
กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือศรีบูรพา
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีสมาชิกสภาผู้แทนนายหนึ่ง ได้ปรารภความดําริที่จะเปิดอภิปรายวิพากษ์การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล. ท่านสมาชิกผู้นั้นได้นำความดำริของเขาออกเปิดเผยแก่หนังสือพิมพ์ โดยกล่าวข้อความหลายประการที่เขาเห็นว่าจะต้องวิพากษ์รัฐบาลอย่างจริงจัง เขาได้กล่าวถึงเรื่องคอร์รัปชั่นขนาดหนักในวงราชการด้วยเหมือนกัน แต่เขาได้ตั้งข้อสังเกตในเรื่องคอร์รัปชั่นไว้ว่า เรื่องนี้ได้ปรากฏเห็นชัดกันอยู่ทั่วไปแล้ว เขาจึงเห็นว่าไม่จําเป็นจะต้องยกขึ้นอภิปรายอะไรกันอีก คือเห็นว่าควรจะผ่านไปได้
ข้อคิดของท่านสมาชิกสภาผู้แทนผู้นี้ อาจเปนข้อคิดที่เหมาะแก่จะใช้กับกิจการเมืองของไทยหรืออย่างไรก็ตามที แต่เราก็จะต้องรับว่าเปนข้อคิดที่ฟังดูชอบกลอยู่
เพราะว่าเมื่อฟังดูตามนั้นแล้วทำให้เรารู้สึกว่า ประชาชนไทยได้ถูกน้าให้มาเผชิญกับ ทฤษฎีใหม่ กล่าวคือการที่จะพิจารณากันอย่างจริงจังว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว และเมื่อปรากฏแน่ชัดว่าอะไรผิด อะไรชั่ว ก็ไม่เปนการสำคัญเสียแล้วที่จะดําเนินการกำจัดกวาดล้างกันอย่างจริงจัง ทฤษฎีใหม่ นั้นดูจะถือว่า ความผิด ความชั่ว ที่คนเราได้กระทำลงไปนั้น ถ้าได้กระทำเป็นครั้งแรกๆ หรือกระทำโดยคนกระจ้อยร่อยเล็กน้อยแล้ว ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องบริภาษด่าว่ากันอย่างเอ็ดตะโร และจะต้องมีการกวดขันปราบปรามเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษกันอย่างเอิกเกริกทีเดียว แต่ถ้าความผิดความชั่วนั้นได้กระทำซ้ำกันหลายครั้ง ได้กระทำอยู่ไม่ขาด และเป็นความผิดความชั่วในขนาดร้ายแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ หรือกระทำโดยบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่ราชการใหญ่โตยิ่งขึ้น การบริภาษก็ควรจะลดลงเปนลำดับ ตลอดจนการกวดขันปราบปรามการกระทำผิดเหล่านั้น ก็ควรจะคลายลงจนแทบไม่มีเลย และในที่สุดตามทฤษฎีใหม่นั้น ความผิดความชั่ว ไม่ว่าในขนาดร้ายแรงเพียงใด และไม่ว่าจะกระทำโดยคนใหญ่โตเพียงใด หากว่าได้กระทำซ้ำอยู่บ่อยๆ แล้ว เราทั้งหลายก็จะต้องยอมรับเอาว่า ความผิดความชั่วเหล่านั้นเป็นสภาวะการณ์อันเปนปรกติธรรมดา จะต้องมีอยู่ และควรปล่อยไว้เช่นนั้นโดยไม่ไปแตะต้องกำจัดกวาดล้างให้เปลืองเวลาโดยใช่เหตุ
นี่เป็น ทฤษฎีใหม่ ที่เขาคิดค้นกันขึ้นได้ในวงการเมืองของประเทศไทย และก็เป็นที่เข้าใจกันว่า ทฤษฎีใหม่ นี้ได้ลงมือใช้กันมาเป็นเวลานานพอควรแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงได้ยินเสียงพูดตำหนิติเตียนเรื่องคอร์รัปชั่นในกรณีต่างๆ ซึมเซาลงเป็นลำดับ ทั้งนี้ก็ไม่ได้แปลว่า เรื่องคอร์รัปชั่นได้ลดจำนวนและขนาดแห่งความร้ายกาจลงมา แต่หากแปลว่าเรากำลังจะยอมรับความชั่วร้ายของคอร์รัปชั่นไม่เลือกจำนวนและขนาด ว่าเป็นสิ่งที่จะต้องมีอยู่อย่างแน่นอน และกำลังจะถือเอาเป็นส่วนหนึ่งแห่งชีวิตประจำวันของชาวเรา
ตาม ทฤษฎีใหม่ ที่คิดค้นขึ้นได้ จะนำเราไปสู่ชีวิตอันดูพิลึกกึกกือ ดังต่อไปนี้ คือ เป็นต้นว่าการที่สมาชิกสภาผู้แทนได้ลงมติขึ้นเงินเดือนตนเองเปนคำรบสอง ในชั่วอายุการเลือกตั้งครั้งเดียว ซึ่งได้รับการคัดค้านติเตียนอย่างอึงคนึงแล้วนั้น หากว่าได้กระทำซ้ำเปนคำรบสามหรือคำรบสี่ หรือได้กระทำซ้ำแบบเดียวกันในสมัยของการซื้อรถถังติดปืนเบรนจํานวน ๒๕๐ คัน ซึ่งได้รับการวิพากษ์ติเตียนอย่างอื้อฉาวจากประชาชนและวงการทั่วๆ ไป จนทางราชการได้ยอมรับคําติเตียนและปฏิเสธการซื้อไปแล้วนั้น หากว่าทางราชการจะกลับมาเจรจาซื้อกันใหม่ หรือหากเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นซ้ำ การซื้อของใช้ในราชการทหาร หรือการฝ่ายอื่น ๆ เปน ครั้งเป็นคราวอย่างไม่ขาดสายแล้ว ตาม ทฤษฎีใหม่ นั้น....[ต้นฉบับ ขาด]...จะต้องรับเอาการกระทําที่ได้มีการติเตียนอย่างอื้อฉาวเช่นนั้น และที่ได้กระทํา…[ต้นฉบับขาด]...การเคยชินเสียแล้ว เปนของปรกติในชีวิตของเราโดยไม่ต้องปริปากบ่นอะไรกันอีก
อนึ่ง สิ่งที่เรียกว่า ความรับผิดชอบ หรือความสํานึกในความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นของสําคัญอันยิ่งยวด ต้องมีอยู่ในระบอบการปกครองประชาธิปไตยนั้น ในทุกวันนี้ก็รู้สึกกันว่าแทบจะไม่มีอยู่เลย ในบรรยากาศการเมืองของประเทศไทย ไม่ว่าจะปรากฏการกระทําอันเปนความผิดร้ายอื้อฉาวขึ้น ณ ที่หนึ่งที่ใดในวงการปกครอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็มักเป็นอยู่และเปนไปตามปรกติ กล่าวคือไม่ทราบกันว่าความรับผิดชอบนั้นตกอยู่แก่ผู้ใด เพราะว่าผู้ที่ดํารงตําแหน่งอันเปนที่เข้าใจกันว่าจะต้องรับผิดชอบต่อความผิด ความชั่วร้ายอันเปนเรื่องอื้อฉาวอย่างยิ่งนั้น ก็มิได้รับความกระทกระเทือนอย่างใด และข้อที่แสดงอาการหนักยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ท่านเหล่านั้นออกจะไม่เข้าใจเสียทีเดียวว่า เหตุใดท่านจะต้องรับความกระทบกระเทือนไปด้วย
ภาพชีวิตอันดูเต็มไปด้วยความพิลึกกึกกือ ซึ่งหล่อหลอมขึ้นมาจาก ทฤษฎี ที่ค้นคิดกันขึ้นได้ในวงการเมืองไทย และได้นําออกใช้แล้วนี้ หากว่าได้แอบนำออกใช้กันอย่างเงียบ ๆ ภายในวงนักการเมือง หรือในวงคณะของผู้ปกครองประเทศโดยไม่เปิดเผยออกมาสู่ความรู้เห็นของสาธารณชนอย่างแจ่มจ้าแล้ว ก็ยังจะพอทําเนา แต่ตามความจริง ทฤษฎีที่ว่า ความผิดความชั่วร้ายในวงการเมือง และในวงการ ปกครองนั้น หากว่าได้กระทําซ้ำแล้วซ้ําอีกจนกลายเปนของเคยชินกันไป ก็พึงรับเอาโดยปริยายว่าเปนสิ่งปรกติธรรมดาที่จะต้องมีอยู่ และไม่ต้องพยายามแก้ไขอะไรกันอีกนั้น ได้แผ่ซ่านเข้าไปในความรู้เห็น ของประชาชนอย่างแจ่มจ้าเสียแล้ว ความแผ่ซ่านของ ทฤษฎีใหม่ นี้ มีผลเท่ากับวงการเมืองของไทยได้ระดมฉีดยาพิษเข้าไปสู่จิตใจของประชาชนผู้หาความผิดมิได้อยู่ทุกวี่วัน
การที่หลวงธํารงนาวาสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ได้ปรารภ [พิมพ์ไทย ฉบับวันที่ ๑๙ ตุลาคม] เปนทีเล่น เราก็เชื่อว่าเป็นการพูด “ทีเล่น” เท่านั้น คงไม่ไปถึงขีด “ทีเล่น ทีจริง” ซึ่งเปนอาการหนัก) ว่าเห็นจะต้องหาทางออก จากความขาดแคลนเงินทองจาก “การค้าของเถื่อนกันเสียบ้าง” นั้น ถึงแม้จะเป็นการพูดที่เล่นก็ดี ก็แสดงโดยปริยายให้เห็นว่า ทฤษฎีใหม่ นั้นกําลังจะมั่นคงลงแล้วในวงการเมืองของ…[ต้นฉบับขาด]...ประเทศ
สามัญชนทั่วไปออกจะรู้สึก…[ต้นฉบับขาด]...ฝ่ายต่าง ๆ ในวงการเมืองไทยนั้น จะทํางานที่ต้องใช้ความจริงจังโดย…[ต้นฉบับขาด]...กําลังแรง กําลังความคิดลงไปในการ…[ต้นฉบับขาด]...ปัญหาต่าง ๆ แล้ว ความจริงจังเช่น…[ต้นฉบับขาด]...มักจะปรากฏออกแต่ฉะเพาะ ในรูปที่…[ต้นฉบับขาด]...ความขมักเขม้นกําจัดปราบปรามปรปักษ์ทางการเมือง หรือในรูปที่เปนการรักษาผลประโยชน์ของคณะตนหรือ รักษาผลประโยชน์ของกลุ่มชนเล็ก ๆ กลุ่ม…[ต้นฉบับขาด]...ที่ตนเปนตัวแทนอยู่ แต่ในกรณีอื่น…[ต้นฉบับขาด]...แม้ว่าจะเปนการเสียหายร้ายแรงแก่…[ต้นฉบับขาด]...หรือเปนทางได้ทางเสียอย่างสําคัญของประชาชนส่วนมากเพียงใด น้อยนักที่…[ต้นฉบับขาด]...ประชาชนจะได้เห็นความจริงจัง ขมักเขม้นในการประกอบกรณียกิจปรากฏออกมาจากวงการเมืองของเรา
เราคิดว่าเป็นความห่วงใยของคนไทยผู้รักชาติด้วยน้ําใสใจจริงทั่วไป ต่อการ…[ต้นฉบับขาด]...ประเทศของเราอาจถูกตราชื่อลงไว้ในสารบบของโลกในฐานที่เปนประเทศที่ประสพหรือกําลังประสพความเหลวแหลกล้มละลายทางศีลธรรม ดังที่บางประเทศเช่นจีนแห่งก๊กมินตั๋ง ฟิลิปปินส์ แห่ง ควิริโน หรืออียิปต์แห่งฟารุค ได้รับการนําขึ้นสู่สารบบแห่งการถูกเหยียดหยามทางศีลธรรมไว้แล้ว
ที่มา : ไม่ทราบแหล่งพิมพ์ครั้งแรก
เวลา : 19 ตุลาคม พ.ศ. 2493
หมายเหตุ:
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการหนังสือมนุษย์ไม่ได้กินแกลบฯ และคุณปรีดา ข้าวบ่อ แห่งสำนักพิมพ์ชนนิยมแล้ว
- อักขรและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
- โปรดดูเพิ่มเติม หมายเหตุบรรณาธิการได้ที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ, เรื่อง “ทฤษฎีใหม่”, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548), น. 411-412.
- ตัวเน้นโดยผู้เขียน
บรรณานุกรม :
- กุหลาบ สายประดิษฐ์, เรื่อง “ทฤษฎีใหม่”, มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (กรุงเทพฯ: แอล.ที.เพลส, 2548), น. 413-417.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- ตอนที่ 1 - มนุษยภาพ
- ตอนที่ 2 - ชีวิตของประชาชาติ
- ตอนที่ 3 - ข่าวในหนังสือพิมพ์ไทย
- ตอนที่ 4 - ระบบหัวโขน
- ตอนที่ 5 - เสรีภาพ
- ตอนที่ 6 - ความกาลีแห่งอำนาจ
- ตอนที่ 7 - การวางยาแก้โรคเงินเฟ้อ
- ตอนที่ 8 - เชษฐบุรุษ
- ตอนที่ 9 - รัฐบุรุษอาวุโสกลับคืนสู่มาตุภูมิ
- ตอนที่ 10 - การลาออกของนายปรีดี
- ตอนที่ 11 - บรรยากาศในสภาวันจันทร์
- ตอนที่ 12 - เสถียรภาพทางการเมือง
- ตอนที่ 13 - ดิเรกลาออก
- ตอนที่ 14 - การแปลบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
- ตอนที่ 15 - กลไกประชาธิปไตย
- ตอนที่ 16 - เล่นการเมือง
- ตอนที่ 17 - การเมืองเต็มไปด้วยภาพมายา
- ตอนที่ 18 - “นั่งลงนิ่ง ๆ และคิด”
- ตอนที่ 19 - การประกอบรัฐบาลของประชาชน
- ตอนที่ 20 - ชีวิตไม่มีแต่การเมือง
- ตอนที่ 21 - คำสาบาลซ้ำ
- ตอนที่ 22 - ลักษณะคำแถลงนโยบาย
- ตอนที่ 23 - การแถลงคำอธิษฐานในสภา
- ตอนที่ 24 - ประโยชน์ของการมีฝ่ายค้าน
- ตอนที่ 25 - แลไปข้างหน้า
- ตอนที่ 26 - การเผยแพร่ประชาธิปไตย
- ตอนที่ 27 - เสถียรภาพทางการเมือง
- ตอนที่ 28 - ความปลอดภัยแห่งชีวิตราษฎร
- ตอนที่ 29 - ความเปื่อยผุในวงการปกครอง
- ตอนที่ 30 - ความทุจริตในการเลือกตั้ง
- ตอนที่ 31 - ไปสู่ความล้มละลายในศีลธรรม
- ตอนที่ 32 - ประกันสังคมของรัฐบาลไทย
- ตอนที่ 33 - ฐานะของรัฐบาล “สถานการณ์”
- ตอนที่ 34 - อันความกรุณาปราณี…
- ตอนที่ 35 - ประเทศของคนที่มีโชคดี
- ตอนที่ 36 - การเมือง
- ตอนที่ 37 - ประชาชนได้แต่ชเง้อดู
- ตอนที่ 38 - การชำระบิลค่าหัววเราะ
- ตอนที่ 39 - การศึกษาปัณหาสังคม
- ตอนที่ 40 - มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ