ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ (ตอนที่ 40)

1
มีนาคม
2568

กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือศรีบูรพา

 


ลายมือเขียนต้นฉบับบทความเรื่อง “มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ” ของกุหลาบ สายประดิษฐ์

 

เปนเรื่องที่ได้สดับมาจากผู้โดยสารเรือชารอนในระหว่างข้ามมหาสมุทอินเดีย จากฝั่งตวันตกของออสเตรเลียมาสู่สิงคโปร์ เปนเรื่องที่เกิดขึ้นณะที่ใดที่หนึ่งในโลก

ซึ่งประชาชนในประเทศนั้นกินข้าว จะเปนข้าวสาลี ข้าวโอต ข้าวจ้าว หรือข้าวเหนียว ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ท่านประธานาธิบดีและคณะของเขาไปเข้าใจเสียว่าประชาชนกินแกลบ. ตรงนี้แหละที่เปนประเด็นก่อให้เกิดเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ในประเทศนั้นไม่มีที่สิ้นสุด. ผู้เล่าไม่ได้เล่าเรื่องราวของประเทศนั้นเรียงลำดับกันไปอย่างเปนระเบียบ เขาเล่าเปนชิ้นๆ เราเอามาปะติดปะต่อกันเข้าพอให้เรื่องราวเชื่อมโยงกันไปได้.

เขาเล่าว่า แต่โบราณกาลมา ประเทศนั้นก็ปกครองโดยมนุษย์คนหนึ่งที่มีสภาพทุกอย่างไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาทั้งหลาย ข้อแตกต่างกันที่มนุษย์ผู้นั้นและบรรพบุรุษของเขาได้ประดิษฐ์ขึ้น และที่เปนข้อเด่นๆ ก็มีอยู่ในเรื่องต่อไปนี้คือ

๑. เขาเรียกตัวเขาเองว่า พระราชา และด้วยการขนานนามให้แก่ตัวเองดังนั้น ทำให้ประชาชนทั้งหมดเชื่อถือว่า เขามิใช่เปนคนหนึ่งในหมู่มนุษย์ธรรมดา หากเปนสภาพศักดิ์สิทธิที่ลอยอยู่เหนือมนุษย์ทั่วไป ทั้งที่ความจริงเขาเหาะไม่ได้ และเวลาจะไปไหน เขาก็ต้องเดินไปด้วยตืีนเช่นมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน และไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องใช้อวัยวะเช่นที่มนุษย์ทั้งหลายใช้เหมือนๆ กันทุกอย่าง นอกจากตัวเขาจะได้รับขนานนามใหม่ และได้สภาพที่ลอยอยู่เหนือมนุษย์ทั่วไปแล้ว เขายังจะจัดการให้วงศาคณาญาติได้รับสภาพเช่นเดียวกัน คือสภาพที่ลอยอยู่เหนือมนุษย์ทั่วไป ยิ่งกว่านั้นเขายังจัดการขนานนามให้พวกบริพารผู้รับใช้ใกล้ชิดถูกใจเขาได้รับขนานนามว่าเปนผู้วิเศษด้วยประการต่าง ๆ เปนผู้ที่มีอำนาจแผ่คลุมไปในโลกทั้งสามบ้าง เปนผู้ที่เพียงแต่เหล่าศัตรูได้ยินชื่อก็มืออ่อนตีนอ่อนหนีหัวซุกหัวซุนกันไปหมด และยังประกอบด้วยผู้วิเศษต่างๆ อีกมากมายก่ายกองซึ่งไม่เพียงแต่มนุษย์เดินดินจะต้องหมอบราบคาบแก้วให้ แม้เทวดาได้ยินชื่อก็ยังพลอยเสียวสันหลังไปเหมือนกัน. ปวงประชาชนที่เชื่อถือตามๆ กันมา เพราะว่าพอเกิดมาเปนตัวตน ก็ได้ยินได้ฟังแต่เรื่องราวของท่านที่มีอิทธิฤทธิ์เหล่านี้ดังกลบหูไปหมด ส่วนพระราชานั้นไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่ลูกน้องที่หมอบเฝ้าสูดละอองธุลีพระบาทอยู่เปนอัตรา ยังมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรถึงปานนั้นแล้ว ฤทธิศักดานุภาพขององค์พระราชาก็จะต้องเอาพันเอาหมื่นคูณเข้าไปเปนแน่.

เมื่อบุคคลที่เรียกตัวเองว่าพระราชาได้ทำให้ประชาชนทั้งหลายเชื่อถือว่า เขาคือผู้ที่มีสภาพศักดิ์สิทธิลอยอยู่เหนือมนุษย์ทั่วไปแล้ว เขาก็ไม่ประสพความยากลำบากอะไรที่จะทำให้คนทั้งหลายเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในประเทศนั้นย่อมเปนของเขาทั้งหมด แม้แต่ชีวิตของคนทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ถ้าเขาต้องการเมื่อใด ทุกคนก็จะต้องถวายเปนพลีให้ทุกเมื่อ กฎเกณฑ์วิตถารเหล่านี้ในตอนเริ่มต้นกันใหม่ ๆ ประชาชนคนโบราณก็คงจะนึกพิศวงสนเท่ห์อยู่บ้างเหมือนกัน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงไปนับเปนร้อยๆ ปี คนรุ่นหลังเกิดมาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเปนอยู่ดุจตรึงตราไว้ด้วยเสาเหล็กหมดแล้ว เข้าใจว่าเทพยดาฟ้าดินและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก กำหนดลงไว้เช่นนั้น ก็ยอมรับสภาพที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์คิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้ประดิษฐ์เอง ว่าเปนสภาพที่ไม่พึงจะแตะต้องแก้ไข แม้แต่เพียงจะสงสัยว่าเปนสภาพที่ควรจะรักษาไว้จนกว่าโลกจะแตกหรือไม่ก็จะเปนบาปอย่างมหันต์ และจะถูกลงทัณฑ์อย่างหนัก ไม่มีทัณฑ์อื่นใดจะยิ่งไปกว่า

พระราชาและวงศาคณาญาติ พร้อมด้วยบริพารของเขา ไม่เพียงแต่จะได้ไปซึ่งฐานะพิเศษอันทำให้เข้าเหล่านั้นล่องลอยอยู่เหนือเศียรเกล้าของประชาราษฎรเท่านั้น หากเขายังได้เปนผู้ครอบครองโภคทรัพย์อันมหาศาลในประเทศ ซึ่งทำให้การเปนอยู่ของพระราชาและพวกพ้อง ผิดแปลกแตกต่างไปจากการเปนอยู่ของมนุษย์ทั้งหลายในประเทศนั้น จนดูเหมือนกับว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งเปนมนุษย์อีกฝ่ายหนึ่งก็มิใช่มนุษย์. จําเนียรกาลนานมา พวกราษฎรก็ยอมรับการเปนอยู่ที่จำแนกมนุษย์ออกไปอยู่คนละปลายสุดสองด้านเช่นนั้น ว่าเปนสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงให้เปนอย่างอื่นไม่ได้ เหมือนกับที่จะเปลี่ยนเอาพระอาทิตย์ไปไว้ในตอนกลางคืน และเอาพระจันทร์มาไว้ในตอนกลางวัน

ฉะนั้น. พระราชาและพวกพ้องของเขาสามารถทำให้ผู้คนพลเมืองเชื่อถือได้ แม้จนกระทั่งว่า ความคิดหรือความพยายามใด ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพที่เปนอยู่ตั้งหลายร้อยปีมาแล้วนั้นจะนำมาซึ่งความอัปรีย์จัญไรสู่ชุมชน และราษฎรไม่น้อยก็พร้อมที่จะยอมตายเพื่อพระราชาของเขา ถ้าจะมีใครมาเปลี่ยนแปลงสภาพการเปนอยู่ แม้เพื่อประโยชน์สุขของพวกราษฎรเองแท้ๆ. การศึกษาและวัฒนธรรมของประเทศนั้นมีจุดมุ่งอยู่จุดเดียว คือฉีดความจงรักภักดีต่อพระราชาเข้าไปในเลือดและกระดูกของพลเมือง. ในสมองของพลเมือง ไม่มีที่ว่างจะบรรจุความคิดอะไรได้อีก นอกจากความจงรักภักดีต่อพระราชาอย่างคนตาบอด

เคยมีเวลาที่ประเทศนั้นได้รับการบุกรุกข่มขี่จากชาติที่เจริญกว่าเพื่อจะเอาลงเปนทาสเหมือนกัน. แต่พระราชาของประเทศนั้นไม่ใช่คนโง่ เนื่องแต่ที่เขาได้ประโยชน์มหึมาจากการปกครองประเทศของเขา เขาจึงต้องฝึกฝนในการใช้สติปัญญาอยู่เหมือนกัน. สมัยหนึ่งพวกคนขาวจากยุโรปแล่นเรือมาขึ้นที่ประเทศของเขา และจะมาข่มขู่ยึดเอาประเทศของเขาไปอย่างดื้อ ๆ พระราชาในสมัยนั้นรู้เท่าทันและแก้ไขเอาตัวรอดมาได้.

เรื่องย่อ ๆ ในตำนานที่เล่าสืบต่อกันมามีดังนี้ พวกคนชาวจากยุโรปกลุ่มใหญ่ พร้อมด้วยอาวุธครบมือได้แล่นเรือมาขึ้นที่ชายแผ่นดินแห่งหนึ่ง หัวหน้าของคนขาวพวกนั้นได้แสดงความกำแหงส่งคนไปบอกพระราชา ขอเชิญมาพบสนทนา ณ ที่ค่ายของเขา เมื่อพระราชาพร้อมองครักษ์ได้มาพบหัวหน้าคนขาวตามที่นัดหมายแล้ว หัวหน้าคนขาวได้จัดให้พระคริสเตียนรูปหนึ่งออกสนทนากับพระราชา. พระคริสเตียนได้ออกมาผเชิญหน้ากับพระราชาด้วยอาการอันสง่า พร้อมด้วยพระคัมภีร์ และไม้กางเขนอยู่ในมือ. พระคริสเตียนลงมือเทศนาถึงเรื่องพระผู้เปนเจ้าของเขาให้พระราชาฟัง ได้บรรยายถึงความปรารถนาและมรณกรรมของพระเยซู ได้บรรยายว่าพระเยซูนั้นเปนผู้สืบเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์... พระคริสเตียนได้บรรยายถึงอานุภาพอันเกรียงไกรแห่งพระราชาของเขาที่สถิตอยู่เหนือบรรลังก์ในยุโรป ซึ่งองค์พระราชาเจ้าของประเทศอันพระคริสเตียนกำลังยืนอยู่นั้น… เพราะว่าโป๊ปผู้ที่ได้สืบอำนาจศาสนาต่อมาจากองค์เซ็นตปีเตอ และเปนผู้แทนของพระผู้เปนเจ้า ได้ทรงมอบหมายแผ่นดินทั้งปวงของพวกอินเดียนทั่วทุกคาบมหาสมุทร ให้แด่พระราชาของเขาในยุโรป.

ได้ฟังดังนั้น ดวงตาของพระราชาเจ้าของถิ่น ก็ฉายออกมาซึ่งประกายแห่งความถือตัวและได้ตอบพระคริสเตียนว่า “ตูข้าเปนพระราชาองค์ที่หนึ่งของโลก และตูข้าไม่ได้ homage แก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย พระราชาของสูเจ้าคงจะเปนพระราชาที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง มิฉะนั้นแล้วพระองค์คงไม่สามารถส่งข้าราชบริพารของพระองค์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาได้ไกลถึงปานดังนี้ เพราะฉะนั้นตูข้าก็จะปฏิบัติต่อพระองค์ดุจพี่น้องของเรา. แต่เจ้าหมออีกคนหนึ่งที่ท่านกล่าวว่าเปนพระราชาหรือเปนพระผู้เปนเจ้านั้นคือใครที่ไหนกันเล่า? เจ้าหมอคนที่ท่านอ้างว่า ได้นำเอาแผ่นดินซึ่งมิใช่ของเขาไปยกให้แก่พระราชาของท่านน่ะคือใครที่ไหนกันเล่า, เพราะว่าแผ่นดินนับเปนของตูข้า และเปนของตูข้าแต่ผู้เดียวเท่านั้น. แล้วก็เรื่องพระผู้เปนเจ้าองค์ที่ท่านกล่าวให้ฟังนั้น ตามความรู้สึกของตูข้าออกจะเห็นว่า เปนเรื่องบัดซบ. ท่านกล่าวว่าพระผู้เปนเจ้าองค์นี้ถูกฆ่าโดยมนุษย์ ซึ่งท่านก็บอกอีกแหละว่าผู้ที่ฆ่านั้นคือผู้ที่พระผู้เปนเจ้าได้สร้างขึ้นมา ตูข้าไม่บูชาพระผู้เปนเจ้าที่ดับชีพไปแล้ว พระผู้เปนเจ้าของตูก็คือ สุริยเทพ ซึ่งทรงชีพและอํานวยชีพแก่มนุษย์แก่สัตว์และแก่พืชพันธ์ในโลกนี้. เมื่อใดถึงกาลมรณะของสุริยเทพ เราทั้งหมดก็จะถึงกาลมรณะไปตามพระองค์ ดุจยามที่พระองค์เข้าสู่นิทรา เราก็เข้าสู่นิทราด้วยเหมือนกัน.”

คนขาวเปนพวกที่มีทิษฐิมานะ แม้ในมิจฉาทิษฐิ การสู้รบจึงเปนผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดกองทหารของพระราชาเจ้าของถิ่น ก็ขับไล่คนขาวลงทะเลไปได้หมด. พระราชาได้พูดกับบริพารของพระองค์ในภายหลังว่า “อ้ายพระผิวขาวคนนั้นมันนึกว่าตูกินแกลบ. ฮิ!ฮิ!”

พระราชากล่าวถูกต้องที่เดียว. ข้อที่ประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในภายหลังก็เนื่องด้วยตัวเขาและลูกหลานของเขาลืมไปว่า ประชาชนในประเทศของเขาก็มิได้กินแกลบเหมือนกัน.

กาลเวลาผ่านไป จนกระทั่งประเทศนั้นได้มาประสพกับความอัตคัตขาดแคลนในเรื่องปัจจัยการครองชีพขึ้น ประชาชนได้รับความยากลำบากกันทั่วไป ในเวลาเช่นนั้น ในสมองของเขาซึ่งเคยเต็มเปี่ยมอยู่ด้วยความจงรักภักดีในพระราชา ก็มีช่องว่างเกิดขึ้น และรับเอาความคิดบางอย่างเข้าไป. ในเวลาที่คนทั้งหลายต้องผเชิญกับความทุกข์ยากนั้น ฝ่ายพระราชากับพวกพ้องของเขา ก็เสพย์สุขารมณ์อยู่เปนปรกติ เขาจึงเริ่มสงสัยกันว่า สภาพที่เปนอยู่ดังนั้น จะเปนสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ไปชั่วกัลปาวสานต์ละหรือ?

ต่อมาก็มีคนกลุ่มหนึ่ง ทำการที่เรียกว่า เรฟโวลูชั่น หรือการปฏิวัติขึ้น. คนกลุ่มนั้นทำการสำเร็จ จัดการเนรเทศพระราชาและพวกพ้องคนสำคัญของพระราชาออกไปนอกประเทศได้หมด. เมื่อคนกลุ่มนั้นประสพความสำเร็จในงานเรฟโวลูชั่นแล้ว เขาได้ประกาศแก่ปวงราษฎรว่า “พวกที่สมมุติตัวเองว่าเปนเทวดาเหล่านั้น ได้ทำให้พวกเราหลงเชื่อมาเปนเวลาตั้งหลายร้อยปีว่า เขาเปนเจ้าของประเทศนี้แต่ผู้เดียว เขาเปนเจ้าชีวิตของพวกเราทุกคน เขาเปนผู้ที่มีบุญญาอภินิหารดุจเทพยดาในท้องฟ้า และเราก็เชื่อเขา และยอมให้เขากอบโกยทรัพย์สินในประเทศนี้ ไปบำรุงบำเรอความสุขของเขาและวงศาคณาญาติ บริพารของเขา เอนกอนันต์ เขาทำให้เราเชื่อว่า ผู้ที่มีบุญญาอภินิหารเช่นเขา ถ้าไม่ได้รับการปรนปรือให้อยู่เปนสุขสำราญขนาดนั้นแล้ว ก็กลับจะเปนบาปและความอัปรีย์จัญไรของพวกเรา. เราเชื่อเขาทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งเชื่อว่า เมื่อเกิดความทุกข์ขุกเข็ญขึ้นในประเทศของเรา และแก่ชาวเราแล้ว เขาคงจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ยาก หรือผ่อนหนักเปนเบาให้พวกเราได้ แต่บัดนี้ พวกเราทั้งหลาย ก็ได้เห็นอยู่แก่ตาแล้วว่า ความทุกข์ยากที่พวกเราได้รับกันมาเปนเวลาแรมปี พวกสมมุติเทวดาเหล่านั้น ก็ไม่เคยแก้ไขให้บรรเทาลงได้เลย มีแต่จะส่ำสมเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน. ส่วนพวกเขาสิ คงเสวยสุขารมณ์อยู่ได้โดยไม่ขาดตกบกพร่องเลย เพราะว่าถ้าเขารู้สึกว่าจะขาดตกอะไรไป เขาก็จะมารีดไปจากพวกเรา ทั้งที่แทบทุกคนก็มีแต่เลือดซีด ๆ ด้วยกัน.”

คำประกาศของเขาอีกตอนหนึ่งมีว่า “พวกเทวดาเหล่านั้น มักจะอ้างว่า แผ่นดินผืนนี้ พวกบรรพบุรุษของเขาได้อาบเหงื่อ และในบางครั้งก็อาบเลือด ก่อสร้างและรักษาไว้จนตกทอดมาถึงคนรุ่นเขา เราควรจะตั้งคำถามมานานแล้วว่า พวกบรรพบุรุษที่สร้างและรักษาแผ่นดินผืนนี้ให้ตกทอดมาถึงเรานั้น มีแต่บรรพบุรุษของพวกเทวดาเท่านั้นหรือ? แล้วก็พวกบรรพบุรุษของพวกเราไปอยู่เสียที่ไหนเล่าบรรพบุรุษของพวกเรา ไม่ได้ก่อสร้างและรักษาแผ่นดินผืนนี้มากับเขาด้วยดอกหรือ? บรรพบุรุษของพวกเรา เปนพวกนั่งกินนอนกินแรงของพวกบรรพบุรุษเทวดาเหล่านั้นหรือ? ไร่นาทั่วท้องแผ่นดินนี้ ไม่ได้ถูกไถถูกหว่าน และเพาะปลูกพืชพันธ์ต่างๆ ด้วยน้ำมือและเหงื่อไคลของบรรพบุรุษพวกเราดอกหรือ? บ้านเรือนและถนนหนทางในแผ่นดินนี้ ใครเล่าเปนผู้สร้าง? ใครเล่าเข้าไปในป่าโค่นต้นไม้ลงมา คุมแพซุงล่องลงมาตามลำแม่น้ำ เลื่อยขอนไม้ให้เปนแผ่นกระดาน และประกอบเข้าเปนบ้านเรือนที่พวกเราทั้งหมด รวมทั้งบ้านเรือนอันสง่างามพวกเทวดาด้วย ได้อยู่อาศัยกันมาชั่วคนแล้วชั่วคนเล่า จนถึงบัดนี้? ใครเล่าที่ขนหินมารวมเปนถนนให้ผู้คนเดินไปมาได้ และให้พวกเทวดาเอารถมาขี่ขับสำราญได้? ใครเล่าที่ขุดขนก้อนดินขึ้นมาทีละก้อนจนเกิดเปนลำคลองยาวเหยียด ไม่รู้ว่ากี่ร้อยลำคลอง สำหรับให้ผู้คนได้ใช้สัญจรไปมา ได้น้ำอาบกินและได้ปลามาเปนอาหาร? งานทั้งหมดเหล่านี้ ไม่ได้สำเร็จขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและเหงื่อไคลของบรรพบุรุษพวกเราดอกหรือ? ถึงแม้ในเวลามีศึกสงคราม บรรพบุรุษของใครเล่าที่เอาชีวิตไปถมแผ่นดินไว้เปนจำนวนมากมายก่ายกอง แม้ในคราวรบขับไล่เจ้าพวกคนขาวที่มาจากยุโรปตกทะเลไปหมดนั้น ก็บรรพบุรุษของใครเล่าที่เป็นผู้วิ่งดาหน้ากันออกไปรับกระสุนดินดําของเจ้าพวกคนขาวเหล่านั้น?”

คําประกาศของพวกเรฟโวลูชั่นอีกตอนหนึ่งมีว่า “พวกเทวดาเหล่านั้นยังชอบอ้างอีกว่า เพราะว่าพวกเขาเปนพวกที่ศึกษาศิลปวิทยามาอย่างลึกซึ้งกว้างขวาง สามารถรู้การณ์เปนไปในแผ่นดิน ในอากาศ และในน้ำ เกินที่พวกเราจะรู้ได้ เหตุฉะนั้นเขาจึงมีสิทธิจะได้อยู่วิมานดุจเทพยดา พร้อมด้วยข้าทาสบริวารและนางบำเรออันนับมิถ้วน. ข้อโอ้อวดแกมข่มขู่เช่นนี้ เปนสิ่งอัปยศอดสูที่สุด ภายหลังที่เขาได้ยึดเครื่องมือและโอกาสแห่งการศึกษาศิลปวิทยาชั้นสูงไปไว้ในครอบครองของเขาจนหมดสิ้น และปล่อยพวกเราไว้ในทุ่งนากับฝูงวัวควายแล้ว เขายังมีหน้ามาอวดอ้างว่าเขารู้ศิลปวิทยาลึกซึ้งกว่าพวกเรา เขาฉลาดกว่าพวกเรา เขาเท่านั้นที่สามารถจะปกครองบ้านเมืองได้ เขาว่าพวกเราไม่มีวัฒนธรรม และเปนพวกมาเบเรียน. เรายอมให้เขากอบโกยทรัพย์สินของพวกเราไปบำรุงบำเรอการเปนอยู่อันวิเศษของเขาแล้ว ยังไม่หนำใจ เขายังฉวยโอกาสแห่งความเสียสละและความโอบอ้อมอารี่ของเรามาแสดงความโอ้อวด, ข่มขู่ และเหยียดหยามเราอีก. เราอยากรู้นักว่า พอเขาเกิดมาแล้วก็ถูกส่งมาอยู่ในทุ่งนา อยู่กับวัวควายเช่นพวกเรา เขาจะมีโอกาสได้พูดหรือว่าเขามีปัญญาล้ำเลิศไปกว่าพวกเราทั้งหลาย”

คําประกาศเช่นนี้ พร้อมกับคำประกาศอื่น ๆ ล้วนเปนการชี้ข้อความจริงอันประชาชนส่วนมากไม่เคยคิดคำนึงมาก่อน ถึงเช่นนั้นประชาชนส่วนมากเมื่อได้อ่าน ได้ฟังคำประกาศดังกล่าวแล้ว ก็ออกจะเห็นพ้องและเห็นว่าสมจริง. โดยที่พวกเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังผู้ที่มีอำนาจปกครองบ้านเมืองในสมัยก่อนๆ มาพูดกับพวกเขาด้วยถ้อยคำอันเห็นแก่ทุกข์สุขและผลประโยชน์ของพวกเขาเลย เขาก็ออกจะจับใจในคำประกาศนั้น และก็พากันให้ความสนับสนุนอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งคอยวันคืนที่จะได้เห็นแสงเงินแสงทองโผล่ขึ้นมาทางขอบฟ้าแห่งชีวิตของพวกเขา.

หลังจากนั้น คณะปฏิวัติที่มาจากราษฎรก็ได้ลงมือทำงานของพวกเขาไป. มีความหวังและความงามรำไร ในการตั้งต้น เพื่อที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ให้แก่ชนชาติของเขา. แต่เปนที่น่าเสียดาย ที่ส่วนมากของบุคคลผู้มาจากราษฎรกลุ่มนั้น หาใช่บุคคลผู้มีความสนใจจริงจังต่อชีวิตความเปนอยู่ของราษฎรชั้นสามัญไม่. เมื่อเขาได้อำนาจปกครองประเทศ และได้เลื่อนฐานะจากชนชั้นกลางไปสู่ฐานะของชนชั้นปกครอง และชนชั้นสูงแล้ว ความสนใจของเขาที่เคยมีอยู่บ้างต่อความทุกข์ยากลำเค็ญของปวงราษฎรก็ค่อยเลื่อนจางไป เมื่อได้อำนาจมากเข้าและเสพย์สุขสำราญมากเข้า เขาก็ห่างเหินจากพวกสามัญชนออกไปทุกที. เขาลืมไปว่าในสังคมของชนชั้นสูงนั้น เต็มไปด้วยความเย้ายวนของความสุข เปนที่หมักดองส่ำสมของกิเลส เปนที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายร้ายแรงแก่อุดมคติที่เขายึดถือเพื่อมวลชน เปนที่คุมขังบุคคลเพื่อที่จะไม่ให้ไปสู่ปราณีธรรมต่อมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากเปนอุโมงค์ที่ไม่มีอากาศอย่างอื่นจะหายใจ นอกจากอากาศแห่งความเห็นแก่ตัวล้วนๆ. เปนโลกของบุคคลผู้ถือคติตัวใครก็ตัวของมัน คนที่แข็งแรงจึงจะอยู่รอด คนที่อ่อนแอก็ถึงความพินาศฉิบหายไป เปนที่ซึ่งถ้าต้องการมีงานแฟนซีสวมหน้ากากก็ไม่จำเปนต้องใช้หน้ากากเพราะดวงหน้าแห่งเลือดเนื้อนั้น ใช้แทนหน้ากากได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว

ในที่สุด คนกลุ่มนั้นเกือบทั้งหมด ซึ่งได้กลายเปนชนชั้นปกครองไปแล้ว ก็ไม่คิดที่จะทำงานอะไรให้เปนคุณประโยชน์แก่ราษฎรส่วนใหญ่อย่างจริงจังเลย ในที่สุด คนพวกนั้นก็ได้แปลงชีวิตของเขาให้เปนเทวดาไปอีกพวกหนึ่ง แต่นั้นมา กิจของเขาก็ไม่มีอะไร นอกจากพยายามที่จะรักษาระบบการบ้านเมืองที่จะยังให้สภาพเทวดาดำรงยั่งยืนต่อไป แล้วก็ทำการช่วงชิงวิมานกันในระหว่างพวกของเขาเอง ฝ่ายพวกเทวดารุ่นเก่า ไม่ใคร่มีโอกาสจะได้ช่วงชิงกับเขา ก็ได้แต่จะแล ๆ การกระทำของเทวดารุ่นใหม่ด้วยใจริษยา พร้อมกับบริภาษไปไม่ขาดปาก ในบางครั้งคราวเขาก็เข้าร่วมมือกับพวกเทวดารุ่นใหม่ ในความประสงค์ที่จะรักษาไว้ซึ่งสภาพของเทวดาให้สถิตย์สถาพรต่อไป ถึงแม้พวกเทวดารุ่นเก่าจะถูกลดชั้นลงมาเปนเทวดาชั้นสองแล้วก็ดี เขาก็ยังหลงใหลหวงแหนในความเปนเทวดาของเขาอยู่ร่ำไป. พวกที่เคยเปนเทวดามาแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมรู้สึกอยู่เสมอว่าการจัดระเบียบบ้านเมืองที่ขาดกลไก อันจะให้กำเนิดกลุ่มเทวดาน้อยๆ ขึ้นในชุมนุมมนุษย์ธรรมดาสามัญนั้น เปนสภาพชีวิตที่เขาจะทนไม่ได้. พวกเทวดาทั้งหลายไม่ว่าจะเปนชั้นใด ย่อมกีดกั้นต่อสู้จนสุดกำลัง ถ้าจะต้องผเชิญกับการจัดระเบียบบ้านเมืองเสียใหม่ เพื่อจะเลิกล้างสภาพเทวดาสิ้นเชิง และให้มนุษย์หัวหน้าได้รับส่วนแบ่งความผาสุกอย่างเปนธรรม

เปนอันว่า ภายหลังที่ได้มีการกำจัดเทวดาพวกแรกไปแล้ว และแม้ว่าต่อมายังได้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าผู้ปกครองบ้านเมืองอีกหลายครั้ง แต่ความจริงก็เปนการสับเปลี่ยนตัวกันในหมู่เทวดา และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ นั้นก็เปนเรื่องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเทวดาเท่านั้น ส่วนสามัญชนที่เดินอยู่ตามถนนอีโหลกโขลกเขลกและตามคันนา ก็คงถูกปล่อยให้อยู่กันไปอย่างไม่สู้จะแตกต่างไปจากที่เคยอยู่กันมาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วเท่าใด. ความเปลี่ยนแปลงทางฝ่ายประชาชนที่เด่นชัดข้อหนึ่งก็คือ คนเหล่านั้น ซึ่งแต่ดั้งเดิมมาไม่เคยเอาใจใส่ต่อการปกครองบ้านเมืองเลย โดยเข้าใจว่า สภาพการณ์ที่เปนอยู่ย่อมเปนไปตามโองการของสิ่งศักดิ์สิทธิ สภาพการณ์ที่เปนมาแต่โบราณย่อมเปนสิ่งถูกต้องเสมอ และจะแก้ไขให้เปนอื่นไปไม่ได้.

ครั้นมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งแสดงตนว่าได้ไปจากพวกเขา กำจัดพวกที่เขาคิดว่าเปนดังพระผู้เปนเจ้าออกไปจากอำนาจได้ และประกาศถ้อยคำอันคมคายให้เขาฟัง แต่นั้นมาเขาก็เริ่มเงี่ยหูฟังและลองหัดคิดเรื่องการบ้านเมืองดูบ้าง ต่อมาเมื่อพวกเทวดารุ่นใหม่ได้อำนาจปกครองเสียงพูดกันเรื่องการบ้านเมืองก็ดังก้องขึ้น และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครอง ประชาชนก็มีโอกาสสดับตรับฟังเหตุการณ์บ้านเมืองใกล้ชิดยิ่งขึ้น จนเขาทั้งหลายเริ่มสงสัยกันว่า พวกเทวดาเหล่านี้สมควรจะปกครองบ้านเมืองในนามของพวกเขาต่อไปหรือ?

พวกราษฎรได้เคยฟังตำนานเรื่องพระผิวขาวจะมาต้มพระราชาและยังจำได้ดีถึงคำของพระราชาที่เคยพูดว่า “ อ้ายพระผิวขาวคนนั้น มันนึกว่าตูกินแกลบ”

ต่อมา เมื่อคนกลุ่มหนึ่งก่อการเรฟโวลูชั่น ขับพระราชาและบริพารออกไปจากอำนาจ คนกลุ่มนั้นก็ได้ประกาศแก่เขาว่า “พระราชาและพวกสังคญาติของเขา คงคิดว่าพวกเรากินแกลบกระมัง จึงปล่อยให้พวกเราเปนอยู่อย่างนี้มาได้ตั้งหลายร้อยปี”

บัด...[ต้นฉบับขาด]...มากมายมหึมานั้นเอง ก็ได้เริ่มตั้งคำถามขึ้นบ้างเหมือนกันว่า “ท่านพวกเทวดาเหล่านี้เขาคิดว่าพวกเรากินแกลบหรืออย่างไร จึงมาใช้กะบาลของเราเปนทางเดิน แสวงหาลาภยศผลประโยชน์ของเขา”

พวกเทวดารุ่นใหม่นั้น เมื่อได้ขึ้นครองวิมานแล้วก็เลยลืมไปว่าประชาชนมิได้กินแกลบเช่นที่เจ้าพระราชาเคยลืม และเช่นที่เจ้าพระผิวขาว เมื่อคิดจะต้มพระราชาก็เคยลืมไปเหมือนกัน.

ผู้เล่าได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า “น่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์ของโลกนั้น เปนแต่เพียงบันทึกความหลงลืมของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า หาใช่บันทึกความทรงจำของมนุษยชาติไม่”

(ผู้เล่าได้เล่าพฤติการณ์อันน่ามหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในประเทศนั้นอีกมากหลาย แต่ผู้บันทึกได้บันทึกเรื่องที่ได้ฟังมาบนเรือชารอนไว้เพียงเท่านี้)

ที่มา : ไม่ทราบแหล่งพิมพ์ครั้งแรก
เวลา : มีนาคม พ.ศ. 2493

 

หมายเหตุ:

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการหนังสือมนุษย์ไม่ได้กินแกลบฯ และคุณปรีดา ข้าวบ่อ แห่งสำนักพิมพ์ชนนิยมแล้ว
  • อักขรและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
  • โปรดดูเพิ่มเติม หมายเหตุบรรณาธิการได้ที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ, เรื่อง “ศรีบูรพา”, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548),  น. 400-401.
  • ตัวเน้นโดยผู้เขียน

บรรณานุกรม :

  • กุหลาบ สายประดิษฐ์, เรื่อง “ศรีบูรพา”, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548),  น. 400-410.

บทความที่เกี่ยวข้อง :