประชาชนหวาดหวั่นภัยจากการกดขี่ทางการเมืองจากผู้ถืออาวุธและถืออำนาจที่ประเทศได้มอบไว้ให้และจะจัดการโดยประการอื่น ๆ อีก

การภายหน้าของประเทศจะดำเนินไปราบรื่นเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่แก่ปัจจัยหลายอย่าง แต่ในชั้นต้นนี้ ถ้าแต่ละฝ่ายจะพยายามศึกษาถึงหน้าที่ของตน จะศึกษาถึงคุณธรรมที่แต่ละหน้าที่ต้องการ แล้วตั้งหน้าปฏิบัติด้วยความสุจริตจริงใจ แล้วก็พอหวังได้ว่า จะบรรเทาความเดือดร้อนระส่ำระสายในบ้านเมืองให้ลดน้อยลงได้เปนลำดับ

เมื่อถูกรุกเร้าในวุฒิสภาว่ารัฐบาลไม่เปนประชาธิปไตยนั้น นายกรัฐมนตรีได้ตอบว่าตัวท่านได้เล่นกับรัฐธรรมนูญมาถึง ๑๗-๑๘ ปีแล้ว ก็จะต้องขอรับว่ายังไม่แตกฉานพอก็ท่านมัวไป “เล่น” กับรัฐธรรมนูญเสียนี่ถ้าท่าน “เอาจริงเอาจัง” กับมันแล้ว ท่านก็คงจะไม่ต้องมาบ่นว่า ท่านยังไม่แตกฉานพอ เราหวังว่าต่อแต่นี้ไปท่านจะเลิก “เล่น” กับรัฐธรรมนูญซึ่งท่านได้ “เล่น” มาถึง ๑๗-๑๘ ปีแล้ว และหันมา “เอาจริงเอาจัง” กับรัฐธรรมนูญเสียที

 

ที่มา : ไม่ทราบแหล่งพิมพ์ครั้งแรก
เวลา : 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2492

 

 

หมายเหตุ:

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการหนังสือมนุษย์ไม่ได้กินแกลบฯ และคุณปรีดา ข้าวบ่อ แห่งสำนักพิมพ์ชนนิยมแล้ว
  • อักขรและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
  • โปรดดูเพิ่มเติม หมายเหตุบรรณาธิการได้ที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ, “ประโยชน์ของการมีฝ่ายค้าน”, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548), น. 269-272.
  • ตัวเน้นโดยผู้เขียน

บรรณานุกรม :

  • กุหลาบ สายประดิษฐ์, “ประโยชน์ของการมีฝ่ายค้าน”, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548), น. 273-277.

บทความที่เกี่ยวข้อง :